ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 213 ฝึกยิงธนูด้วยกันหรือไม่

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 213 ฝึกยิงธนูด้วยกันหรือไม่

สิ่งที่แตกสลายเป็นชิ้นๆ ยังมีความว่างเปล่าตรงหน้า

ราวกับว่าเขาถูกดึงกลับไปยังอดีตเมื่อนานมาแล้ว

ปีนั้นเขาอายุเพียงเจ็ดปี เป็นครั้งแรกที่ไปเป็นแขกจวนเจิ้นหนานอ๋องพร้อมพ่อแม่

เขาลืมไปนานแล้วว่าพระชายาเจิ้นหนานอ๋องหน้าตาเป็นอย่างไร จำได้เพียงว่านางงดงามและสูงศักดิ์

พระชายาเจิ้นหนานอ๋องตบมือของเขาอย่างอ่อนโยนเบาๆ บอกให้เขาไปเล่นกับท่านหญิงน้อย

เขาเจอท่านหญิงน้อยกำลังฝึกยิงธนูอยู่ที่สนามประลองของจวนเจิ้นหนานอ๋อง

ท่านหญิงน้อยผู้มีอายุใกล้เคียงกับเขามีสมาธิจดจ่อ เพียงแต่ว่าลูกธนูที่ยิงออกไปลอยระล่องร่วงลงบนพื้น ห่างจากเป้าอีกไกลมาก

เขาอดหัวเราะไม่ได้

ท่านหญิงน้อยกลับไม่มองมาทางเขาแม้แต่น้อย นางดึงลูกธนูจากถุงใส่ธนูออกมาฝึกซ้อมต่อไป

เขาเห็นนางดีดสายธนูด้วยปลายนิ้วเบาๆ ทุกครั้งก่อนที่นางจะทาบลูกธนูลงบนคันธนู

นางฝึกซ้อมนานเพียงใด เขาก็ดูนานเพียงนั้น

ทุกครั้งจะเห็นนางท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่สะดุดตาแต่ซุกซนนั่นของนาง

ในที่สุด ธนูดอกหนึ่งที่ยิงออกไปปักลงกลางเป้า นางจึงส่งธนูให้สาวใช้เสื้อแดงข้างกายคนหนึ่งแล้วเดินมาหาเขา

“เจ้าคือผิงหนานอ๋องซื่อจื่อหรือ”

เขาประหลาดใจทำตาโต “เจ้ารู้จักข้าหรือ”

ท่านหญิงน้อยยิ้มน้อยๆ “ไม่รู้จัก แต่ท่านแม่ข้าบอกว่าวันนี้จะมีแขกสำคัญจากจวนผิงหนานอ๋องมา ดูจากการแต่งตัวและอายุของเจ้าแล้ว ไม่ใช่ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อแล้วยังจะเป็นใครได้อีก”

เขายังจำน้ำเสียงที่มุ่งมั่นของนางได้ ดวงตาสดใส และหยาดเหงื่อบนหน้าผากที่ยังไม่ได้เช็ด

เห็นนางเช่นนี้ เขาผู้เติบโตในครอบครัวขุนนางสูงศักดิ์ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อยเป็นครั้งแรก

ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกและเก้อเขิน

เขาจึงถามอย่างแข็งทื่อว่า “ในเมื่อเดาได้ว่าข้าเป็นแขกที่มาหา เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ได้มาทักทายข้าเล่า”

ราวกับว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาได้เปรียบ

นางไม่ได้อารมณ์เสีย เพียงแค่ยิ้มและพูดอย่างมีเหตุผลว่า “เพราะว่าเมื่อครู่นี้ข้ากำลังฝึกยิงธนู ยังไม่ถึงเวลาเลิก จะล้มเลิกกลางคันไม่ได้”

นี่ไม่ใช่เหตุผลเผด็จการ แต่เป็นเหตุผลที่มุ่งมั่นและใจกว้าง

จู่ๆ เขาก็ไม่มีความคิดอยากจะเอาชนะแล้ว ถามอย่างใจเย็นว่า “เจ้าชื่ออะไรหรือ”

“ข้าชื่อลั่วเอ๋อร์ เจ้าเรียกข้าชิงหยางก็ได้”

เขารู้ว่าชิงหยางคือชื่อของท่านหญิงน้อยจวนเจิ้นหนานอ๋อง

เขาจึงพูดว่า “เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าลั่วเอ๋อร์แล้วกัน ข้าชื่อเว่ยเชียง”

นางพยักหน้า เรียกเขา “เว่ยเชียง ฝึกยิงธนูด้วยกันหรือไม่”

เว่ยเชียง ฝึกยิงธนูด้วยกันหรือไม่

ราวกับเพียงพริบตา เด็กหญิงคนนั้นก็เติบโตเป็นสาวน้อยงดงาม กลายเป็นว่าที่ภรรยาของเขา

ทว่าค่ำคืนนั้นเมื่อสิบสองปีก่อน เด็กสาวที่เพิ่งไหว้ฟ้าดินเสร็จควบม้าเตลิดไป ถูกคนของท่านพ่อยิงศรเข้าที่หัวใจ

เขามองนางร่วงลงจากหลังม้า ชุดแต่งงานสีแดงแผ่กระจายบนพื้น นางจากไปอย่างเจ็บปวดทว่าสงบ

แม้ตายจาก นางก็ตายอย่างภาคภูมิ ไร้ซึ่งความเอน็จเอนาถแม้แต่น้อย

วันเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น เขาอยากจะกลับไปยังอดีตที่ไกลแสนไกลนั้นนับครั้งไม่ถ้วน

สาวน้อยที่หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเชิญชวนเขาอย่างใจกว้าง

เว่ยเชียง ฝึกยิงธนูด้วยกันหรือไม่

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมา

สายตาที่พร่ามัว ร่างในชุดสีพื้นค่อยๆ ทับซ้อนกับบุคคลในความทรงจำ

“ลั่วเอ๋อร์” เว่ยเชียงเอ่ยขึ้นเบาๆ

“คุณชาย มือท่านอย่าสั่นสิเจ้าคะ มือสั่นจะยิงได้ดีได้อย่างไร…” เสียงของสาวใช้ดังขึ้น

สายตาของเว่ยเชียงกลับมาชัดเจนดังเดิม ในสายตาของเขามีลั่วเอ๋อร์ที่ไหน มีเพียงคุณหนูลั่วเท่านั้น

เขาอยากจะเดินเข้าไป ทว่าเขามิอาจขยับตัวได้ราวกับว่ามีรากงอกใต้เท้า

สุดท้าย เขากลับกระโจมทองไปเงียบๆ ด้วยใบหน้าขาวซีด

“ฝ่าบาทเดินเล่นกลับมาแล้วหรือเพคะ” เฉาฮวาตกใจเล็กน้อย รีบเดินขึ้นไปต้อนรับ

นางคิดว่าหลังจากได้ยินสิ่งที่นางพูด ผู้ชายคนนี้จะไปขอบะหมี่น้ำแกงเปรี้ยวชามหนึ่งจากคุณหนูลั่วเสียอีก

เห็นทีนางคงสำคัญตนเองเกินไป

เฉาฮวาเยาะเย้ยตนเองยกมุมปากเล็กน้อยเดินไปข้างกายเว่ยเชียง กลับพบว่าสีหน้าเขาซีดเผือดอย่างยิ่ง สภาพเหมือนสูญเสียดวงจิตก็ไม่ปาน

“ฝ่าบาท?”

เห็นได้ชัดว่าเว่ยเชียงไม่มีอยากพูดอะไรทั้งนั้น เขาเดินผ่านเฉาฮวาไป

เฉาฮวายืนนิ่งตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบเดินตามไป

“ฝ่าบาท ดื่มน้ำชาก่อนเถอะเพคะ”

เว่ยเชียงเหลือบมองมือขาวเนียนงดงามที่ถือจอกชาไว้

บนข้อมือมีกำไลทองวิจิตรวงหนึ่ง

กำไลอีกวงหนึ่ง… อยู่ที่ข้อมือของคุณหนูลั่ว

กำไลคู่นี้เป็นของลั่วเอ๋อร์ หากลั่วเอ๋อร์เป็นคนสวมจะเป็นอย่างไรนะ

ลั่วเอ๋อร์ คุณหนูลั่ว…

เว่ยเชียงยกมือขึ้น นวดหว่างคิ้วเบาๆ

เขาคงบ้าไปแล้วที่เห็นเงาของลั่วเอ๋อร์ในตัวคุณหนูลั่ว

คุณหนูลั่วโอหังกำเริบเสิบสาน เลี้ยงกระทั่งนายบำเรอ แต่ลั่วเอ๋อร์โอหังสูงส่ง นางปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่แยแสเสมอแม้เขาจะเป็นคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกัน

บางครั้ง เขาเคยกระทั่งสงสัยว่าลั่วเอ๋อร์ไม่เคยชอบเขาเลย ที่นางยอมแต่งงานกับเขา ก็เพราะภูมิหลังทางบ้านใกล้เคียงและคำพูดของพ่อแม่เท่านั้น

ความคิดที่แวบขึ้นมานี้แทบจะทำให้เขาเป็นบ้า

เขาคือท่านอ๋องน้อยแห่งจวนผิงหนานอ๋อง แม้จะต้องการดาวบนฟ้าก็มีคนมากมายแย่งชิงเพื่อคว้ามาให้

แต่เขากลับไม่สามารถเข้าใจหัวใจของนางได้

เขาคิดว่า หากเขาอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ ฐานะสูงศักดิ์กว่านี้ก็คงจะสามารถครอบครองลั่วเอ๋อร์ได้อย่างสมบูรณ์

บางทีอาจจะทำให้ลั่วเอ๋อร์หลงรักและชื่นชมเขาเหมือนกับสตรีอื่น

“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปเพคะ” มือที่ถือจอกชาสั่นเล็กน้อย

เว่ยเชียงขยับดวงตาที่หมองคล้ำ ไม่ได้รับจอกชามา แต่จับข้อมือที่สวมกำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีเอาไว้

เฉาฮวาม่านตาหดลง จอกชาในมือส่ายไหวไปมา

เหตุใดชายคนนี้จึงดูผิดปกติเช่นนี้นะ

นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ใช้แขนข้างหนึ่งโอบเขาไว้

ในเมื่อถามแล้วไม่ตอบ เช่นนั้นก็รอให้เขาพูดเองดีกว่า

การโอบกอดอันอบอุ่นของสตรีค่อยๆ ปลอบประโลมพายุที่โหมกระหน่ำในใจเขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เขาถามเสียงเบาว่า “อวี้เหนียง เจ้าคิดว่าบนโลกใบนี้จะมีคนสองคนที่มีความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกันหรือไม่”

เฉาฮวากะพริบตาสองสามที ไม่เข้าใจคำถามของเขา

ทว่าเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กำลังรอคำตอบจากนาง

“อาจจะมีก็ได้เพคะ…” เฉาฮวาตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก “ถึงอย่างไรบนโลกใบนี้ก็มีคนมากมาย คนเราจะมีส่วนคล้ายคลึงกันก็ไม่แปลก”

“เช่นนั้นหรือ” ชายที่อยู่ในอ้อมอกของนางถามขึ้นเบาๆ ฟังไม่ออกว่าสุขหรือทุกข์

เฉาฮวายิ่งรู้สึกประหลาดใจ นางถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทเจอใครมาหรือเพคะ”

เว่ยเชียงเงียบ

เฉาฮวาเงียบเป็นเพื่อนเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง เว่ยเชียงผลักเฉาฮวาออกเบาๆ ดึงนางนั่งลงข้างกาย ถามคำถามที่ทำให้เฉาฮวารู้สึกประหลาดใจมาก

“อวี้เหนียง เจ้าคิดว่าคุณหนูลั่วเป็นอย่างไร”

เฉาฮวายิ้มๆ “หม่อมฉันและคุณหนูลั่วยังไม่ได้พูดคุยกันมากนัก มิอาจ…”

“ว่ามาตามความรู้สึกของเจ้า” ราวกับว่าเว่ยเชียงจะหมดความอดทนเล็กน้อย เขาพูดแทรกนางด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปหมด

อยากได้ยินบางอย่าง แต่ก็กลัวที่จะได้ยินมัน

จะเป็นอย่างไร แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้แล้ว

เฉาฮวาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้ม “หม่อมฉันรู้สึกว่าคุณหนูลั่วใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือว่า… ”

เว่ยเชียงขมวดคิ้ว

สิ่งที่เขาอยากได้ยินไม่ใช่เรื่องนี้

“อวี้เหนียง เจ้าคิดว่าคุณหนูลั่วเหมือนลั่วเอ๋อร์หรือไม่”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท