ตอนที่ 216 ไปเถอะ
เซียวกุ้ยเฟยคิดถึงเรื่องในอดีตที่ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ อันที่จริงไม่ได้รู้สึกอะไรมากแล้ว
แต่กลิ่นหอมนั่นยังคงอยู่ในความทรงจำของนาง
แม้ขาหมูที่ได้ชิมตอนนี้จะมีรสชาติดี แต่สำหรับนางแล้วก็ยังสู้ไก่ตัวอ้วนตัวนั้นไม่ได้
ทว่าคนครัวที่สามารถทำขาหมูขอทานได้อร่อยเช่นนี้ เชื่อว่าทำไก่ขอทานก็คงอร่อยไม่แพ้กัน
จักรพรรดิหย่งอันได้ยินคำพูดของเซียวกุ้ยเฟยก็หัวเราะออกมา “ไม่ใช่พ่อครัวหลวงทำ”
“ไม่ใช่พ่อครัวหลวงหรือเพคะ” เซียวกุ้ยเฟยประหลาดใจกว่าเดิม
“แม่ครัวที่ลูกสาวของแม่ทัพใหญ่ลั่วพามาเป็นคนทำ…”
ได้ยินจักรพรรดิหย่งอันตรัสเช่นนั้น เซียวกุ้ยเฟยก็ยิ้ม “เช่นนี้นี่เอง คุณหนูลั่วเป็นคนรู้จักใช้ชีวิตจริงๆ”
“แม่นางน้อยรู้จักใช้ชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร” จักรพรรดิหย่งอันกล่าว
เขาเคยได้ยินว่าลั่วฉือตามใจบุตรสาวสายตรงเพียงหนึ่งเดียวผู้นี้อย่างไรบ้าง
นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เขาไม่ถือสาขุนนางที่ทำให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย
ความภักดีต่างหาก ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
จักรพรรดิหย่งอันคิดถึงเบื้องหลังที่ว่างเปล่า จู่ๆ ก็หมดอารมณ์กับขาหมูเหนียวนุ่มเอร็ดอร่อยตรงหน้า
เขาเคยมีโอรสและธิดามากมาย แต่บัดนี้ผู้ที่มีสายเลือดที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวคือองค์หญิงฉางเล่อ
เว่ยเชียงเป็นหลานชายของเขา ตามหลักการแล้วเมื่อย้ายสายตระกูลมาอยู่ภายใต้เขา เว่ยเชียงก็ไม่ต่างจากโอรสโดยแท้
แต่ท้ายที่สุดแล้วก็แค่ตามหลักการแล้ว จะเหมือนกันได้อย่างไร
จากตำแหน่งของเขา แม้จะเป็นพ่อลูกโดยสายเลือดก็ยังต้องเฝ้าระวังเมื่อรัชทายาทเติบใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานชาย
ด้วยเหตุนี้ สำหรับเขาแล้วความภักดีของขุนนางจึงเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
ส่วนเรื่องความสามารถ… จักรพรรดิหย่งอันยิ้ม
ราชวงศ์ต้าโจวเต็มไปด้วยผู้มากความสามารถ สิ่งที่ไม่เคยขาดเลยคือผู้มีพรสวรรค์
“ฝ่าบาทคิดว่าอร่อยก็เสวยเยอะหน่อยเพคะ” เซียวกุ้ยเฟยคีบขาหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนจานของจักรพรรดิหย่งอัน
จักรพรรดิหย่งอันมองใบหน้างดงามและอ่อนเยาว์ของเซียวกุ้ยเฟย พยักหน้าอมยิ้ม
เมื่อเสวยอิ่มแล้ว จักรพรรดิหย่งอันก็เกิดอารมณ์สุนทรีย์ขึ้น “เจ้าร่ายรำสักเพลงเถอะ ข้าไม่ได้ดูเจ้าร่ายรำนานแล้ว”
ไม่นานเสียงดนตรีก็ดังขึ้น เซียวกุ้ยเฟยกระพือแขนเสื้อยาวของนางและร่ายรำอย่างสง่างามบนพรมสีทองนุ่ม
เว่ยเชียงมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิหย่งอัน แต่ถูกขวางไว้นอกกระโจม
“ฝ่าบาททรงรอสักครู่ กุ้ยเฟยกำลังร่ายรำอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยเชียงยืนรอนอกกระโจมเงียบๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เซียวกุ้ยเฟยก็เดินออกมาจากกระโจมทอง
“รัชทายาทมาแล้วหรือ”
กลิ่นหอมโชยออกมา
เว่ยเชียงละสายตา คารวะอย่างสุภาพ
เซียวกุ้ยเฟยยิ้มๆ ก้าวเท้าเดินผ่านข้างกายเว่ยเชียง
ขันทีเข้ามาส่งเว่ยเชียงในกระโจม
เซียวกุ้ยเฟยไม่ได้กลับไปยังกระโจมทอง แต่กลับไปยังราชนิเวศน์ ลงอ่างและอาบน้ำ
หลังจากวุ่นวายพักใหญ่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
เซียวกุ้ยเฟยนอนตะแคงอยู่บนตั่ง สั่งขันทีว่า “ไปหาคุณหนูลั่ว ขอให้แม่ครัวของนางทำไก่ขอทาน”
ขันทีรับคำสั่งและจากไป
“กุ้ยเฟยอยากเสวยไก่ขอทานหรือ”
ขันทียิ้มๆ เอ่ยอย่างเกรงใจ “รบกวนคุณหนูลั่วแล้ว”
“เอาวัตถุดิบมาหรือยัง”
ขันทีชะงัก
วัตถุดิบหรือ วัตถุดิบอะไรกัน
หงโต้วเห็นขันทีทำหน้าสับสนก็เม้มปากเตือนว่า “ไก่ไงเจ้าคะ ทำไก่ขอทานแต่ไม่มีไก่จะทำอย่างไร”
เรื่องง่ายๆ แค่นี้ไม่เข้าใจหรือ
ขันทีทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็กลืนลงไปเช่นเดิม
เขาย่อมรู้ว่าทำไก่ขอทานต้องใช้ไก่ แต่ต้องให้กุ้ยเฟยเตรียมมาหรืออย่างไร
“ไม่มีหรือ” หงโต้วพูดเสียงดัง “เช่นนั้นก็ทำไม่ได้สิ ขาหมูน่ะเรามีไม่น้อย แต่ไม่มีไก่ป่าหรอกนะ”
อย่าว่าแต่ไก่ป่าเลย วันนี้แม้แต่กวางและกระต่ายก็ไม่เห็น มีเพียงหมูป่าเท่านั้น
“เอ่อ…” ทันทีที่ขันที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก
ลั่วเซิงพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “กงกงลองไปถามที่ครัวหลวงดูสิเจ้าคะ”
ขันทีราวกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ เดินไปที่ครัวหลวงขอไก่ตัวอวบอ้วนมาสองตัว
ไก่ขอทานเหมือนกับขาหมูขอทาน ล้วนต้องใช้เวลาทำนาน
ขันทีได้แต่ยืนรอ ถูกทรมานด้วยกลิ่นต่างๆ
“กงกงกินเนื้อย่างหรือไม่เจ้าคะ” หงโต้วยิ้มถาม
ขันทีเหลือบมองเนื้อย่างไม้หนึ่งในมือของสาวใช้
ชิ้นเนื้อขนาดเท่าๆ กันมีสีเหลืองทองมันวาว ยังโรยด้วยผงพริกสีแดง
เขาไม่กินเผ็ด
“ไม่กินหรือ” หงโต้วกัดเนื้อชิ้นหนึ่ง มุมปากแวววาว
“เช่นนั้นขอชิมดูหน่อยแล้วกัน” ขันทียื่นมือไปรับเนื้อย่าง กินคำใหญ่
เผ็ดจริงๆ อร่อยจริงๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่
หงโต้วส่งไก่ขอทานที่ใส่ลงในกล่องอาหารให้ขันที “กงกงถือดีๆ นะเจ้าคะ”
ขันทีรับกล่องอาหาร เดินหนังท้องตึงกลับไป
อิ่มจริงๆ!
เซียวกุ้ยเฟยเดินเล่นในสวนในราชนิเวศน์หลังจากตื่นขึ้นมา ในที่สุดไก่ขอทานก็มา
ฉีกเนื้อไก่ตัวอวบอ้วนชิ้นหนึ่งทานลงไป เซียวกุ้ยเฟยหลับตาลง
รสชาติอร่อยเหมือนกับรสชาติในความทรงจำของนาง
“คุณหนูลั่วพูดอะไรหรือไม่” แม้จะมีรสชาติดี แต่เซียวกุ้ยเฟยก็กินแค่สองสามชิ้นเท่านั้น
ขันทีตอบอย่างสุภาพ “คุณหนูลั่วได้ยินว่าเหนียงเหนียงอยากเสวย ดูดีใจมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาตั้งใจนึกย้อนดูแล้ว คุณหนูลั่วแทบจะไม่ได้พูดอะไรเลย ดีใจหรือไม่นั้นก็ดูไม่ออก
แต่ว่านึกถึงเนื้อย่างหอมอร่อยที่ทานลงไปเต็มท้องนั่น ช่วยพูดหน่อยก็ไม่เป็นไร
“เช่นนั้นหรือ” เซียวกุ้ยเฟยมองไก่ขอทานในจานหยกสีขาว ยิ้มน้อยๆ
ตอนที่เว่ยเชียงไปหาลั่วเซิง เขาคลาดกับขันทีที่เซียวกุ้ยเฟยส่งไปพอดี
“ฝ่าบาทอยากทานบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวหรือเพคะ” ลั่วเซิงเหลือบมองปลาตัวหนึ่งที่อยู่ในมือขององครักษ์ด้านหลังเว่ยเชียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตั้งแต่วันนั้นที่ได้ทานบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวที่แม่ครัวของคุณหนูลั่วทำ ข้าก็ลืมไม่ลงเลย”
ลั่วเซิงยิ้มๆ “หม่อมฉันคิดว่าองค์ชายชอบขาหมูขอทานเสียอีก”
เห็นนางเด็ดดอกไม้ต้นหญ้าอย่างไม่ใส่ใจนัก จู่ๆ เว่ยเชียงก็ลืมตอบ
บางทีอาจจะเพราะความบังเอิญที่เขาเห็นทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เมื่อมองดูนางในยามนี้ มักจะมองหาเงาของอีกคนหนึ่งในทุกๆ การกระทำอย่างไม่รู้ตัว
จากนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนกัน
แต่เหตุใดเมื่อก่อนจึงไม่รู้สึกเลยนะ
เว่ยเชียงบอกตนเองว่าอย่าคิดเพ้อเจ้อ แต่กลับอดมองคนตรงหน้าไม่ได้
ลั่วเซิงทิ้งดอกไม้ข้างทางลงอย่างไม่แยแส ยิ้มพูดว่า “อวี้เสวี่ยนซื่อชอบทานบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวใช่หรือไม่เพคะ”
เว่ยเชียงดวงตาวูบไหวเล็กน้อย ผ่านไปนานจึงพยักหน้า
เดิมเขามาเพราะอวี้เหนียง แต่เมื่อได้ยินคุณหนูลั่วถามเช่นนี้ กลับรู้สึกไม่ค่อยอยากยอมรับ
ลั่วเซิงมองการตอบสนองของเว่ยเชียงด้วยสายตาเยือกเย็น รู้สึกสงสัยในใจ
ทำผิดพลาดตรงไหนไปหรือ นางคิดว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง คำพูดอย่างอวี้เสวี่ยนซื่อชอบกินบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยวนี้ เว่ยเชียงควรเป็นคนพูดออกมา
ความเงียบของลั่วเซิงทำให้เว่ยเชียงอดอธิบายไม่ได้
“อวี้เสวี่ยนซื่อไม่ค่อยอยากอาหารมาแต่ไหนแต่ไร มาถึงเป่ยเหอไม่ค่อยคุ้นชิน ยิ่งกินอะไรไม่ลง จึงมารบกวนคุณหนูลั่ว”
ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ “รบกวนจริงๆ เพคะ”
เว่ยเชียงชะงัก ยังไม่ทันพูดอะไรก็เห็นเด็กสาวตรงหน้ายิ้ม
“ว่ากันว่าจับปลาให้มิสู้สอนให้จับปลาเป็น ในเมื่อองค์ชายและอวี้เสวี่ยนซื่อชอบทานบะหมี่หัวปลาน้ำแกงเปรี้ยว ถือโอกาสตอนนี้สะดวกให้แม่ครัวของหม่อมฉันสอนนางกำนัลของอวี้เสวี่ยนซื่อทำอาหารจานนี้เถอะเพคะ หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปแม้จะกลับวังไปแล้ว องค์ชายและอวี้เสวี่ยนซื่อก็จะทานได้ตลอดเวลา”
ลั่วเซิงยิ้มมองเว่ยเชียง “องค์ชายคิดว่าอย่างไรเพคะ”
มองดูเด็กสาวหน้าตายิ้มแย้ม เว่ยเชียงอดพยักหน้าไม่ได้ “หากเป็นเช่นนี้ได้ ย่อมดีที่สุด”
ลั่วเซิงหันไปสั่ง “อาซิ่ว ตามองค์ชายไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ” อาซิ่วเดินไปเงียบๆ