ตอนที่ 236 ระแวดระวัง
ลมในป่าหยุดนิ่งจึงยิ่งเงียบสงบกว่าเดิม
แสงจันทร์สุกใสบนฟากฟ้าส่องลงบนน้ำค้างแข็ง
ลั่วเซิงรู้สึกตัวขึ้นมาในอ้อมกอดอบอุ่นแห้งสบาย
เมื่อรู้สึกตัวก็หยุดร่ำไห้ สติสัมปชัญญะกลับคืน
นางผลักชายหนุ่มออกอย่างแน่วแน่ ราวกับอ้อมแขนที่กว้างและอบอุ่นนั้นไม่คู่ควรให้อาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย
“รบกวนท่านอ๋องช่วยข้าฝังพวกนางเอาไว้ด้วยกันหน่อยเจ้าค่ะ”
หากมีวันที่ได้แก้แค้น นางจะกลับมาพาเฉาฮวากลับบ้าน
พากลับไปยังเมืองหนานหยางของพวกนาง
หากไม่มีวันนั้น เช่นนั้นก็ให้เฉาฮวานอนหลับให้สงบอยู่ที่นี่เถอะ เพราะตอนนั้น นางยังไม่รู้เลยว่าตนเองจะถูกฝังอยู่ที่ใด
ดินโคลนที่ขุดขึ้นมาถูกโปรยลงบนเสื่อกกใหม่ โปรยลงบนมือที่ไม่ได้ปิดให้เรียบร้อยข้างนั้น
ลั่วเซิงยื่นมือไปดึงเสื่อกก ปลายนิ้วเย็นเยียบสัมผัสถูกกำไลที่เย็นเยือกแล้วชะงักเล็กน้อย ก่อนจะดึงกำไลออกมาเบาๆ
กำไลคู่นั้นกักขังเฉาฮวาไว้สิบสองปี อย่าได้กักขังนางไว้อีกเลย
เมื่อเดินออกมาจากป่าทึบ ฟ้าดินก็กว้างขึ้นในเสี้ยวพริบตา
ลั่วเซิงมองกลับไปแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ไปเถอะเจ้าค่ะ”
เว่ยหานเดินอยู่ข้างกายนางเงียบๆ
ไม่รู้ว่าเดินไปนานเพียงใด ลั่วเซิงถึงได้หันหน้ามามองเขา “ท่านอ๋องไม่อยากรู้ความสัมพันธ์ของข้ากับอวี้เสวียนซื่อหรือ”
บุรุษผู้นี้ นิ่งเงียบเสียจนทำให้ผู้คนยากจะเข้าใจ
เว่ยหานจ้องดวงตาดำมืดคู่นั้นแล้วก็เกิดความรู้สึกวู่วามที่อยากจะกอดนางอีกครั้ง
คุณหนูลั่วเสียใจถึงเพียงนี้แล้วยังต้องถามถึงความสัมพันธ์กับอวี้เสวียนซื่ออีกหรือ
หากเป็นเขา…เกรงว่าไม่มีทางทำให้คุณหนูลั่วต้องเสียใจเช่นนี้แน่นอน
ไม่รู้ว่าทำไม เว่ยหานถึงได้มีความคิดนี้ผุดขึ้นมา
“หากคุณหนูลั่วต้องการพูด ก็จะพูดออกมาเอง”
หากต้องถาม สิ่งที่เขาอยากถามนั้นมีเยอะมาก
ยกตัวอย่างเช่น เหตุใดคุณหนูลั่วจึงไปปรากฏตัวที่จวนเก่าของเจิ้นหนานอ๋อง ยกตัวอย่างเช่น เหตุใดสตรีเสียโฉมที่เขาเห็นที่นั่นถึงได้กลายเป็นแม่ครัวของคุณหนูลั่ว ยกตัวอย่างเช่น เหตุใดคุณหนูลั่วถึงได้ยิงธนูสังหารผิงหนานอ๋อง…
แต่ทว่า หากการสืบค้นต้นเหตุเรื่องราวเหล่านี้จะก่อให้เกิดความไม่พอใจและการระแวดระวังจากคุณหนูลั่ว เช่นนั้นเขาก็ไม่ถาม
ลั่วเซิงเดินตรงไปข้างหน้าอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณท่านอ๋องมากเจ้าค่ะ”
เว่ยหานลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูลั่ว เจ้าสามารถเรียกชื่อข้าได้”
ลั่วเซิงเอ่ยเสียงเย็นชาลง “ไม่เจ้าค่ะ เรียกท่านอ๋องจะเหมาะสมกว่า”
เว่ยหานกลับคืนสู่ความนิ่งเงียบ
ชื่อของเขาจะเรียกไม่คล่องปากกว่า ‘ท่านอ๋อง’ หรือ
ความจริงแล้ว เขารู้สึกว่า ‘เซิงเซิง’ ไพเราะกว่า ‘คุณหนูลั่ว’ มาก
ทั้งสองคนเดินนิ่งเงียบกันมาเนิ่นนาน ลั่วเซิงชะงักฝีเท้า “เรือนรับรองของท่านอ๋องอยู่ทางนั้น”
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไป”
ลั่วเซิงปฏิเสธ “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น พวกเราแยกกันตรงนี้ก็ได้”
เว่ยหานส่ายหน้า น้ำเสียงแน่วแน่ “ข้าพาคุณหนูลั่วมาจากที่ใดก็จะพาคุณหนูลั่วส่งกลับไปที่นั่น”
เสมอต้นเสมอปลาย เขาถึงจะสบายใจ
เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ของเขา ลั่วเซิงก็ไม่ยืนหยัดอีก
ในคืนนี้ นางไม่มีอารมณ์จะยืนหยัดเช่นกัน
เรือนรับรองเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน โคมไฟสีแดงซึ่งแขวนอยู่ใต้ชายคาคฤหาสน์เหล่านั้นยังไม่ดับจึงส่องเส้นทางสลัวให้สว่างไสว
เมื่อยืนอยู่กลางเรือนหลังเล็กที่เงียบสงัด ลั่วเซิงก็หยุดนิ่ง “ท่านอ๋องกลับไปเถอะ”
“เจอกันพรุ่งนี้” เว่ยหานมองนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วทะยานข้ามกำแพงไปอย่างแผ่วเบา
การเคลื่อนไหวผ่อนคลาย ชวนให้ตระกูลที่มีบุตรสาวทั้งหมดแทบอยากจะปลูกต้นมือเซียน[1]ไว้บนกำแพง
ลั่วเซิงเดินตรงไปในเรือนข้าง
ซิ่วเย่ว์พักอยู่ในเรือนข้าง ตอนนี้ยังไม่หลับแน่นอน
ความผิดปกติของนาง ยังไม่ได้ให้คำตอบกับซิ่วเย่ว์
ลั่วเซิงเคาะประตูเบาๆ เพิ่งเคาะไปได้สองครั้ง ประตูก็เปิดออกแล้ว
นางเดินเข้าไป อาภรณ์และมือล้วนเปื้อนโคลน
ซิ่วเย่ว์เรียกเสียงเบา “ท่านหญิง…”
น้ำเสียงนั้นสั่นระริกโดยไม่รู้ตัว
นางไม่ได้ฉลาดเฉลียว แต่ก็ไม่ใช่คนโง่
เมื่อวานไม่ได้พบเฉาฮวา วันนี้ท่านหญิงก็ผิดปกติเช่นนี้ เฉาฮวาจะต้องพบเจอเรื่องอะไรแน่นอน
“ท่านหญิง เฉาฮวาพบเจอเรื่องยุ่งยากใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ลั่วเซิงนิ่งเงียบ
“ถูกผู้สูงศักดิ์ทำให้ลำบากใจ หรือว่าถูกกักบริเวณเพราะเผยพิรุธจากการที่พวกเรารู้จักกัน…”
“เฉาฮวาตายแล้ว”
ซิ่วเย่ว์ตะลึง มองลั่วเซิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านหญิง ท่านพูดว่าอะไรนะเจ้าคะ”
ลั่วเซิงม่านตาสั่นไหวเล็กน้อย พลางเอ่ยเสียงเบา “ซิ่วเย่ว์ เฉาฮวาตายแล้ว ถูกเว่ยเชียงทำร้ายจนตาย”
ซิ่วเย่ว์ลนลานถอยหลัง ส่ายหน้าไม่หยุด “เป็นไปไม่ได้ๆ วันก่อนยังดีๆ อยู่เลย…”
“ท่านหญิง!” ได้ยินลั่วเซิงเอ่ยเช่นนี้ ซิ่วเย่ว์ก็สีหน้าเปลี่ยนทันที “ท่านอย่าคิดเช่นนั้นนะเจ้าคะ”
ลั่วเซิงยิ้มเยาะตนเอง “ข้าไม่ได้ตำหนิตนเองอย่างเหลวไหล แต่คาดเดาอย่างสมเหตุสมผล เฉาฮวาติดตามเว่ยเชียงมาสิบสองปี การถูกเขาพามาที่เป่ยเหอนั้นแสดงให้เห็นถึงความโปรดปราน เช่นนั้นจะมีสถานการณ์ใดที่ทำให้เว่ยเชียงลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้”
ซิ่วเย่ว์ถูกถามเสียจนพูดไม่ออก ในสมองมีเพียงข่าวการตายของเฉาฮวา
“ข้าคิดว่า เฉาฮวาต้องค้นพบว่า เว่ยเชียงเกิดความสงสัยในตัวเจ้าและข้า บีบให้นางเดินทางเสี่ยงอย่างการกำจัดเว่ยเชียงทิ้งด้วยความเร่งรีบ”
“ทำไมนางไม่อดทนสักหน่อย…” ซิ่วเย่ว์น้ำตานองหน้า แต่กลับกล่าววาจาต่อว่าต่อไปไม่ได้แล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นนาง หากรู้ว่าท่านหญิงมีอันตรายก็อดทนไม่ไหวสักนิดเดียวเช่นกัน
ลั่วเซิงหลับตา เอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย “ซิ่วเย่ว์ เฉาฮวาใช้การตายของนางมาเตือนพวกเรา”
ลอบสังหารองค์รัชทายาท ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว สิ่งที่เหลือให้เฉาฮวาก็มีเพียงตายสถานเดียว
นางโศกเศร้าปานจะขาดใจ แต่ในมุมหนึ่งกลับสามารถเข้าใจการเลือกของเฉาฮวาได้
ในบรรดาสาวใช้สี่คน ความจริงแล้วเฉาฮวานั้นเป็นคนที่โดดเดี่ยวที่สุด เกรงว่าหลายปีที่เสียสละแต่งให้กับคนเลวคงจะอยู่ไม่สู้ตายตลอดเวลา
และเพราะเป็นเช่นนี้ ในตอนที่เฉาฮวามอบกำไลให้นาง นางถึงได้ขอร้องให้เฉาฮวาเดินต่อไปเป็นเพื่อนนาง
เฉาฮวารับปาก แต่ความจริงแล้ว ความตั้งใจที่จะยืนหยัดเพื่อมีชีวิตต่อไปนั้นไม่มีแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ค้นพบว่าเว่ยเชียงอาจจะสร้างแรงคุกคามต่อนางหรือซิ่วเย่ว์ ถึงได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้อย่างเด็ดเดี่ยว
แทนที่จะบอกว่าบุ่มบ่าม ไม่สู้บอกว่าพลีชีพอย่างสงบ เพื่อแสวงหาการหลุดพ้นจะดีกว่า
“นางโง่งมเกินไป โง่งมเกินไปแล้วจริงๆ…” ซิ่วเย่ว์พึมพำ เอ่ยประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมา
ลั่วเซิงนั่งฟังนางระบายความอัดอั้นนิ่งๆ
สุดท้ายซิ่วเย่ว์ก็แตกสลาย ปิดหน้าร่ำไห้ขึ้นมาในเรือนเล็กท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด
“ท่านหญิง บ่าวยังไม่ทันได้เรียกนางว่าพี่เฉาฮวาเลย…”
พี่ซูเฟิง พี่เฉาฮวา ยังมีพี่เจี้ยงเสวี่ยของนางล้วนตายหมดแล้ว
หยางจุ่น คู่หมั้นของนางเองก็ตายแล้วเช่นกัน
เช่นนั้นท่านหญิงเล่า ท่านหญิงที่ฟื้นคืนจากความตายมาของนาง จะสามารถเดินไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างสงบสุข ไร้ปัญหาใดๆ ได้จริงๆ หรือ
ตอนนี้ซิ่วเย่ว์สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ราวกับตกลงไปในเหวลึกน่าสะพรึงกลัว
มือข้างหนึ่งตบแผ่นหลังนางเบาๆ
“ซิ่วเย่ว์”
ซิ่วเย่ว์วางมือลง มองลั่วเซิงอย่างนิ่งงัน
ลั่วเซิงมีสีหน้าสงบนิ่ง “ไม่ต้องกลัว”
“ท่านหญิง ข้ากลัวว่าท่าน…”
ลั่วเซิงยิ้ม “เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องกลัว ข้ากลายเป็นคุณหนูลั่วแล้ว มีชีวิตได้วันหนึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับมา ทุกความยุติธรรมที่ทวงคืนมาจากเดรัจฉานนั่นก็เป็นสิ่งที่ได้มา พวกเรามีแต่ได้ ไม่ได้เป็นฝ่ายชดใช้ เจ้าว่าใช่หรือไม่”
ซิ่วเย่ว์พยักหน้าแรงๆ “ท่านหญิงกล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ”
“หลังจากนี้อย่าเรียกข้าว่าท่านหญิงอีก”
ซิ่วเย่ว์อึ้ง
“หลังจากนี้แม้ว่าจะไม่มีใคร เจ้าก็เรียกข้าว่าคุณหนู ข้าเรียกเจ้าว่าอาซิ่ว บางทีเว่ยเชียงอาจจะสังเกตเห็นถึงอะไร ไม่แน่ว่าจะจับจ้องมาที่พวกเรา ระวังกำแพงมีหู ประตูมีช่อง”
เก็บท่านหญิงชิงหยางกับโลกแห่งความฝันอันสวยงามของนางไว้ในก้นบึ้งหัวใจเถอะ
นับจากนี้เป็นต้นไป ต่อหน้าและลับหลังผู้คน นางก็เป็นเพียงแค่คุณหนูลั่วเท่านั้น
[1] ต้นมือเซียน คือกระบองเพชรสายพันธุ์หนึ่ง