ตอนที่ 196 ตามใจจนเสียคน
เฉียวฮูหยินเห็นหงโต้วมองลูกสาวคนเล็กก็ขมวดคิ้วพูดซ้ำอีกครั้ง
“เฉียวฮูหยินอยากเจอคุณหนูของเราหรือเจ้าคะ” หงโต้วเม้มปาก “รอสักครู่เจ้าคะ ข้าจะไปบอกคุณหนู”
ส่วนคุณหนูจะออกมาเจอหรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
บัดนี้ลั่วเซิงกำลังนั่งใช้ค้อนขนาดเล็กกะเทาะเหอเถาอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนหลังร้าน
วันนี้เสี่ยวชีไม่ต้องไปเรียน เมื่อเห็นเข้าก็รีบวิ่งเข้ามา “เถ้าแก่ งานหยาบแบบนี้ให้ข้าทำเถอะ”
“กะเทาะเหอเถาไม่ใช่งานหยาบหรอก” ลั่วเซิงตบเก้าอี้หินเบาๆ เป็นสัญญาณให้เสี่ยวชีนั่งลง หยิบเหอเถาที่ปอกเปลือกแล้วยื่นให้เขา “กินเถอะ”
เสี่ยวชียัดเหอเถาเข้าปากจนแก้มป่อง
“ค่อยๆ กิน” ลั่วเซิงเห็นดังนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ชีวิตโจรป่าสิบกว่าปี ทำให้เสี่ยวชีต่างจากผู้คนที่นางคุ้นเคย
โชคชะตากลั่นแกล้งมนุษย์ สำหรับนางแล้วตราบใดที่น้องชายยังมีชีวิตอยู่ อย่าว่าแต่เป็นโจรป่าแต่เล็ก แม้จะเป็นขอทานนางก็รู้สึกโชคดี
สายตาที่ลั่วเซิงมองเสี่ยวชีอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ยามนี้ฟ้ายังไม่มืด ดวงอาทิตย์เกาะขอบฟ้าส่องสะท้อนในดวงตาของเด็กสาว
ลั่วเฉินยืนมองที่ประตูจากห้องโถงเข้าสวนด้วยแววตาเยือกเย็น มุมปากค่อยๆ แข็งเกร็ง
เสี่ยวชีกลืนเหอเถาลงไป แย่งค้อนขนาดเล็กในมือของลั่วเซิงมา หัวเราะพูดว่า “ให้ข้าทำเถอะ เถ้าแก่ท่านพักผ่อนเถอะ”
ทันทีที่ค้อนขนาดเล็กทุบลงไป เปลือกเหอเถาก็กระเด็นไปรอบๆ เม็ดเหอเถาเองก็กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที
เด็กหนุ่มผิวดำชูค้อนขนาดเล็กขึ้นอย่างเก้อเขิน ถามอย่างเซ่อซ่าว่า “เปราะบางขนาดนี้เลยหรือ”
ลั่วเฉินเดินเข้ามา หยิบค้อนขนาดเล็กในมือของเสี่ยวชีมา เลือกเหอเถาลูกหนึ่งมากะเทาะเปลือกเบาๆ ได้เม็ดเหอเถาที่สมบูรณ์ออกมา
เด็กหนุ่มคล่องแคล่ว น้ำหนักมือพอดี ไม่นานก็กะเทาะเหอเถาได้เป็นกอง จากนั้นสายตางดงามคู่นั้นก็กวาดมองเสี่ยวชีอย่างเฉยเมย
เสี่ยวชีอดชมไม่ได้ “ท่านกะเทาะเหอเถาเก่งจริงๆ”
ลั่วเฉินกระตุกมุมปาก
เจ้าเด็กตัวดำนี่โง่หรือไม่นะ
เด็กโง่ในสายตาของลั่วเฉินหยิบเหอเถาลูกหนึ่งขึ้นมาบีบแรงๆ เหอเถาอ้าออก ทำให้เห็นเม็ดเหอเถาสมบูรณ์ข้างใน
ลั่วเฉินตะลึง
แรง… เยอะขนาดนี้เลยหรือ
เสี่ยวชีปอกเปลือกเหอเถาออกอย่างระมัดระวัง ยื่นไปตรงหน้าลั่วเซิง “เถ้าแก่ กินเหอเถาขอรับ”
ลั่วเฉินมุมปากแข็งเกร็งทันที
เจ้าเด็กดำนี่ไม่โง่เลยสักนิด!
นิ้วเรียวขาวของเด็กหนุ่มยื่นไปข้างหน้า เหอเถาจานหนึ่งอยู่ตรงหน้าลั่วเซิง
เขาจะดูว่าท่านพี่จะกินของใคร
ลั่วเซิงมองทางนี้ที ทางนั้นทีแล้วหยิบเม็ดเหอเถาที่เด็กหนุ่มสองคนยื่นมาให้เทลงไปในตระกร้าไม้ไผ่ใบเล็กที่อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าสงบ
เด็กหนุ่มสองชะงักไป
ลั่วเซิงยิ้ม “ในเมื่อพวกเจ้าปอกเหอเถาเก่งเช่นนี้ เช่นนั้นก็ปอกด้วยกันเถอะ ประเดี๋ยวอาซิ่วจะใช้เหอเถาเหล่านี้ทำเหอเถาอำพัน”
ลั่วเฉิน “…”
เสี่ยวชีขานตอบอย่างดีใจ หยิบเหอเถาลูกหนึ่งขึ้นมาบีบให้แตก
ลั่วเซิงปัดเศษเหอเถาที่หล่นลงบนเสื้อผ้าของนางออก เหลือเพียงเด็กหนุ่มปอกเหอเถาสองคน นางเดินไปทางห้องโถง
หงโต้วเดินมาพอดี นางรายงานว่า “คุณหนู ฮูหยินเฉียวซื่อชิงอยู่ในห้องรับรอง บอกว่าอยากเจอท่านเจ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้เนื่องจากลั่วเซิงไปวังบูรพาจึงได้สืบเรื่องราวของชายารัชทายาทมา นางนึกขึ้นได้ในทันที “มารดาของชายารัชทายาท?”
“ใช่เจ้าค่ะ ยังพาคุณหนูรองเฉียวมาด้วยเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงเงียบ ก้าวท้าวเดินไปยังห้องส่วนตัว
เฉียวฮูหยินรออยู่ในห้องด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ
คุณหนูลั่วมีชื่อเสียไปทั่ว ไม่ใช่คนที่เข้าหาได้ง่าย แต่ฝั่งชายารัชทายาทก็รอไม่ได้เช่นกัน
มีเสียงดังขึ้นที่ประตู
เฉียวฮูหยินเห็นสาวใช้ที่เพิ่งจากไปกลับมาพร้อมกับเด็กสาวชุดสีพื้นคนหนึ่ง นางรีบลุกขึ้นทักทาย
ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ “ซื่อชิงฮูหยิน”
คุณหนูรองเฉียวลุกขึ้นตาม รู้สึกหงุดหงิดในใจ
นับตามอาวุโสแล้ว ลั่วเซิงเป็นเด็ก นับสถานะแล้ว ท่านแม่คือแม่ยายของรัชทายาท
แม้วันนี้จะมาขอความช่วยเหลือ แต่นังคนแซ่ลั่วก็โอหังเกินไปหรือไม่
สายตาของลั่วเซิงหยุดที่คุณหนูรองเฉียว ก่อนจะถามเฉียวฮูหยินว่า “ไม่ทราบว่าซื่อชิงฮูหยินมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ อาหารไม่ถูกปากหรือเจ้าคะ”
อาหารสองสามจานบนโต๊ะยังไม่ถูกแตะเลย
สำหรับมีหอสุราแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมาก
“มิใช่หรอก” เฉียวฮูหยินฝืนยิ้ม จากนั้นก็เผยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ข้าขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ข้ามีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณหนูลั่ว”
“ซื่อชิงฮูหยินนั่งก่อน” ลั่วเซิงนั่งลงอย่างสุภาพ รับจอกชาที่หงโต้วยื่นมาให้เงียบๆ
ขอความช่วยเหลือจากนางหรือ
เดือนสองเดือนนี้มีคนมาขอความช่วยเหลือจากนางล้วนเป็นเพราะต้องการเชิญหมอเทวดา
เป็นไปตามคาด คำพูดต่อมาของเฉียวฮูหยินยืนยันการคาดเดาของลั่วเซิง
“ได้ยินมาว่าคุณหนูลั่วและหมอเทวดาเป็นเพื่อนต่างวัยที่มีมิตรภาพลึกซึ้ง เคยเชิญหมอเทวดามาได้หลายครั้ง ครอบครัวข้ามีคนป่วย ไร้ซึ่งหนทางแล้วจริงๆ ทำได้เพียงหน้าด้านมาขอความช่วยเหลือจากคุณหนูลั่ว”
“เช่นนี้นี่เอง” ลั่วเซิงวางจอกชาลง เผยสีหน้าไร้หนทาง “เกรงว่าต้องทำให้ซื่อชิงฮูหยินผิดหวังแล้ว ข้าและหมอเทวดาไม่ใช่เพื่อนต่างวัยที่มีมิตรภาพลึกซึ้ง ก่อนหน้านี้ที่โชคดีเชิญหมอเทวดาได้ เป็นเพราะของขวัญที่นำไปให้เข้าตาเขา”
“ในเมื่อเช่นนี้ คุณหนูลั่วช่วยส่งของขวัญแทนได้หรือไม่ จวนเฉียวจะขอบคุณเป็นอย่างมากแน่นอน”
ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “ครั้งที่แล้วตอนไปเชิญหมอเทวดา หมอเทวดาก็พูดไว้แล้วว่าต่อไปไม่ต้องการของขวัญประเภทนี้อีก บอกให้ข้าอย่าไปรบกวนเขาอีก”
“ไม่ว่าอย่างไร เราก็อยากลองดูอีกสักครั้ง คุณหนูลั่วบอกหน่อยได้หรือไม่ว่าของขวัญที่ให้หมอเทวดาก่อนหน้านี้คืออะไร”
“ขออภัย ข้าบอกไม่ได้เจ้าค่ะ” ลั่วเซิงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
เฉียวฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ปลายนิ้วสั่นเทา
คุณหนูรองเฉียวเห็นท่านแม่คับข้องใจก็อดพูดไม่ได้ว่า “คุณหนูลั่ว ท่านแม่ข้ามาขอร้องเจ้าอย่างจริงใจ หากเจ้ามีข้อแลกเปลี่ยนอันใดก็พูดออกมาเถอะ เราจะทำให้แน่นอน”
ลั่วเซิงมองไปที่คุณหนูรองเฉียว ยิ้มบางๆ “คุณหนูรองเฉียวคิดว่าข้ายังขาดอะไรหรือ”
คุณหนูรองเฉียวชะงัก
ลั่วเซิงหุบยิ้ม น้ำเสียงเยือกเย็น “ข้าย่อมรู้ว่าเฉียวฮูหยินมาขอร้องให้ข้าช่วยเหลือจากใจจริง แต่ข้าก็บอกแล้วว่าหมอเทวดาพูดชัดเจนแล้วว่าต่อไปไม่รับของของข้าอีก เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้หรอก ทำไมกัน พวกท่านมาขอร้องด้วยใจจริง ข้าก็ต้องตกลงหรือ ข้าไม่เห็นจะรู้เลยว่ามีเรื่องเผด็จการเช่นนี้ด้วย”
“เจ้า…”
“เอ้อร์เหนียง!” เฉียวฮูหยินตำหนิลูกสาว กล่าวขอโทษลั่วเซิง “คุณหนูลั่วอย่าถือสานางเลย นังหนูนี่ถูกข้าตามใจจนเสียคน”
ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “เข้าใจได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็ถูกท่านพ่อข้าตามใจจนเสียคนเช่นกัน”
ลมหายใจของเฉียวฮูหยินสะดุดไปวูบหนึ่ง
นี่มันเด็กสาวประเภทไหนกัน เหตุใดถึงน่าโมโหเช่นนี้นะ!
“คุณหนูลั่ว ขอร้องเจ้าลองอีกสักครั้งเถอะ ไม่ว่าจะเชิญหมอเทวดาได้หรือไม่ จวนเฉียวก็ขอบคุณ” เฉียวฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงวิงวอน
ท่าทางต่ำต้อยเช่นนี้ คุณหนูรองเฉียวไม่เคยเห็นมาก่อน
นางเจ็บใจและโมโห แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมา
ท่านแม่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีแล้วนางจะเอาแต่ใจเช่นนี้ได้อย่างไร
“ขอโทษจริงๆ เจ้าค่ะ หากข้าไปรบกวนหมอเทวดาอีกก็จะถูกไล่ออกมา ข้าคงช่วยจวนท่านไม่ได้จริงๆ”
เฉียวฮูหยินเงียบไปนาน สุดท้ายเผยรอยยิ้มเหยเก “วันนี้รบกวนแล้ว”
ลั่วเซิงมองสองแม่ลูกตระกูลเฉียวจากไปด้วยสายตาเย็นชา นางตกอยู่ในห้วงความคิด
ใครกันในจวนซื่อชิงที่ต้องการเชิญหมอเทวดา
ระหว่างทางกลับจวน ลั่วเซิงสั่งโค่วเอ๋อร์ “กลับไปสืบสถานการณ์ของจวนเฉียวซื่อชิงให้ที”