ตอนที่ 641 สงสัยว่าเป็นการยึดร่าง
จิ้นซื่อที่ชื่อว่าเหลยหมิงผู้นั้น เป็นสหายร่วมห้องเรียนกับเหนียนโหย่วเหวย และยังเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองฝู่เช่นกัน ครอบครัวมีทรัพย์สิน ก่อนจะป่วยก็เป็นคนกตัญญูต่อบิดามารดาใส่ใจดูแลภรรยาและบุตร แต่ไม่คิดว่าเมื่อสอบผ่านจิ้นซื่อแล้วจะกลายเป็นคนละคน มีนิสัยเก็บเนื้อเก็บตัวหยิ่งจองหอง
ฉินหลิวซีรู้สึกแปลกใจแล้ว เอ่ย “หากเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างที่เจ้าว่า เจ้าตั้งใจมาขอให้ข้าช่วย เขาไม่รู้เลยหรือ”
หากโดนสิงร่างยึดร่างกายจริงๆ คนผู้นั้นจะต้องตื่นตระหนกถึงจะถูก
“นี่เป็นพี่เหลยมาขอความช่วยเหลือจากข้าเอง” เหนียนโหย่วเหวยยิ้มขมขื่น “แม้ว่าเขาจะยิ่งแปลกไปจากเดิม แต่ก็มียามเป็นปกติ มีวันหนึ่งเขามาขอให้ข้าช่วย ให้ข้าช่วยหาไต้ซือมาขับไล่สิ่งชั่วร้าย เพียงแต่เพิ่งเอ่ยออกมาได้หนึ่งประโยค เขาก็เปลี่ยนไป ท่านไม่รู้หรอกว่าพอเขาเปลี่ยนไป สายตาคู่นั้นน่ากลัวยิ่งนัก”
ฉินหลิวซีมีท่าทางครุ่นคิด นี่คงเป็นการยึดร่างกายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว ดวงวิญญาณจริงๆ ของเหลยหมิงยังอยู่ทว่าถูกกดเอาไว้ ดังนั้นยามที่ได้สติจริงๆ จึงเป็นช่วงไม่นานนัก เมื่อได้สติก็ขอความช่วยเหลือจากสหาย
“เจ้าอาวาสน้อย ท่านว่าอาการป่วยแปลกๆ ของสหายร่วมห้องเรียนของข้าจะรักษาได้หรือไม่ เขาสอบมาสี่ครั้งกว่าจะสอบได้ หากเป็นเช่นนี้…การร่ำเรียนตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขาคงเสียเปล่าแล้ว”
ฉินหลิวซีถามกลับ “ตามที่เจ้าเห็น ความสามารถของเหลยหมิงรับตำแหน่งนี้ได้หรือไม่”
เหนียนโหย่วเหวยชะงัก
“ข้าจะไม่เอ่ยถึงว่าเขาสอบไปทั้งหมดกี่ครั้ง เพียงมองอันดับหลายครั้งก่อนหน้านี้ของเขา แล้วดูอันดับในครั้งนี้ เจ้าคิดว่าด้วยความสามารถของเขาเหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างชี้นำ “ทุกคนมีนิสัยของตนเอง การเรียนการเขียนอักษรก็เช่นกัน สำนวนการเขียนเองก็เป็นเช่นนี้ มีความเคยชินของตนเอง ครั้งนี้เขาเป็นอย่างไรเล่า”
สีหน้าของเหนียนโหย่วเหวยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซีดขาว
สิ่งที่ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยเหลือเพียงว่า คนที่อยู่ในร่างกายของเขาทำข้อสอบแทนเขาในครั้งนี้ หากเป็นเช่นนี้จริงก็ถูกจับได้แล้ว ถูกถอดถอนไม่พอ ตำแหน่งบัณฑิตเองก็ต้องถูกเพิกถอนไปด้วย ชีวิตนี้ไม่อาจมีความหวังต่องานข้าราชการได้อีกแล้ว
ไม่ๆ บัณฑิตไม่เอ่ยถึงเรื่องลึกลับ เรื่องนี้ผู้ใดจะเชื่อเล่า อย่างไรคนที่เข้าไปในสนามสอบก็คือเหลยหมิงไม่ผิด ผู้ใดจะยืนยันได้ว่าเขาเปลี่ยนไส้ในกันเล่า
“หากมีความแตกต่างกันมาก เช่นนั้นคนที่สอบจริงๆ ในครั้งนี้คงเป็นคนอื่นแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจว่าครั้งนี้เขาจะเรียนหนังสือมาเสียเปล่าหรือไม่ มิสู้กังวลว่าหากเขาเป็นเจ้าหน้าที่ จะมีความสามารถทำให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีชะงักไปชั่วครู่ “แน่นอน เจ้าหน้าที่ที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นจิ้นซื่อ บัณฑิตเองก็เป็นเจ้าหน้าที่ที่ดีทำสิ่งดีๆ ได้ ต้องดูว่าความตั้งใจในการเล่าเรียนเป็นอย่างไร สิ่งนี้ยังไม่ต้องเอ่ยตอนนี้ก็ได้ สหายร่วมห้องเรียนของเจ้าผู้นั้นจะช่วยกลับมาได้หรือไม่ ยังต้องได้เจอกับตัวคนก่อนจึงจะบอกได้ ยามนี้เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเพียงเท่านั้น”
เหนียนโหย่วเหวยยินดี “ท่านยอมรับงานนี้หรือ”
“เจ้าเอ่ยว่าเรามีบุญวาสนาต่อกันแล้ว ดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไร” ฉินหลิวซียิ้มบาง
เหนียนโหย่วเหวยพ่นลมหายใจออกมา จากนั้นจึงเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราก็ไปบ้านของเขากันเถิด จะว่าไปก็บังเอิญจริงๆ พวกเราเพิ่งกลับมาถึงเมืองฝู่เมื่อวาน ท่านก็มาถึงวันนี้ พี่เหลยช่างมีบุญวาสนาจริงๆ”
ฉินหลิวซีมองใบหน้าที่ผ่อนคลายของเขา สาดน้ำเย็นหนึ่งถาดเข้าไป “เจ้าก็อย่าดีใจเร็วไปนัก หากเป็นการยึดร่างกายจริงๆ วิญญาณพี่เหลยของเจ้าจะยังอยู่หรือไม่ยังบอกได้ยาก”
ผีเร่ร่อนตนนี้หากเป็นผีที่ดีก็ช่างเถิด ยังสามารถใช้ชีวิตสองวิญญาณในร่างเดียวได้ แต่เมื่อนานไป จะต้องมีฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งมากกว่า ผู้แข็งแกร่งกดผู้ที่อ่อนแอกว่า จะต้องมีสักวันที่ผู้อ่อนแอจะถูกกลืนกิน
เหนียนโหย่วเหวยหน้าซีด “เอ่อ นี่…”
“ไปดูก่อนเถิด”
…
ตระกูลเหลยกำลังตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึม
เหลยหมิงเข้าสอบขุนนางมาสี่ครั้ง ในที่สุดก็ได้เป็นจิ้นซื่อแล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดีเป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูล เดิมควรมีความสุข เฉลิมฉลองต้อนรับเหลยหมิงกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ แต่กลับพบว่ามีสิ่งที่แปลกไป
นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของเหลยหมิงมีมากเกินไป
แม้เขาจะทำเป็นกตัญญูอ่อนโยนเช่นเดิม แต่มารดาและบุตรมีสายใยเชื่อมกัน ท่านแม่เหลยสัมผัสได้ถึงสิ่งที่แปลกออกไป บุตรชายไม่ใช่บุตรชายที่คุ้นเคยผู้นั้น ยิ่งเมื่อสังเกตท่าทางความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ กลับยิ่งทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดและเกิดความสงสัย
หลังจากกลับจากการสอบครั้งนี้ ไยเขาจึงชอบยกนิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวด้วย
คนที่สัมผัสได้ถึงความแตกต่างอีกคนคือหวงซื่อภรรยาของเหลยหมิง คนข้างกายที่นอนร่วมเตียงเคียงหมอนมาหลายปี ทั้งยังมีบุตรชายหญิงหนึ่งคู่ ยามนี้บุตรสาวใกล้จะแต่งออกเรือนแล้ว นางจะไม่รู้จักสามีได้เช่นไร และการเสแสร้งด้วยความพยายามอย่างถึงที่สุดของเหลยหมิง ทำให้นางรู้สึกไม่สงบและรู้สึกหวาดกลัว
พวกเขาสองสามีภรรยา ศรัทธาในกันและกัน นางจะหวาดกลัวเขาได้อย่างไร ความคิดนี้ทำให้หวงซื่อหวาดกลัวสุดขีด
บางทีอาจเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความสงสัยของนาง เมื่อเหลยหมิงกลับมาถึงก็ไปพักอยู่ที่ห้องหนังสือ เฉยชาไม่น้อย ยิ่งทำให้หวงซื่อหวาดกลัวขึ้นไปอีก
ขณะที่อยู่ในห้องของแม่สามี หวงซื่อที่นอนไม่หลับขอบตาดำคล้ำกำลังเอ่ยถึงความแปลกไปของเหลยหมิงกับแม่สามี ความยินดีที่สามีสอบได้จิ้นซื่อนั้นไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
หวงซื่อเลียริมฝีปากที่แห้งผาก สีหน้าลังเล เอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าว่าท่านพี่มีอะไรแปลกไป ไม่รู้ว่า…”
นายหญิงใหญ่เหลยเหลือบตามองมา หวงซื่อตกใจ ไม่กล้าเอ่ยต่อ
“เจ้าเองก็รู้สึกหรือ” นายหญิงใหญ่เหลยน้ำเสียงแหบแห้ง ดวงตามัวหมองคู่นั้นแดงระเรื่อ น้ำตาไหลออกมา
“ท่านแม่” หวงซื่อตกใจไม่น้อย
นายหญิงใหญ่เหลยจับที่เท้าแขนแน่น กัดฟันเอ่ย “นั่นไม่ใช่หมิงเอ๋อร์ของข้า เกรงว่าคงเป็นดวงวิญญาณที่ไม่รู้มากจากที่ใดเข้ามาสิงร่างบุตรชายข้า ยังกล้ากลับมาที่บ้านอีก”
มารดารู้จักบุตร แม้เขาจะทำได้เหมือนเพียงใด นางกลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงสายใยแม่ลูกนั่น
เพล้ง
ใบหน้าของหวงซื่อยิ่งซีดลงไปอีก ตื่นตระหนกอยู่ในใจ ชนถ้วยชาบนโต๊ะหล่นแตก รู้สึกวิงเวียน
นางนึกอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่ไม่กล้าที่จะเชื่อ ทว่าแม่สามีกลับมองออกและเอ่ยออกมาตรงๆ
หวงซื่อกัดริมฝีปากแน่น เอ่ยว่า “ท่านแม่ เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่เหลยเอ่ย “รีบไปเชิญไต้ซือหมิงซินที่วัดสือเอินมา ข้าจะให้ดวงวิญญาณเร่ร่อนมาสิงร่างและทำร้ายบุตรชายของข้าไม่ได้”
“ลูกจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หวงซื่อรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นมา ไม่รู้ว่าตื่นตระหนกหรือตกใจ ขาพลันอ่อนยวบ โซเซเล็กน้อย รีบคว้าโต๊ะประคองตัวเอาไว้
นางเพิ่งเดินถึงหน้าประตู กลับส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา ก้าวถอยกลับเข้ามา เท้าโงนเงนแล้วล้มลง
ความเจ็บจี๊ดที่เท้าพุ่งขึ้นมา นางล้มนั่งลงกับพื้น สายตาหวาดกลัวมองไปยังคนที่กำลังเดินเข้ามาเชื่องช้า ยกมือขึ้นปิดปาดปิดเสียงกรีดร้องของตนเอง ใช้ก้นถัดถอยหลังไปเรื่อยๆ
นายหญิงใหญ่เหลยลุกขึ้น สีหน้าทะมึนมองคนที่หน้าประตู ร่างกายสั่นเทา
“ภรรยา เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ” เหลยหมิงเดินเข้ามา มองต่ำลงไปยังหวงซื่อ โน้มตัวลงไป ยื่นมือไปให้ “พื้นเย็น รีบลุกขึ้นมาเถิด”
หวงซื่อตกใจจนกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง รีบตะเกียกตะกายคลานไปอยู่ด้านข้างนายหญิงใหญ่เหลย
นายหญิงใหญ่เหลยจับโต๊ะเอาไว้แน่น เก็บกลั้นความโศกเศร้าไว้ เอ่ยเสียงดุ “เจ้าเป็นปีศาจร้ายมาจากที่ใดกันแน่ ยังไม่รีบออกจากร่างบุตรชายของข้าอีก”