ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 191 ไม่ค่อยพอใจ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 191 ไม่ค่อยพอใจ

แม่ทัพใหญ่ลั่วเคยบอกลั่วเซิงเรื่องที่เขาส่งผิงลี่บุตรบุญธรรมไปรับลั่วเฉินที่จินซา

ลองนับเวลาดูแล้ว เวลานี้ก็อยู่ในระยะเวลาที่คาดการณ์ไว้

แทนที่ลั่วเซิงจะไปหอสุรา นางจึงไปที่เรือนด้านหน้าแทน ระหว่างทางเจอคุณชายสามเซิ่งที่กำลังเร่งเดินทางไปเรือนเสียนอวิ๋นย่วน

ทันทีที่เห็นลั่วเซิง คุณชายสามเซิ่งก็เรียก “น้องลั่ว ข้ากำลังจะไปหาเจ้าพอดี!”

เมื่อเห็นเขาเร่งรีบ ลั่วเซิงก็รู้สึกประหลาดใจ “ท่านพี่มีธุระอะไรหรือ”

“น้องชายกลับมาแล้ว!”

ลั่วเซิงหัวเราะ “ท่านพ่อส่งคนมาแจ้งข้าแล้ว ข้ากำลังจะไป ท่านพี่ไม่ไปหรือ”

“ไปสิ”

“แล้วท่านพี่รีบร้อนอะไร”

คุณชายสามเซิ่งถอนหายใจ “น้องลั่วคิดดูสิ น้องชายเดินทางมาจากจินซาถึงเมืองหลวง ท่านย่าต้องไม่ให้เขามาคนเดียวแน่”

ลั่วเซิงพยักหน้า

แม้จะมีองครักษ์จิ่นหลินคุ้มกัน ในฐานะที่จวนเซิ่งเป็นจวนตายายก็ต้องส่งคนใกล้ชิดคนหนึ่งติดตามมาเป็นธรรมเนียมเช่นกัน

คุณชายสามเซิ่งสีหน้าเป็นทุกข์กว่าเดิม “เดือนหน้าก็สอบชิวเหวย[1]แล้ว พี่ใหญ่ พี่รองต้องอยู่ในจวนจินหลิงเพื่อเตรียมสอบ น้องสี่อายุยังน้อย ท่านย่าย่อมไม่ส่งพวกเขามา เช่นนั้นคนที่ส่งน้องชายกลับเมืองหลวงไม่ใช่ท่านลุงใหญ่ก็ท่านพ่อข้า”

“แล้วอย่างไรหรือ”

“แล้วอย่างไร?” คุณชายสามเซิ่งเห็นลั่วเซิงยังไม่เข้าใจ เขาก็ถอนหายใจ “ข้ามาเมืองหลวงนานขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าท่านลุงใหญ่หรือท่านพ่อข้ามา พวกเขาต้องลากตัวข้ากลับไปแน่นอน!”

กลับไปรึ ให้ตายเขาก็ไม่กลับไปหรอก

ตราบใดที่หอสุราของน้องลั่วยังไม่ปิด เขาก็จะไม่กลับไป

ปล่อยให้เขายืนด้วยลำแข้งตนเองในเมืองหลวงดีกว่า

“น้องลั่ว…” คุณชายสามเซิ่งเรียกอย่างเอาใจเล็กน้อย

ลั่วเซิงมองเขา

“หากเรียกข้ากลับไปจริงๆ เจ้าช่วยพี่ขอร้องหน่อยนะ”

ลั่วเซิงเดินไปข้างหน้า พูดเสียงราบเรียบว่า “อันที่จริงท่านพี่ก็ควรกลับไปได้แล้ว”

นางไม่รู้ว่าต่อไปจะเดินไปถึงจุดไหน อยู่ข้างกายนางไม่ได้ดีเช่นนั้น

นางถึงกับเคยคิดว่าจะส่งเสี่ยวชีไปยังแดนไกล แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนแผน

นางคือท่านหญิงชิงหยางแห่งจวนเจิ้นหนานอ๋อง เสี่ยวชีคือท่านอ๋องน้อยของจวนเจิ้นหนานอ๋อง

พวกเขาไม่มีทางถอย ต้องร่วมเป็นร่วมตายเท่านั้น

คุณชายสามเซิ่งกลับรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก พูดด้วยความตะลึงว่า “น้องลั่ว ไมตรีของพวกเราเปราะบางเช่นนี้เลยหรือ”

ทนรับบททดสอบไม่ได้เลยหรือ

เขาเป็นเสี่ยวเอ้อร์ตั้งใจทำงานอย่างหนัก เมื่อก่อนเรียนหนังสือยังไม่ตั้งใจเช่นนี้เลย

“ดูสถานการณ์อีกทีแล้วกัน” ลั่วเซิงตอบส่งๆ เร่งฝีเท้าก้าวไป

ในห้องรับรองด้านหน้า แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังพินิจพิเคราะห์ลั่วเฉิน

“เฉินเอ๋อร์โตแล้ว” แม่ทัพใหญ่ลั่วทอดถอนใจ กล่าวขอบคุณท่านน้ารองเซิ่ง “ขอบใจน้องภรรยามากที่ดูแลมาตลอดหลายปี”

น้ารองเซิ่งรีบพูดว่า “พี่เขยพูดอะไรกัน เฉินเอ๋อร์คือหลานของข้าและยังเป็นหลานอันเป็นที่รักของท่านแม่ ครานี้เฉินเอ๋อร์มาเมืองหลวง ท่านแม่ร้องไห้จนตาบวมไปหมดแล้ว”

ลั่วเฉินได้ยินก็อดกระตุกมุมปากไม่ได้

ท่านยายอาวรณ์ไม่อยากให้เขากลับคือเรื่องจริง แต่เรื่องที่ว่าร้องไห้จนตาบวม เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะหมูสามชั้นน้ำแดงมากกว่า

ลั่วเฉินคิดถึงฉากที่เขากล่าวอำลากับฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งจับมือของเขา น้ำตาคลอ “กลับไปก็ดี กลับไปจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวและยังได้กินหมูสามชั้นน้ำแดงที่ท่านพี่เจ้าทำด้วย เฉินเอ๋อร์ ต่อไปอย่าลืมกลับมาหายายกับพี่ๆเจ้านะ…”

พี่รองยังสริมว่า “ลั่วเฉิน เมื่อข้าและพี่ใหญ่สอบคัดเลือกผ่านแล้ว เราจะเข้าเมืองหลวงไปหาเจ้าในฤดูใบไม้ผลิ ถึงครานั้นเจ้าให้น้องสาวทำหม้อไฟปลาให้พวกข้ากินได้หรือไม่”

ลั่วเฉินคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ความอาลัยอาวรณ์ที่ต้องจากลาก็มลายหายไปสิ้น

มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตู

คนใช้ที่เปิดม่านพูดขึ้นว่า “คุณหนูทั้งสามมาแล้ว”

เดิมลั่วเฉินไม่อยากมอง แต่สายตากลับเหลือบมองไปอย่างไม่รู้ตัว

สาวน้อยในชุดสีม่วงนางหนึ่งเดินเข้ามา

เมื่อลั่วเฉินเห็นว่าเป็นใบหน้าที่ไม่ได้ประทินโฉมใดๆ ก็มองไปยังคนที่สอง

เด็กสาวที่เดินตามสาวน้อยชุดสีม่วงมาคือเด็กสาวในชุดสีเขียวท่านหนึ่ง ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม

ลั่วเฉินมุมปากแข็งเกร็ง มองไปที่เด็กสาวในชุดกระโปรงสีฟ้าที่เดินเข้ามาคนสุดท้าย

ไม่ใช่ลั่วเซิงทั้งสามคน

ลั่วเฉินขมวดคิ้ว

พี่น้องทั้งสามคารวะแม่ทัพใหญ่ลั่วพร้อมกัน

แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มพูดกับน้ารองเซิ่งว่า “นี่คือลูกสาวทั้งสามของข้า คนโตชื่อลั่วอิง คนรองชื่อลั่วฉิง คนที่สี่ชื่อลั่วเย่ว์ พวกเจ้ายังไม่คารวะน้ารองอีก”

พี่น้องทั้งสามคารวะน้ารองเซิ่งอีกครั้ง

แม่ทัพใหญ่ลั่วบอกลั่วเฉินว่า “เฉินเอ๋อร์ นี่คือพี่สาวทั้งสามของเจ้า ยังจำได้หรือไม่”

“ไม่ได้ขอรับ” ลั่วเฉินตอบสั้นกระชับ

แม่ทัพใหญ่ลั่วทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยิ้มพูดว่า “ต่อไปพวกเจ้าอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ก็จะสนิทเอง”

ลั่วเฉินไม่ได้ตอบ

พวกนางทั้งสามเข้ามาพร้อมกันและยังยืนใกล้ชิดกันมาก เห็นทีคงสนิทสนมกันมาก

หึ ต้องจับกลุ่มกันกีดกันลั่วเซิงแน่ๆ

แม้ลั่วเซิงจะมีข้อเสียนับร้อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นพี่สาวแม่เดียวกันของเขา บนโลกใบนี้นอกจากท่านพ่อแล้วก็ไม่มีใครที่สนิทสนมกันเท่าพวกเขาอีก

พวกที่กีดกันลั่วเซิง เขาคงโง่ไปแล้วหากจะต้อนรับพวกนางด้วยรอยยิ้ม

เหตุใดลั่วเซิงยังไม่มานะ

ลั่วเฉินมองไปที่ประตู

หญิงสาวสวมชุดลายดอกไม้สีน้ำตาลเข้มเดินเข้ามา

จากนั้นก็เป็นสตรีอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา

จากนั้นยังมีสตรีอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา…

ลั่วเฉินทนดูต่อไปไม่ได้ เขามองไปที่แม่ทัพใหญ่ลั่ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอม แนะนำว่า “นี่คือบรรดาอี๋เหนียงของเจ้า เฉินเอ๋อร์เจ้าจากจวนไปหลายปี ข้าก็เลยเรียกพวกนางมาให้เจ้าเห็นหน้า ต่อไปเวลาเจอกันในจวนจะได้รู้จัก”

น้ารองเซิ่งรินชาไม่หยุด

พี่เขยตรงไปตรงมาจริงๆ เขายังอยู่ที่นี่ก็เรียกอี๋เหนียงออกมาหมดแล้ว

“ยังไม่ทักทายคุณชายอีก”

เมื่อได้ยินแม่ทัพใหญ่ลั่วพูดเช่นนี้ เหล่าอี๋เหนียงก็รีบทักทายลั่วเฉิน

“นายท่านเฝ้านับวันนับคืน ในที่สุดคุณชายก็กลับมาแล้ว”

“คุณชายโตแล้วจริงๆ มีมาดสง่าราศีเหมือนนายท่านสมัยหนุ่ม”

“อะไรกัน สง่าราศีกว่านายท่านสมัยหนุ่มต่างหาก”

ลั่วเฉินมองแม่ทัพใหญ่ลั่วด้วยสีหน้าขรึม

เขาลองนับแล้ว มีอี๋เหนียงทั้งหมดเก้าคน!

ทั้งๆ ที่บอกว่าจะเรียกพี่สาวมาก่อน แต่สุดท้ายกลับเรียกพี่คนละแม่สามคนมาแล้วตามมาด้วยอี๋เหนียงอีกเก้าคน

ลั่วเซิงเล่า คงไม่ใช่ทำผิด โดนท่านพ่อส่งไปที่อื่นอีกแล้วนะ

ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ สีหน้าของลั่วเฉินก็ยิ่งเยือกเย็น

แม่ทัพใหญ่ลั่วตวาด “เอะอะอะไรกัน รู้จักมารยาทบ้างหรือไม่!”

ประมาทไปแล้ว เขาอยากให้ลั่วเฉินได้ทำความรู้จัก แต่ลืมไปว่ามีอี๋เหนียงเยอะไปหน่อย

อี๋เหนียงคนหนึ่งยิ้มพูดว่า “คุณชายกลับมาแล้ว เราก็ดีใจแทนนายท่านนี่เจ้าคะ”

“นั่นน่ะสิ” อี๋เหนียงสองคนที่ยังดูสาวสะบัดผ้าเช็ดหน้าเสริม

คนอื่นล้วนกลัวผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินที่น่าเกรงขาม อันที่จริงเวลาที่แม่ทัพใหญ่ลั่วอยู่ในจวนนั้นใจดีมาก และด้วยเหตุนี้ เหล่าอี๋เหนียงจึงไม่หวาดกลัวกับคำพูดไม่กี่คำของแม่ทัพใหญ่ลั่ว

ครานี้เองก็มีเสียงดังขึ้นที่ประตู “คุณหนูมาแล้ว”

ทันทีที่เหล่าอี๋เหนียงได้ยินว่าคุณหนูมาถึงแล้วก็หุบยิ้ม ก้มหน้าก้มตายืนนิ่งราวกับกลายเป็นหุ่นไม้

ต่างจากคุณหนู ในนี้นอกจากพี่ใหญ่ ทุกคนล้วนเคยถูกคุณหนูลงโทษให้คุกเข่า!

ลั่วเฉินมองปฏิกิริยาของเหล่าอี๋เหนียงรู้สึกประหลาดใจ

ปฏิกิริยาของพวกนางเหมือนกับมีมหันตภัยร้ายแรงมาอย่างนั้น

ลั่วเฉินมองไปที่ประตู เห็นเด็กสาวในชุดสีพื้นคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง

จู่ๆ เด็กหนุ่มก็รู้สึกไม่พอใจ

เขากลับมาแล้ว แต่นางดูเฉยเมยไปหรือไม่

[1] การสอบชิวเหวย คือ การสอบคัดเลือกขุนนางระดับมณฑล ซึ่งสอบตามเมืองเอกของแต่ละมณฑล โดยจะจัดสอบทุกๆสามปี ในฤดูใบไม้ร่วง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท