ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 229 ส่งอาหาร

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 229 ส่งอาหาร

Ink Stone_Romance

หงโต้ววิ่งเข้ามาในห้องจากด้านนอก

“คุณหนู ฝนตกแล้วเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงย่อมได้ยินเสียงน้ำฝนนอกหน้าต่าง เมื่อได้ยินก็แค่ยิ้มๆ แล้วหลุบตาอ่านหนังสือต่อไป

หงโต้วเขยิบเข้ามา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยแววเสียใจหลายส่วน “คุณหนู ฝนตกก็ไม่สามารถล่าสัตว์ได้แล้วนะเจ้าคะ”

นางยังอยากจะล่ากวางอีกตัวหนึ่งในวันนี้นะ

เนื้อกวางตุ๋นที่ได้กินเมื่อวานนี้อร่อยเกินไปแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่ลูกพลับเดือนหกน้อยไปหน่อย ปริมาณอาหารจึงน้อยตามลงไปด้วย

กินไม่พอ

โชคดีที่วันนี้ยังมีลูกพลับเดือนหกสดใหม่ส่งมาอีก ลูกใหญ่ผิวบาง นางตรวจสอบแต่ละลูกดูแล้ว

ลั่วเซิงวางม้วนหนังสือลง ตบหลังมือสาวใช้ที่อวบขึ้นทุกวัน “พักผ่อนได้วันหนึ่งพอดี”

หงโต้วพยักหน้าไม่พอใจ แต่พริบตาเดียว นัยน์ตาก็เปล่งประกายอีกครั้ง “คุณหนู เช่นนั้นตอนเที่ยงพวกเราจะกินอะไรกันหรือเจ้าคะ มีลูกพลับเดือนหกตะกร้าหนึ่ง บ่าวนับแล้ว สิบสองลูกเต็มๆ!”

ลั่วเซิงตะลึง “ไปเอาลูกพลับเดือนหกมาจากไหนมากมาย?”

ลูกพลับเดือนหกนั้นนับว่าเป็นของหายาก ได้มาไม่ง่าย

หงโต้วยิ้มระรื่น “ไคหยางอ๋องส่งมาเจ้าค่ะ”

สีหน้าที่แสดงออกว่ามันสมควรเป็นแบบนั้น ทำให้ลั่วเซิงหมดวาจาจะกล่าวไปชั่วขณะ

นางสบกับแววตารอคอยของสาวใช้แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ทำไข่อบกระเจี๊ยบแล้วกัน สองสามวันมานี้กินของมันเกินไป คราวนี้ก็กินอาหารรสจืดสักหน่อยได้พอดี”

“ไข่อบกระเจี๊ยบหรือเจ้าคะ” หงโต้วกะพริบตา “กระเจี๊ยบนั้นบ่าวรู้จัก ผัดหรือคลุกกินล้วนอร่อยทั้งนั้น แต่กระเจี๊ยบกับลูกพลับเดือนหกจะเอามาทำอาหารรวมกันได้อย่างไรเจ้าคะ”

ลูกพลับเดือนหกผัดไข่ นางก็เคยกิน

“ใช้ลูกพลับเดือนหกเป็นถ้วยรอง ไข่ไก่กับกระเจี๊ยบมาทำอาหารจานนี้” ลั่วเซิงอธิบายคร่าวๆ

เมื่อเอ่ยถึงวิธีการทำอาหาร นางก็ยินยอมจะพูดให้มากขึ้นสักสองสามประโยค

ไม่มีหัวข้อใดที่ปลอดภัยและทำให้จิตใจผู้คนเบิกบานไปกว่าการสนทนาเรื่องอาหารอีกแล้ว

“ฟังดูแล้วน่าอร่อย ลูกพลับเดือนหกลูกเมื่อวาน ไคหยางอ๋องไม่ได้กินเสียเปล่าจริงๆ เจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงหุบรอยยิ้มมุมปาก น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย “อย่าวิพากษ์วิจารณ์ท่านอ๋องตามใจชอบ ไปเรียกอาซิ่วมาเถอะ”

ยังห่างจากช่วงเวลาที่จะทำอาหารอีกนาน เรียกอาซิ่วมาทำอันใดกัน

หงโต้วตำหนิในใจ แต่ก็ยังคงไปถ่ายทอดวาจาอย่างตรงไปตรงมา

ภายในห้องกลับคืนสู่ความสงบ ลั่วเซิงเดินไปหน้าบานหน้าต่าง ชมสายฝนเงียบๆ

สายฝนนอกหน้าต่างค่อยๆ หนักขึ้น ลมเย็นพัดหอบเอาหยดน้ำฝนลอยเข้ามา ตกลงบนแก้มและหลังมือ ทำให้นางรู้สึกหนาวเล็กน้อย

ฤดูใบไม้ร่วงที่เป่ยเหอหนาวกว่าฤดูใบไม้ร่วงที่เมืองหลวงนิดหน่อย

โดยเฉพาะเมื่อมีฝนตกหนักขนาดนี้ ถึงขั้นรู้สึกถึงความหนาวในต้นฤดูหนาวอยู่บ้าง

“คุณหนู เหตุใดจึงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ระวังไม่สบายนะเจ้าคะ” ซิ่วเย่ว์ที่เดินตามหงโต้วเข้ามาเห็นภาพเบื้องหน้าก็เร่งฝีเท้าเข้าไปปิดหน้าต่าง

หงโต้วเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้

อาซิ่วแย่งชิงความโปรดปรานอีกแล้ว!

เดิมคิดจะชักสีหน้า แสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่เมื่อคิดถึงไข่อบกระเจี๊ยบ สาวใช้ก็อดกลั้นเงียบๆ

“คุณหนู อาภรณ์ของท่านเปียกชื้นแล้วเจ้าค่ะ” หงโต้วเบียดซิ่วเย่ว์ออกไปพลางยิ้มหวาน “บ่าวจะไปนำชุดใหม่มาให้ท่านนะเจ้าคะ ท่านอยากใส่เสื้อคลุมหงฮวาบนพื้นขาว หรือว่าชุดกระโปรงสีเหลืองอมขาวปักลายหรูอี้[1]ดีเจ้าคะ…”

“เอาที่เจ้าเห็นว่าดีแล้วกัน”

ในห้องเหลือเพียงแค่ลั่วเซิงกับซิ่วเย่ว์อย่างรวดเร็ว

ซิ่วเย่ว์เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “คุณหนูต้องรักและถนอมร่างกายนะเจ้าคะ ทางเป่ยเหอไม่เหมือนเมืองหลวง ตอนนี้จึงหนาวมากแล้ว”

ซิ่วเย่ว์พิจารณาสีหน้าของลั่วเซิงอย่างละเอียด “คุณหนูมีเรื่องในใจใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ในสายตานาง ท่านหญิงได้กำไลล้ำค่าวงนั้นมาและจดจำเฉาฮวาได้ น่าจะอารมณ์ไม่เลวถึงจะถูก

หนทางข้างหน้านั้นยากลำบาก แต่เทียบกับในอดีต ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การจะดีใจที่สุด

ลั่วเซิงส่ายหน้า ทอดสายตามองไปทางหน้าต่างซึ่งมีฉากกั้น

“ไม่ได้มีเรื่องในใจ ก็แค่หลังจากมาเป่ยเหอเห็นภาพผืนฟ้ากว้างใหญ่ แผ่นดินกว้างไกลจนชิน วันนี้จู่ๆ ฝนตกลงมา เห็นเมฆดำลอยต่ำ ท้องฟ้าอึมครึมจึงไม่คุ้นชินอยู่บ้าง”

“คุณหนู บ่าวเลือกชุดนี้มาให้ท่าน ท่านลองดูสิเจ้าคะว่าชอบหรือไม่” หงโต้วประคองอาภรณ์ชุดหนึ่งเดินเข้ามา

ด้านบนคือเสื้อสีเขียวอ่อนที่พับอยู่ ด้านล่างคือกระโปรงสีขาวตัวหนึ่ง

เรียบง่าย งามสง่า และงดงาม

ความจริงแล้วหงโต้วไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก

แต่ก่อนคุณหนูชอบสวมสีสันฉูดฉาด นางมองแล้วงดงามมาก

ทว่าโคว่เอ๋อร์ได้เตือนนางไว้ว่า ตอนนี้คุณหนูชอบสวมอาภรณ์สีเรียบง่าย คิดๆ ดูแล้วยังมีอาซิ่วที่แย่งชิงความโปรดปรานอยู่อีกคน นางจึงทำได้แค่กล้ำกลืนความอยุติธรรมไว้

ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วปล่อยให้หงโต้วปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์

หงโต้วพลันรู้สึกพอใจ เมื่อเห็นผู้เป็นนายโดดเด่นน่าประทับใจ “คุณหนูใส่อะไรก็งามเจ้าค่ะ”

อารมณ์ที่หดหู่และโศกเศร้าอย่างน่าประหลาดเพราะฝนที่ตกลงมาของลั่วเซิงดีขึ้นเล็กน้อย นางเอ่ยยิ้มๆ “ไปแกะลูกสนกินเถอะ”

“เจ้าค่ะ” หงโต้วรับคำอย่างยินดี ถือตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่ลูกสนกับลูกเหอเถาออกไปใต้ระเบียง

ยังมีอะไรชวนให้สบายใจมากกว่าการนั่งม้านั่งชมฝนแล้วกินลูกสนอย่างไม่รีบร้อนด้วยหรือ

เพียงแต่น่าเสียดายที่โคว่เอ๋อร์ไม่อยู่ สุดท้ายจึงน่าเบื่ออยู่บ้าง

ลั่วเซิงอ่านหนังสือต่อไป ซิ่วเย่ว์เฝ้าอยู่ในห้องเงียบๆ

แม้ว่าสองนายบ่าวจะไม่ค่อยได้สนทนาอันใด แต่บรรยากาศกลับผ่อนคลายยิ่งนัก

มีอดีตร่วมกัน มีเป้าหมายเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ลั่วเซิงวางม้วนหนังสือ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยแววเสียใจ “ตอนนี้ ทางตำหนักราชนิเวศน์ยังไม่ส่งคนมาหรือ”

เฉาฮวาอาศัยข้ออ้างในการร่ำเรียนวิธีการทำน้ำแกงหัวปลารสเปรี้ยวมาติดต่อกับซิ่วเย่ว์ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว วันนี้ฝนตก ไม่สามารถไปล่าสัตว์ได้ก็เป็นช่วงเวลาที่สมควรแก่การส่งคนมาเชิญซิ่วเย่ว์ไปถึงจะถูก

แต่ตอนนี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

ลั่วเซิงลุกขึ้นเดินไปหน้าบานหน้าต่างและผลักหน้าต่างให้เปิดออกอีกครั้ง

ลมฝนพลันสาดลงบนใบหน้า ทำให้นางหนาวเหน็บไปทั่วร่างทันที

ฝนตกนานขนาดนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฟ้าก็ยิ่งอึมครึม เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นตอนเช้า แต่กลับทำให้คนรู้สึกเหมือนเป็นเวลาพลบค่ำ

ไม่รู้ว่าทำไม ในใจลั่วเซิงถึงได้เกิดความรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาหลายส่วน

“อาซิ่ว เจ้าดูสิว่า ฝนเบาลงแล้วหรือไม่”

ซิ่วเย่ว์ยืนอยู่ข้างกายลั่วเซิง มองออกไปข้างนอก

ม่านสายฝนเชื่อมโยงระหว่างฟ้าดิน มองไม่เห็นชายขอบ

เม็ดฝนที่เรียงร้อยกันเป็นสายฝนเหล่านั้นคล้ายจะเบาลงเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่าจะเบาลงนิดหน่อยเจ้าค่ะ”

“ข้างนอกส่งลูกพลับเดือนหกมาตะกร้าหนึ่ง ได้ยินหงโต้วบอกว่ามีสิบสองลูก พวกเราก็ทำไข่อบกระเจี๊ยบกันเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อว่า “นมของทางเป่ยเหอนั้นได้มาง่าย เช่นนั้นก็ทำนมตุ๋นน้ำตาลอีกหนึ่งอย่างแล้วกัน รอสองอย่างนี้เสร็จแล้วก็ส่งไปให้เซียวกุ้ยเฟยกับอวี้เสวียนซื่อจำนวนหนึ่งแล้วกัน”

ไข่อบกระเจี๊ยบกับนมตุ๋นน้ำตาลสองอย่างนี้ รสชาติถูกปากสตรีพอดี

ในเมื่อทางเฉาฮวาไม่มีใครมา เช่นนั้นนางก็จะส่งคนไปดูเอง

การเป็นผู้ถูกกระทำและรอคอยไม่ใช่แนวทางของนาง

ผ่าและคว้านเนื้อลูกพลับเดือนหกออก ใส่กระเจี๊ยบกับไข่ไก่ลงไป เติมน้ำมัน เกลือ และอื่นๆ เพิ่ม จากนั้นก็นำฝาที่ตัดออกไปมาปิดใหม่ มองจากภายนอกแล้วเหมือนลูกพลับเดือนหกที่สมบูรณ์ลูกหนึ่ง

และหลังจากนั้น ก็นำลูกพลับเดือนหกที่จัดการเรียบร้อยแล้วเหล่านี้วางลงไปอบในเตาแขวนอย่างระมัดระวัง

รอจนตอนที่ใกล้จะถึงมื้อเที่ยง ทางตำหนักราชนิเวศน์ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวและไข่อบกระเจี๊ยบกับนมตุ๋นน้ำตาลก็ทำเสร็จแล้วจำนวนหนึ่ง

เมื่อแบ่งใส่กล่องบรรจุเรียบร้อย ลั่วเซิงก็กำชับว่า “หงโต้ว เจ้านำกล่องนี้ไปส่งให้เซียวกุ้ยเฟย อาซิ่ว เจ้านำไปส่งให้อวี้เสวียนซื่อ”

เซียวกุ้ยเฟยกับอวี้เสวียนซื่อมีความสนใจในอาหารอร่อยที่ปรุงโดยแม่ครัวของคุณหนูลั่วนั้นไม่ใช่ความลับนานแล้ว

ทั้งสองคนรับคำพร้อมกัน ถือกล่องอาหารออกจากลานของเรือนหลัก มุ่งตรงไปยังตำหนักราชนิเวศน์

[1] ลายหรูอี้ เป็นลายมงคลซึ่งเดิมเป็นเครื่องประดับมงคลที่ฮ่องเต้พระราชทานปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่ขุนนางที่มีความดีความชอบแก่บ้านเมือง รวมถึงพระสนมที่โปรดปราน ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบลักษณะ และดัดแปลงให้ส่วนบนกลายเป็นรูปเห็ดหลินจือ หรือลายก้อนเมฆ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท