ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 186 เหยียบย่ำ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 186 เหยียบย่ำ

ฝนเพิ่งตกหนักไป แม้ตอนเช้าจะมีแดดออกแล้ว แต่ทางยังไม่แห้งสนิท

รองเท้าปักที่เปื้อนดินอยู่ใกล้จมูกเช่นนั้น ย่อมได้กลิ่นดินโคลนชัดเจน

เฉาฮวากะพริบตาสองสามที เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ขอบพระทัยพระชายาที่ละเว้นโทษหม่อมฉันเพคะ”

นางไม่ได้ขยับและไม่หลบเลี่ยง ปล่อยให้ปลายเท้าเชยคางตนอยู่อย่างนั้น

ความอัปยศอดสูมหาศาลกลับทำได้เพียงเก็บงำสีหน้าเอาไว้

ท่านหญิงเคยบอกว่า พวกนางคือคนของท่านหญิง มีท่านหญิงอยู่ พวกนางไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองลำบากใจ ใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว

แต่ท่านหญิงไม่อยู่แล้ว

ในที่สุดดวงตาของเฉาฮวาก็เปียกชื้น

เห็นเฉาฮวาไม่เอะอะโวยวาย พระชายาก็รู้สึกเบื่อหน่าย นางวางขาลง

ไม่วางลงก็ไม่ได้ แม้แต่ไก่ทองก็ยืนขาเดียวนานๆ ไม่ได้

“อวี้เสวี่ยนซื่อ”

“เพคะ”

“ต่อไปเจ้าจงอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเสีย หากเจ้าทำตัวกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะมีฝ่าบาทคอยปกป้อง ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่!” พระชายามองหญิงสาวที่ชอบวางท่าไม่ใส่ใจสิ่งใดในวันวานหมอบคลานอย่างน่าสังเวชอยู่ข้างเท้าก็รู้สึกสะใจอย่างยิ่ง

“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” เฉาฮวาจรดหน้าผากลงกับพื้นอีกครั้ง ท่าทางเจียมตัว

พระชายายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สายตาหยุดอยู่ที่ข้อมือของเฉาฮวา

ในห้องแสงสลัว กำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีกลับยังคงเปล่งประกายโดดเด่น

พระชายาขมวดคิ้ว รู้สึกเพียงว่ากำไลวงนี้สวมอยู่บนข้อมือนี้แล้วขัดตามาก

นางยกเท้าขึ้นเหยียบกำไลวงนั้นเบาๆ ในขณะเดียวกันก็เหยียบข้อมือบอบบางที่สวมกำไลไว้ใต้เท้า

เฉาฮวาเงยหน้าอย่างตื่นตระหนก “พระชายา…”

พระชายาโค้งริมฝีปากยิ้มหยัน เสียงดังขึ้นในหูของเฉาฮวา ราวกับราดน้ำเย็นใส่ศีรษะของนาง ทำให้นางสั่นระริกไปทั้งตัว

“ข้ากำลังคิดว่ากำไลวงนี้มีอะไรพิเศษกัน ถึงทำให้เจ้า ท่านหญิงน้อยและคุณหนูลั่วชื่นชอบขนาดนี้”

พระชายายังจำครั้งแรกที่เห็นท่านหญิงน้อยเว่ยเหวินใส่กำไลเหมือนกับกำไลที่อวี้เสวี่ยนซื่อใส่ตลอดเวลาได้ ในใจก็ตกตะลึง

นางแอบสืบมาจึงทราบว่ากำไลวงนี้เป็นกำไลคู่ เป็นสินเดิมของท่านหญิงชิงหยาง

กำไลคู่แบบนี้ วงหนึ่งอยู่ที่น้องสาว อีกวงอยู่ที่นางสนมแล้วนางผู้เป็นพระชายาเล่า

การมีอยู่ของกำไลวงนี้กำลังบอกนางว่า ในใจของรัชทายาทนางผู้เป็นพระชายาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมยังสู้นางสนมสารเลวคนหนึ่งไม่ได้

เมื่อก่อนอวี้เสวี่ยนซื่อเจียมตัวไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ นางจึงทำอะไรไม่ได้

แต่ตอนนี้ แม้รัชทายาทจะเปลี่ยนใจกลับมาโปรดปรานอวี้เสวี่ยนซื่อ แต่ด้วยเรื่องที่อวี้เสวี่ยนซื่อทานยาห้ามครรภ์ นางก็ไม่กลัวว่ารัชทายาทจะทำให้นางอับอายเพราะนางสนมคนหนึ่งอีก

นางคือนายหญิงแห่งวังบูรพา หากจะลงโทษสาวใช้ที่มีความผิดคนหนึ่ง รัชทายาทก็ทำได้เพียงยอมทน

หากเรื่องนี้ไปถึงหูเสด็จพ่อ เช่นนั้นก็เป็นความผิดของรัชทายาทอยู่ดี

แน่นอนว่า สามีภรรยาคือหนึ่งเดียวกัน รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองไปด้วยกัน ล่มจมก็ล่มจมไปด้วยกัน ตราบใดที่รัชทายาทไม่ทำเกินไป นางก็คงไม่ทำเช่นนี้

ใต้รองเท้านิ่มเหยียบกำไลทองเอาไว้ พระชายาพึงพอใจกับความหวาดกลัวที่หญิงสาวบนพื้นแสดงออกมาอย่างมาก

นางดึงเท้ากลับมา สั่งนางกำนัลที่ตามมาด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ถอดกำไลของอวี้เสวี่ยนซื่อออกมา”

สีหน้าเรียบเฉยของเฉาฮวาไร้สีเลือดในทันที ความหวาดหลัวที่มิอาจยับยั้งได้ทำให้นางตัวแข็งทื่อ

จนเมื่อนางกำนัลคนหนึ่งโน้มตัวลงมาจับมือของนางขึ้นมาถอดกำไลวงนั้น เฉาฮวาจึงเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ นางปกป้องกำไลนั้นด้วยร่างกาย วิงวอนต่อพระชายา

“พระชายา นี่คือของที่นายหญิงเหลือไว้ให้หม่อมฉันรำลึกถึง พระองค์โปรดเมตตา อย่าแย่งมันไปเลย…”

“แย่ง?” คำนี้กระตุ้นประสาทของพระชายา นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “แค่ริบกำไลทองวงหนึ่งไป เจ้ากลับบอกว่าแย่ง หึๆ องค์รัชทายาทคงตามใจเจ้านานเกินไปแล้ว ทำให้เจ้าไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ ความผิดที่เจ้าทำไว้ต้องแลกด้วยชีวิตเจ้าด้วยซ้ำ กลับยังมาปกป้องกำไลวงหนึ่ง”

พระชายาเดินเข้าไปใกล้สองก้าว โน้มกายลงเล็กน้อย “อวี้เสวี่ยนซื่อ เจ้าคิดถึงนายหญิงเก่าเช่นนี้ เหตุใดไม่ใช้ชีวิตเพื่อแสดงความภักดีเล่า”

ท้ายที่สุดแล้ว นางก็เป็นเพียงนังสารเลวที่จงใจใช้ประโยชน์จากความรักที่ฝ่าบาทมีต่อท่านหญิงชิงหยางเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานเท่านั้น

เฉาฮวาไม่สนใจคำพูดประชดประชันเหล่านี้ เมื่อเห็นพระชายาเข้ามาใกล้ นางก็คว้าข้อเท้าของนางเอาไว้แล้วเอ่ยวิงวอนว่า “พระชายาเพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะเจียมตัว ไม่ขัดหูขัดตาพระองค์แน่นอน…”

พระชายาจะทนฟังคำพวกนี้ต่อไปหรือ นางตวาดเสียงเยือกเย็นว่า “ยืนเหม่ออยู่ทำไม รีบถอดกำไลออกมา!”

พอเห็นเฉาฮวาดิ้นอย่างรุนแรง นางกำนัลอีกคนหนึ่งก็รีบเข้ามาช่วย คนหนึ่งกดนางไว้กับพื้น อีกคนถอดกำไล

เฉาฮวาได้แต่มองกำไลถูกถอดออกไป ตาแดงก่ำ “พระชายา ทรงไม่เหลือทางรอดให้หม่อมฉันเลยหรือเพคะ”

พระชายามองหญิงสาวที่เสียกริยาจนสิ้น ทั้งยังไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ไหนเลยจะยังพูดมากกับนางอีก นางยิ้มหยันก่อนจะเดินจากไป

“พระชายาโปรดทรงคืนกำไลให้หม่อมฉัน ขอร้องล่ะ…”

เสียงร้องตะโกนเจ็บปวดรวดร้าวของเฉาฮวาดังขึ้นจากด้านหลัง พระชายาหยุดอยู่ที่สวนเล็ก รู้สึกมีความสุขอย่างมาก

ผ่านมาหลายปี แม้จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับนามสนมคนหนึ่ง แต่จะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ

และวันนี้ ในที่สุดนางก็ดึงหนามที่ทิ่มแทงออกไปได้

พระชายาก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก

ชุ่ยหงและชิงเอ๋อร์ทำความเคารพพร้อมกัน “น้อมส่งพระชายา”

พระชายาชะงักฝีเท้า หยุดลงตรงหน้าทั้งสอง

“พวกเจ้าทั้งสองดูแลอวี้เสวี่ยนซื่อให้ดี” พูดทิ้งท้ายเสร็จ พระชายาก็พานางกำนัลเดินจากไป

ชุ่ยหงลุกขึ้นมามองไปที่ประตูห้อง

ประตูเปิดแง้มไว้ ข้างในมีเสียงร้องไห้เบาๆ ดังออกมา

“ข้าเข้าไปดูเสวี่ยนซื่อก่อน” ชิงเอ๋อร์วิ่งเข้าไป

ชุ่ยหงปัดเสื้อผ้าเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า

ทันทีที่ชิงเอ๋อร์เข้าไปก็ตกตะลึง

“เสวี่ยนซื่อ เหตุใดท่านนอนบนพื้นเล่าเจ้าคะ!”

เฉาฮวานอนนิ่งบนพื้นราวกับไม่รู้ว่ามีคนเข้ามา ดวงตาของนางเลื่อนลอยราวกับไร้วิญญาณ

ชิงเอ๋อร์ออกแรงประคองนางขึ้นมาและพาไปนอนบนเตียง

เมื่อเห็นเฉาฮวาอยู่ในสภาพสิ้นหวังและไร้สติ ไม่เห็นความนิ่งสงบอย่างที่เป็นทุกวัน ชิงเอ๋อร์ก็รู้สึกแสบจมูก “เสวี่ยนซื่อ ท่านอย่าคิดมากเลย บ่าวไปทำอาหารให้ท่านกินนะเจ้าคะ”

ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เสวี่ยนซื่อยังไม่ได้ทานอะไรเลย เสวี่ยนซื่อร่างกายอ่อนแอ หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปไม่ได้การแน่

“เสวี่ยนซื่อ ท่านรอก่อนนะ” ชิงเอ๋อร์เช็ดหางตาเล็กน้อยก่อนเดินออกไป เจอชุ่ยหงเดินเข้ามาพอดี

“ชุ่ยหง เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลทำให้เสวี่ยนซื่อโมโห!” ชิงเอ๋อร์เตือนก่อนจะรีบเดินจากไป

ชุ่ยหงเม้มปาก เดินไปข้างเตียง ยิ้มจางๆ พูดว่า “เสวี่ยนซื่อเป็นอะไรไปหรือ”

คนที่นอนอยู่บนเตียงนิ่งไม่ขยับ

สายตาของชุ่ยหงหันไปเห็นข้อมือของเฉาฮวาก็อดยิ้มไม่ได้ “แหม เห็นทีเพราะไม่มีกำไลสุดหวงวงนั้นแล้ว ข้าว่านะ เมื่อก่อนองค์ชายให้รางวัลเสวี่ยนซื่อมากมายขนาดนั้น แค่กำไลวงหนึ่งคงไม่เป็นอะไรหรอก อ้อ ใช่แล้ว ได้ยินว่ากำไลนั่นนายหญิงคนก่อนของเสวี่ยนซื่อทิ้งไว้ให้…”

จู่ๆ เฉาฮวาที่นิ่งมาตลอดก็ลืมตาขึ้นกะทันหัน นางจ้องชุ่ยหงเขม็ง

ชุ่ยหงชะงัก นางโมโหยิ่งกว่าเดิม “ทำไม เสวี่ยนซื่อคิดว่าตนเองยังเป็นคนในดวงใจขององค์ชายงั้นหรือ”

“พระชายาเป็นคนสั่งให้เจ้าเปิดโปงข้าหรือ” เฉาฮวาถามด้วยเสียงแหบแห้ง

ชุ่ยหงเบ้ปาก “เสวี่ยนซื่อยังคิดจะฟ้ององค์ชายเรื่องพระชายาหรือ”

“เพราะอะไร ข้าคิดว่าข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด” เฉาฮวาถามทีละคำ

กระแสน้ำไหลเชี่ยวในดวงตาของนาง ไม่รู้เมื่อใดที่เสียงของนางกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท