คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 639 สุนัขเฒ่าจะต้องไม่ตายดี

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 639 สุนัขเฒ่าจะต้องไม่ตายดี

เถิงเจามองออกว่าฉินหลิวซีออกไปครั้งนี้กลับมาพร้อมอารมณ์ที่ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเอ่ยแม้เพียงคำเดียว แม้อยากเอ่ยถามมากเพียงใด

ฉินหลิวซีสัมผัสได้ถึงสายตาน้อยๆ ของเขาที่ลอบมองมาอีกครั้งจึงเอ่ยว่า “มีสิ่งใดอยากถามก็ถาม อดกลั้นเอาไว้เช่นนี้ไม่กลัวอดทนจนตายหรือ”

“ท่านออกไปปราบปีศาจครั้งนี้ไม่ราบรื่นหรือขอรับ”

ฉินหลิวซี “!”

ปราบปีศาจ เจ้าเด็กคนนี้ไปเรียนคำนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน

ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่อาจนับได้ว่าไม่ราบรื่น ยังได้กำไรนอกเหนือจากที่คาดคิดด้วย”

เถิงเจาเริ่มมีความสนใจขึ้นมา ท่าทางตั้งอกตั้งใจฟัง

“เรื่องของตระกูลลวี่ก่อนหน้านี้ ข้าต่อสู้กับนักพรตชั่วนั่นสองครั้ง วันนี้ข้ายังเจอรังของเขาด้วย แต่ไปช้าหนึ่งก้าว แต่ยืนยันได้แล้วว่าคนผู้นั้นมาจากสายวิชาเดียวกันกับเรา”

ใบหน้าของเถิงเจาเกิดความสงสัย เม้มริมฝีปาก ยามนี้อารามชิงผิงไม่มีลูกศิษย์เดินทางอยู่ข้างนอก สายวิชาเดียวกันที่ว่านี้เกรงว่าคงจะเป็นรุ่นของอาจารย์ทวด หรืออาจจะสูงไปกว่านั้น

“อาจารย์ของเจ้านั่น มีฉายาเต๋าว่าชื่อเจินจื่อ ตามรุ่นแล้ว เจ้าควรเรียกเขาว่าอาจารย์อาทวด ซึ่งเป็นศิษย์ทรยศของอารามชิงผิง” น้ำเสียงฉินหลิวซีเย็นชา

ใบหน้าของเถิงเจาเคร่งขรึม เขาคงได้ยินถึงความคับแค้นใจของอารามชิงผิงแล้ว

ฉินหลิวซีไม่ทำให้เขาผิดหวัง ไม่นานก็เล่าเรื่องของอารามชิงผิงให้เขาฟังอย่างกระชับหนึ่งรอบ เอ่ยว่า “…เต๋าที่แตกต่างไม่ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ ต้องการแยกเส้นทางก็ไม่นับประสาอะไร เขามีใจใฝ่แสวงหาความเป็นอมตะก็ไม่ผิด ความผิดของเขาคือผิดต่อกฎของเต๋า ทำสิ่งชั่วร้ายเรียนรู้มนต์ดำในฐานะศิษย์ของอารามชิงผิง ขัดกับวัตถุประสงค์ของอารามชิงผิง นี่เป็นสิ่งที่ทนไม่ได้”

“พันปีก่อน อารามชิงผิงเป็นนิกายชิงผิง ยึดถือหลักการปกป้องและสุขภาพของผู้คนเป็นหลัก ไม่ต้องเอ่ยถึงการบำเพ็ญชั่ว ฝึกฝนวิชาคาถามนต์ดำ เช่นนั้นจะต้องถูกขับไล่ออกจากอารามอย่างแน่นอน หนักสุดคือการกำจัดทิ้งด้วยความตาย”

“พันปีต่อมา หลังจากผ่านความผกผันมามากมาย นิกายชิงผิงค่อยๆ ซบเซาลง จากนิกายยิ่งใหญ่กลายเป็นอารามธรรมดา ห้าสิบปีก่อนลัทธิเต๋าถูกกดขี่ ลูกศิษย์ในอารามทยอยลาสิกขา และสามสิบปีก่อน ก็เกิดสุนัขอย่างชื่อเจินจื่อ ไม่เพียงร่ำเรียนวิชามนต์ดำฝักใฝ่ความเป็นอมตะ ยังทำให้ผู้คนบริสุทธิ์ตายไปไม่น้อย เขายังเอาตำราและอาวุธล้ำค่าไปมากมาย”

เถิงเจาได้ยินเสียงกัดฟัน เงยหน้าขึ้นมามองนางเล็กน้อย รู้สึกว่านี่เป็นจุดที่ไม่อาจทนได้ เพราะเขาได้ยินถึงความโกรธแค้นรุนแรงจากการถูกลักขโมยเอาไป

“ท่านอาจารย์ทวดของเจ้ายิ่งไม่ยอมให้อภัย ต่อสู้ถึงขั้นยอมตายไปกับเขา นึกว่าเขาตายไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าสุนัขตัวนี้จะมีความสามารถ ไม่รู้ว่าใช้วิชาใดจึงซ่อนตัวเขาจากท้องฟ้าและมหาสมุทรได้ ให้เขาได้มีโอกาสรอดกลับมา”

ฉินหลิวซีสูดหายใจเข้าลึก “เรื่องก็เป็นเช่นนี้ เอ่ยไม่ได้ว่ามีความแค้นบาดหมาง เพียง…”

“ชื่อเจินจื่อสุนัขตัวนี้ไม่ตายดีแน่” เถิงเจาด่าออกมาหนึ่งประโยค

ฉินหลิวซี “?”

ข้าเคยสอนเจ้าด่าคนเช่นนี้หรือ

เถิงเจาหน้าแดงขึ้นมา เอ่ย “ยายเฒ่าในหมู่บ้านต่างก็ด่าเช่นนี้ทั้งนั้น”

ฉินหลิวซี “พวกเรา พยายามอย่าเรียนคำด่าทอแปลกประหลาดให้มากนัก ต้องวางตัวสุภาพ”

“ขอรับ จงโน้มน้าวผู้คนด้วยคุณธรรม”

ฉินหลิวซี ช่างเถิด เจ้าเข้าใจก็พอแล้ว

เรื่องของชื่อเจินจื่อศิษย์อาจารย์ถูกนางโยนทิ้งไปชั่วคราว หันมาสนใจการเรียนของเขา การกลับเมืองหลีครั้งนี้ นางใช้วิธีการเดินทางในเส้นทางจริงเพื่อสอนลูกศิษย์ ค่อยๆ กลับเมืองหลีโดยไม่เร่งรีบ

ในขณะที่ศิษย์อาจารย์กำลังเดินทางกลับเมืองหลี ประตูของโรงประมูลจิ่วเสียนในเมืองหลวงพลันมีผู้คนไม่น้อยย่างกรายเข้ามาเยือน ต่างมาขอการรักษาหรือขับไล่สิ่งชั่วร้าย แต่เมื่อไปสอบถาม พบว่าคนกลับไปแล้ว อดรู้สึกเสียใจและผิดหวังไม่ได้ อย่างเช่นมู่ซีและคนอื่นๆ

ตระกูลเถิงเองก็เช่นกัน หลังจากเชิญนักพรตจากอารามจินหัวมาทำพิธีทว่าไม่อาจปิดดวงตาหยินหยางได้ ตั้งแต่เจ้านายจนถึงบ่าวรับใช้ใกล้จะเป็นบ้าไปหมดแล้ว

ลองคิดดูสิ เพียงเจ้าเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง พลันมีผีปรากฏตัวขึ้นในรูปแบบการตายแบบต่างๆ ไม่ตกใจจนขวัญกระเจิงได้หรือ

หรือบางครั้งสัมผัสถึงบางอย่างได้กลางดึก ได้ยินเสียงร้องไห้ เมื่อลืมตาขึ้นดู เขากลับมายืนร้องห่มร้องไห้อยู่ที่หัวเตียง จะไม่ตกใจจนเป็นลมได้หรือ

ดังนั้นอารามจินหัวและวัดโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นวัดหลวงหรือไม่ต่างก็กราบไหว้มาหมดแล้ว ยังคงอับจนหนทาง

และจวนจวิ้นจู่ฝั่งนั้น ผิงเล่อจวิ้นจู่ยิ่งทรมานจนร่างกายซูบผอม ดูหนักหน่วงขึ้นไปอีก เถิงฉี่บุตรชายเพียงคนเดียวหวาดกลัวจนมีไข้สูง เชิญหมอหลวงมารักษาจนอาการดีขึ้นบ้างแล้ว แต่กลับตกใจจนความกล้าหายไปหมดแล้ว ไม่กล้าเดินห่างกายแม้เพียงก้าวเดียว ทั้งยังกลัวความมืด เพราะดวงตาหยินหยางไม่ปิด มองเห็นสิ่งสกปรกเหล่านั้นก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ความทรมานนี้ ทำให้คนดูคล้ายกับคนบ้าอยู่หลายส่วน

นี่ยังไม่ถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด บิดาของเถิงฉี่ยังมีครอบครัวนอกสมรสอีกหนึ่งครอบครัว ภรรยานอกสมรสนั้นยังตั้งท้อง ถูกบิดาของเถิงฉี่ปกป้องไว้เป็นอย่างดี กระทั่งผิงเล่อจวิ้นจู่รู้เรื่องนี้เข้าแล้ว เขาก็ส่งคนไปซ่อนที่ชนบท

ผิงเล่อจวิ้นจู่ที่เดิมก็ถูกฉินหลิวซีจัดการจนเหนื่อยล้าทั้งกายและใจพลันกระอักเลือดออกมา ให้คนลากตัวภรรยานอกสมรสนั้นมา ก่อนจะโบยให้ตายต่อหน้าเถิงรอง ทำให้เถิงรองโกรธจนอาละวาดต้องการหย่าร้าง

แต่เขายังไม่ทันได้อาละวาด ภรรยานอกสมรสถูกโบยจนตายก็โกรธแค้น หนึ่งร่างนั้นมีสองชีวิต หลังจากเสียชีวิตไปวิญญาณก็ลอยออกมา หลังจากมึนงงจนได้สติขึ้นมาก็พุ่งเข้าไปหาผิงเล่อจวิ้นจู่ ทั้งข่วนทั้งกัด ตกใจจนนางแทบเป็นลม

นางเองก็โกรธจนสมองมึนงงไปหมดแล้ว เดิมบุตรชายป่วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ทำให้นางเป็นกังวลอยู่แล้ว เถิงรองมีภรรยานอกสมรสไม่ว่ายังมีลูกอีก หากบุตรชายโง่เขลาไปแล้วจริงๆ เถิงรองยิ่งจะไม่หันไปสนใจเจ้าเด็กบ้านั่นหรอกหรือ

ก็เพราะเช่นนี้นางจึงทำอย่างที่เคยทำ โบยหญิงแพศยานั่นจนตาย ทว่าไม่คิดว่าคนตายไปแล้วจะกลายเป็นผี และผีที่มีความแค้นยิ่งร้ายกาจ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผีหนึ่งร่างสองวิญญาณนั่นแล้ว

ถูกภรรยานอกสมรสนั่นรังควานหนักเข้า ผิงเล่อจวิ้นจู่หวาดกลัวจนไม่อาจอยู่ในจวนจวิ้นจู่ได้อีกต่อไป รีบพาบุตรชายมุ่งหน้าไปที่วังหลวงขอฮองเฮาอนุญาตให้อาศัยอยู่ในวังหลัง เพราะวังหลวงมีพลังมังกร

แน่นอนว่านางลืมไปว่าวังหลวงมีพลังมังกรนั้นเป็นความจริง แต่คนตายเองก็มีมากเช่นกัน อย่างมากก็กดพวกเขาเอาไว้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แต่ก็ยังเห็นดวงวิญญาณที่ล่องลอยไปมา นั่นคือความจริง

ท่าทางราวกับคนบ้าของเถิงฉี่ หากไปทำให้เหล่าผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในวังหลวงตกใจแล้วจะทำอย่างไร

และเพียงจวิ้นจู่คนเดียว ต่อให้บรรดาศักดิ์สูงเพียงใด ใช่ว่าอยากอยู่ก็อยู่ได้ มิเช่นนั้นใครๆ ก็เป็นเช่นนี้ วังหลังจะไม่กลายเป็นโรงเตี๊ยมหรือ

ฮองเฮาปฏิเสธคำขอของจวิ้นจู่

ผิงเล่อจวิ้นจู่ไม่มีทางเลือก จำต้องไปอยู่ที่อารามจินหัว และการตัดสินใจนี้ของนางถูกต้องที่สุด อารามเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณร้ายไม่กล้าเข้ามาใกล้ พวกนางจึงอยู่อย่างสงบขึ้นมาบ้าง

นายหญิงผู้เฒ่าเถิงที่ได้รับความทรมานเช่นกัน เห็นว่าคนอารามจินหัวไม่มีความสามารถ จึงบังคับให้เถิงเทียนฮั่นไปตามฉินหลิวซีกลับมาถอนอาคม เมื่อรู้ว่าพวกฉินหลิวซีจากไปแล้วจึงโกรธแทบลุกเป็นไฟ ด่าทอเถิงเทียนฮั่นว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก เป็นของไร้ค่า ด่าเถิงเทียนฮั่นให้กำเนิดตัวอัปมงคล หากรู้แต่แรกก็ไม่ควรให้เขาเกิดมา ให้เขาตายไปพร้อมกับมารดาโชคร้ายนั่นของเขา ไต้ซือเอ่ยไว้ไม่ผิด พวกนางสองแม่ลูกต่างก็มาเพื่อเอาต่อต้านนาง

เถิงเทียนฮั่นฟังแล้วรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ หลังจากสืบและสอบสวนดู จึงรู้ว่าก่อนที่ภรรยาเดิมจะคลอด นายหญิงผู้เฒ่าเถิงได้เจอกับนักพรตคนหนึ่งได้ช่วยดูดวงวันเกิดของภรรยาคนแรก บอกว่าดวงของภรรยาคนแรกมาเพื่อเอาชนะญาติทั้งหก ต้านกับดวงวันเกิดของนาง เป็นความจริงที่หลังจากอีกฝ่ายเข้าจวนมาร่างกายของนายหญิงผู้เฒ่าเถิงก็ไม่สบายนัก เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ดังนั้นตอนที่ภรรยาคนเก่าคลอด นางจึงยื้อเวลาไม่ยอมให้ตามหมอ ทำให้ภรรยาคนเก่าต้องตายเพราะเสียเลือดมาก

เถิงเทียนฮั่นรู้เข้าก็แทบเป็นบ้าไปแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท