ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 228 พิรุณโปรยปราย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 228 พิรุณโปรยปราย

เว่ยเชียงคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่นอนหลับอีกครั้ง เขาจะฝันอีก

ยังคงเป็นขบวนต้อนรับเจ้าสาว งานเฉลิมฉลองของจวนอ๋อง การไล่ตามในยามค่ำคืนของทั้งสองคน

เพียงแต่ตอนที่ใกล้จะถึงจวนเจิ้นหนานอ๋อง เขาที่เดิมเข้าใจโลกในความฝันทุกอย่างกลับงุนงงไปชั่วขณะ

เขาไม่รู้ว่า สิ่งที่เขาจะเห็นในลำดับต่อไปคือ ลั่วเอ๋อร์ถูกลูกธนูยิงตกจากม้าหรือว่าลั่วเอ๋อร์หันหน้ากลับมาแล้วกลายสภาพเป็นคุณหนูลั่ว

เพราะความไม่แน่ใจนี้ ความกังวลใจและความปวดใจกับความฝันในอดีตนี้จึงถูกกดเอาไว้ชั่วคราว

ม้าวิ่งผ่านต้นไทรริมถนนต้นหนึ่ง

ถึงเวลาแล้ว

สตรีที่ห้อตะบึงอยู่ข้างหน้าพลันหันหน้ากลับมา

เป็นคุณหนูลั่ว!

เพราะเตรียมใจเอาไว้ ครั้งนี้เว่ยเชียงจึงไม่ได้สะดุ้งทันทีเพราะตื่นตะลึงเกินไป

และหลังจากนั้น เขาก็เห็นคุณหนูลั่วพลันยกคันธนูขึ้นมา น้าวสายธนูเต็มเหนี่ยว เล็งมาทางเขา

ลูกธนูพุ่งมาทางใบหน้าเขาอย่างเร็วราวกับดาวตก

เว่ยเชียง จะฝึกยิงธนูด้วยกันหรือไม่

จู่ๆ ประโยคนี้ก็ดังขึ้นข้างหูเขา

เว่ยเชียงพลันลืมตา เหลือบเห็นประกายแสงสีทองจึงรีบเบี่ยงตัวหลบ

ความเจ็บปวดลึกล้ำคืบคลานเข้ามา ปิ่นทองแทงเข้ามาที่ไหล่ของเขา

”อวี้เหนียง!“ เว่ยเชียงตื่นเต็มตา มองสตรีที่มีสีหน้าโหดเหี้ยมตรงหน้าอย่างตกตะลึง

เฉาฮวากัดริมฝีปากแน่น ออกแรงดึงปิ่นทองออกมาแล้วสะบัดแทงไปทางลำคอของเว่ยเชียง

ไม่มีเวลาแล้ว ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น!

ตอนนี้สมองของเฉาฮวาว่างเปล่า ไม่มีความเสียใจจากการโจมตีพลาดและไม่ได้ขี้ขลาดที่ต้องสังหารบุรุษผู้หนึ่ง

นางมีเพียงความคิดเดียวก็คือ สังหารคนตรงหน้าผู้นี้!

และเว่ยเชียงที่ได้สติคืนมา กลับไม่ใช่คนที่เฉาฮวาจะสามารถรับมือได้แล้ว

บุรุษและสตรีมีความแตกต่างกันทางด้านพละกำลังแต่กำเนิดจึงตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้ตั้งแต่แรกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เว่ยเชียงก็เติบโตมากับการร่ำเรียนขี่ม้าและยิงธนู

เว่ยเชียงแย่งปิ่นทองในมือเฉาฮวาไปแล้วเขวี้ยงลงไปที่พื้น

ปิ่นปักผมสีทองกระทบพื้นเย็นเยียบเหมือนสายน้ำจนเกิดเสียงดังกังวาน

เสียงนั้นชัดเจนเป็นพิเศษ เมื่อดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันก่อนรุ่งอรุณ เหมือนกับเสียงตวาดเมื่อครู่ของเว่ยเชียง

“องค์รัชทายาท…” คนในวังที่ปฏิบัติหน้าที่ยามดึกตะโกนเรียกอยู่นอกม่านกระโจม

“ไสหัวออกไป!” เว่ยเชียงตวาด ขณะรัดมือเท้าของเฉาฮวา

คนในวังที่ถูกทำให้ตกใจรีบถอยออกไป

เว่ยเชียงจ้องเฉาฮวาเขม็ง สีหน้าบิดเบี้ยว “พูด เจ้าทำแบบนี้เพราะอะไร!”

นังแพศยานี่ถึงกับกล้าลอบสังหารเขา!

หลายปีมานี้ เขาให้ความโปรดปรานกับนางมาก สุดท้ายกลับได้ความขวัญกล้าเทียมฟ้า[1]กลับคืนมา?

เฉาฮวาเงียบ แต่เอียงหน้ากัดแขนเขา

ความเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าบริเวณไหล่เลย

ทำให้เว่ยเชียงตระหนักชัดแจ้งยิ่งว่า สตรีนางนี้แทบอยากจะกัดเขาให้เนื้อหลุดออกมา

“ปล่อย!” เว่ยเชียงผละมือข้างหนึ่งออกมาบีบคางเฉาฮวาอย่างแรง

เฉาฮวาถูกบีบให้คลายปาก มุมปากมีคราบเลือด

ความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นถูกความโมโหบดบัง ทำให้เว่ยเชียงสูญเสียความสงสารที่มีต่อสตรีตรงหน้าไปโดยสิ้นเชิง

มือของเขาที่ทาบอยู่บนลำคอนางและบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้าทำแบบนี้เพราะอะไรกันแน่!

เฉาฮวาหายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ ขณะมองบุรุษผู้มีสีหน้าดุร้าย นางรู้ว่า หากไม่เอ่ยอันใดก็จะเอ่ยอะไรออกมาไม่ได้อีกแล้ว

นางพยายามดึงมือคู่นั้นออกสุดชีวิต เอ่ยเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “เพราะพระองค์ลืมท่านหญิงแล้ว…พระองค์กำลังหลอกตนเองและผู้อื่น ต้องการหาตัวแทน! แค่กๆๆ….“

เฉาฮวาไอออกมาอย่างรุนแรงตามมือที่คลายออกของชายหนุ่ม

แต่มือคู่น้้นก็บีบแน่นยิ่งกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว ขมับของชายหนุ่มมีเส้นเอ็นปูดโปน คล้ายกับบันดาลโทสะยิ่งยวดเพราะประโยคนี้

”หุบปาก! ข้าไม่ได้หลอกตนเองและผู้อื่น เจ้าจะไปเข้าใจอันใด…”

เฉาฮวายิ้มเยาะ “ในอดีตพระองค์มีความรักลึกซึ้งให้กับท่านหญิงมาตลอด ดังนั้นหม่อมฉันจึงยินยอมปรนนิบัติพระองค์ แต่ตอนนี้พระองค์หวั่นไหวกับสตรีอื่น จะทรยศท่านหญิง เช่นนั้น หม่อมฉันก็ทำได้แค่ส่งพระองค์ไปพบท่านหญิงแล้ว!”

เพราะหายใจลำบาก สีหน้าของนางจึงค่อยๆ คล้ำม่วง แต่แววตาที่มองบุรุษผู้นั้นไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้แต่น้อย มีเพียงแววเหยียดหยาม

“พระองค์…ทรงตัดใจเสียเถอะ…ท่านหญิงมีเพียงแค่คนเดียว ท่านหญิงตายไปแล้ว บนโลกใบนี้ไม่มีท่านหญิงอีกแล้ว”

“หุบปาก ข้าบอกให้เจ้าหุบปาก!” เว่ยเชียงถูกทำให้บ้าคลั่งจากทุกคำที่เฉาฮวาเอ่ยออกมา มือพลันออกแรงมากขึ้นกว่าเดิม

เบื้องหน้าของเฉาฮวามีแสงขาวโพลน

ในแสงสีขาวนั่น นางมองเห็นซูเฟิง เจี้ยงเสวี่ย ซิ่วเย่ว์ และยังมีตนเองในวัยเยาว์

พวกนางล้อมอยู่ข้างกายท่านหญิง ซิ่วเย่ว์ซึ่งเกล้ามวยผมง่ามคู่ [2] ถามขึ้นด้วยอารมณ์คึกคัก “ท่านหญิงหอสุราของพวกเราจะตั้งชื่อว่าอะไรดีเจ้าคะ“

ท่านหญิงมองพวกนาง พลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรียกว่ามีหอสุราแล้วกัน”

น่าเสียดายจริงๆ ที่ตลอดมา นางไม่มีโอกาสไปดูมีหอสุราเลย

ไปดูว่ามีหอสุราที่ตั้งอยู่บนถนนชิงซิ่งนั้นเหมือนกับมีหอสุราในความฝันของนางหรือไม่

จะต้องเหมือนกันแน่นอน เพราะมีหอสุราเป็นกิจการที่เปิดโดยท่านหญิงกับซิ่วเย่ว์

ท่านหญิง ท่านอย่าได้ถือโทษบ่าวเลยนะเจ้าคะ

บ่าวโชคไม่ค่อยจะดีมาโดยตลอด เห็นอยู่ชัดๆ ว่า อีกแค่นิดเดียวก็จะสามารถกำจัดบุรุษผู้นั้น จัดการเรื่องยุ่งยากแทนท่านได้แล้ว แต่บุรุษผู้นั้นดันลืมตาขึ้นมาในตอนนั้นพอดี…

ความจริงแล้วบ่าวเหนื่อยมาก ปล่อยให้บ่าวพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ รอถึงตอนที่ได้พบกับซูเฟิงและเจี้ยงเสวี่ย บ่าวจะบอกข่าวที่ท่านพาซิ่วเย่ว์เปิดมีหอสุรากับพวกนาง

นั่นคือมีหอสุราที่พวกนางล้วนเคยใฝ่ฝันถึงเลยนะ

มุมปากของเฉาฮวาประดับรอยยิ้มบางๆ มือที่พาดอยู่ตัวชายหนุ่มหล่นลงมาเงียบๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เว่ยเชียงคลายมือออก มองดวงตากลมโตของสตรีที่ไม่ขยับเขยื้อนคู่นั้น หนังตาสั่นไหว

เขายื่นมือออกไปอังจมูกนาง ถึงค้นพบว่าสตรีที่อยู่เคียงข้างเขามาสิบสองปีหยุดหายใจแล้ว

เว่ยเชียงนั่งโดดเดี่ยวจนกระทั่งแสงสว่างค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนขอบฟ้า

ฟ้าสว่างแล้ว

ด้านนอกมีความเคลื่อนไหว

เสียงนกขับขาน แมลงส่งเสียงร้อง สรรพสิ่งตื่นขึ้นมา

โต้วเหรินยืนตะโกนเรียกอยู่นอกม่าน “องค์รัชทายาท ควรตื่นบรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เนิ่นนานหลังจากนั้นก็มีเสียงแหบแห้งของบุรุษดังลอยมา “เจ้าเข้ามาคนเดียว”

โต้วเหรินเลิกม่านขึ้นแล้วก้าวเข้ามาในห้องนอน

ภายในห้องนอนอบอวลไปด้วยกลิ่นที่อธิบายไม่ถูก ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัว

จากนั้น โต้วเหรินก็เห็นดวงหน้าขาวซีดขององค์รัชทายาทที่นั่งอยู่บนตั่ง รวมถึงอวี้เสวียนซื่อที่เอนตัวนอนอยู่อย่างสงบเงียบ

สัญชาตญาณของโต้วเหรินรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ จากนั้นก็นัยน์ตาหดวูบ เมื่อเห็นคราบเลือดบริเวณไหล่ของเว่ยเชียง

เพราะสวมเพียงเสื้อตัวในสีขาวหิมะ คราบเลือดจึงชัดเจนยิ่ง

“องค์รัชทายาท พระองค์ได้รับบาดเจ็บ!”

เว่ยเชียงไม่สนใจท่าทีตื่นตะลึงของโต้วเหริน แต่เหลือบมองคนที่นอนอยู่ข้างกายแวบหนึ่ง

โต้วเหรินถึงได้กล้าพิจารณามองเฉาฮวาอย่างละเอียด

เมื่อมองไปก็ถอยหลังกรูด ตกใจเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ

“องค์รัชทายาท…”

เว่ยเชียงลุกขึ้น สวมรองเท้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่รู้ว่าเรียบเฉยหรือว่าไม่แยแสกันแน่ “เจ้าจัดการสักหน่อยแล้วกัน”

ในสายตาผู้คน เฉาฮวาคือสาวใช้ที่บุตรีของกบฏเหลือทิ้งเอาไว้ เดิมไม่สมควรจะมีตัวตนแล้ว เป็นเขาที่ดึงดันจะเก็บเอาไว้ตามอำเภอใจ โดยไม่รับฟังความเห็นของผู้อื่น

หากลือออกไปว่า จะฆ่าเขาแต่ถูกเขาฆ่าแทน เช่นนั้นเขาคงได้กลายเป็นเรื่องตลกที่ทำให้ผู้คนขบขันแน่ๆ

“องค์รัชทายาท นางกำนัลรับใช้ที่ชื่อชิงเอ๋อร์นางนั้นของอวี้เสวียนซื่อ…“

เว่ยเชียงหันหน้าไปทางประตู โดยไม่หันกลับมา ”เจ้าคิดว่าอย่างไรก็จัดการตามนั้นได้เลย“

เรื่องแค่นี้ โต้วเหรินสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้

”กระหม่อมรับทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ“ โต้วเหรินกลับคืนสู่สภาพสงบเยือกเย็น หลุบตารับคำ

เว่ยเชียงก้าวเท้ายาวเข้าไปในห้องอาบน้ำ

ไม่รู้ว่าอาบไปนานเพียงใด เขาเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่แล้วเดินออกมา

เมื่อยืนอยู่บนบันไดหินนอกตำหนัก ถึงค้นพบว่าเมฆหนาสีเข้มลอยอยู่บนท้องฟ้า

ฝนตกแล้ว

แรกเริ่มเม็ดฝนไม่ใหญ่ ค่อยๆ ร้อยเรียงกลายเป็นม่านฝนที่แขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน

[1] ขวัญกล้าเทียมฟ้า หมายถึง มีความกล้าหาญผิดปกติ

[2] มวยผมง่ามคู่ เป็นทรงผมที่สำหรับสตรีที่อายุยังน้อย คล้ายกับผมแกละ โดยแบ่งผมออกเป็นสองข้าง หวีให้เป็นมวยบนศีรษะของทั้งสองข้าม แล้วประดับด้วยปิ่นปักผม หรือดอกไม้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท