ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 237 ล่าสัตว์มีความเสี่ยง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 237 ล่าสัตว์มีความเสี่ยง

คืนวันนั้น ลั่วเซิงไม่ได้นอนเลยตลอดคืน ซิ่วเย่ว์เองก็แทบไม่ได้นอนเช่นกัน

แต่เช้าวันต่อมา ทั้งสองหวีผมแต่งกายเรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับวันอื่นที่ผ่านมา

ยังคงออกไปล่าสัตว์ ยังคงทำอาหารรสเลิศกลิ่นหอมฟุ้ง ดึงดูดให้ผู้คนโดยรอบได้แต่เดินวนหน้านิ่วอยู่แถวนั้นแต่ไม่ได้กิน

ข่าวลือที่ว่าอวี้เสวี่ยนซื่อล้มป่วยกะทันหันจนเสียชีวิตค่อยๆ แพร่ไปในหมู่สตรีในราชวงศ์และตระกูลขุนนางใหญ่

เพียงแต่เมื่อเป็นเรื่องในครอบครัว ซ้ำยังเป็นเพียงอนุตัวเล็กๆ ของรัชทายาท ข่าวซุบซิบที่ไม่นับว่าเป็นข่าวซุบซิบนี้จึงเพียงเป็นเรื่องคุยเล่นยามจิบน้ำชาของฮูหยินผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ไม่เท่าไรก็ผ่านไป

อนุคนหนึ่งของรัชทายาท ยามมีชีวิตย่อมไม่อาจล่วงเกิน แต่เมื่อตายไปแล้วก็ไม่มีความสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น

การตายของอวี้เสวี่ยนซื่อคล้ายหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งตกลงในบ่อน้ำ หลังจากสร้างระลอกคลื่นเพียงเล็กน้อยแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ส่วนที่ว่าอวี้เสวี่ยนซื่อล้มป่วยกะทันหันจนเสียชีวิตจริงหรือไม่ ศพนำไปฝังไว้ที่ใด ใครกันจะไปสนใจ

กลับเป็นรัชทายาทที่ดูจะเสียใจอยู่บ้าง เก็บตัวอยู่ในตำหนักราชนิเวศน์ติดต่อกันหลายวันไม่ออกมาร่วมล่าสัตว์ด้วย

จนทำให้ลั่วเซิงนึกอยากแทงเขาสักที แต่เมื่อได้เห็นเว่ยเชียงขี่ม้ามาปรากฏตัวอยู่ในคณะล่าสัตว์จริงๆ กลับสามารถรักษาอาการสงบนิ่งไว้ได้

สงบนิ่งแบบที่ฝืนตัวเองเอาไว้

นางกำธนูแน่น เหลือบมองบุรุษที่ถูกองครักษ์ห้อมล้อมไว้ตรงกลาง

ด้วยฐานะที่เป็นผู้สืบทอดแห่งต้าโจว ความปลอดภัยของรัชทายาทย่อมไม่อาจละเลยได้

เหยื่อที่เข้ามาในสนามล่าสัตว์ ถึงแม้จะมีการจัดวางไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยากที่จะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เหล่าองครักษ์ฝีมือโดดเด่นจึงห้ามอยู่ห่างจากรัชทายาทมากนัก

ส่วนการคุ้มครองฮ่องเต้นั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเข้าไปใหญ่

ลั่วเซิงเพ่งมองเขานิ่ง

ต่างกับการวางแผนอย่างดีเพื่อลอบสังหารอ๋องผิงหนาน การจะลอบสังหารองค์รัชทายาท ยากลำบากราวกับปีนขึ้นฟ้า

กับคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจ การลอบสังหารมักเป็นทางเลือกสุดท้ายเสมอ

แต่ก็ยังโกรธแค้นอยู่ดี

เป็นความแค้นที่อยากเฉือนเนื้อเอาเกลือทาอะไรแบบนั้น

มือที่กำธนูของลั่วเซิงเกร็งแน่นจนขาวซีด

คนผู้นั้นจู่ๆ ก็มองมาทางนี้

ลั่วเซิงเลื่อนสายตาหนีไม่ทันจึงยกมุมปากขึ้นถือเป็นการยิ้มทักทาย

คิดไม่ถึงว่าเว่ยเชียงจะบังคับม้าเข้ามาหา

“หลายวันแล้วที่ไม่ได้พบคุณหนูลั่ว” สายตาของลั่วเชียงตรึงอยู่ที่ใบหน้าเฉยชาของสาวน้อย น้ำเสียงอ่อนโยน

ลั่วเซิงระบายยิ้ม “หม่อมฉันมาร่วมการล่าสัตว์ทุกวัน ควรเป็นหม่อมฉันที่ไม่ได้พบหน้าพระองค์หลายวันถึงจะถูก”

เว่ยเชียงสายตาเป็นประกายเล็กน้อย เผยแววเจ็บปวดใจให้เห็นหลายส่วน “เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เลยพักผ่อนอยู่หลายวัน”

ลั่วเซิงสะบัดบังเหียน กระตุ้นม้าพุทราแดงให้วิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า

เว่ยเชียงกระตุ้นม้าตนให้ตามไป

“ได้ยินว่าอวี้เสวี่ยนซื่อล้มป่วยกะทันหัน” ลั่วเซิงเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเฉาฮวาขึ้นมาก่อน

ด้วยนิสัยของคุณหนูลั่ว หลังจากได้พบหน้าพูดคุยกับอวี้เสวี่ยนซื่ออยู่หลายครั้งแล้วอยู่ๆ มาได้ยินว่านางตายจากไปแล้วก็ไม่มีเหตุที่จะอดกลั้นไว้ไม่ถามถึง

เว่ยเชียงอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะระบายยิ้มขื่น “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูลั่วจะได้ยินเรื่องนี้ด้วย”

ลั่วเซิงไม่คิดเช่นนั้น “นี่ไม่ใช่ความลับอะไรเสียหน่อยเพคะ วันนั้นที่ให้คนนำอาหารไปให้อวี้เสวี่ยนซื่อก็ได้ยินว่านางไม่สบายแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ยินตอนที่ฮูหยินทั้งหลายคุยเล่นกัน”

นางเชิดคางขึ้น มองหน้าเว่ยเชียง “พระองค์คงเสียใจแย่ ถึงไม่ออกมาเสียหลายวัน”

เว่ยเชียงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

ไม่รู้เหตุใด ทั้งๆ ที่คุณหนูลั่วกล่าววาจาด้วยความจริงใจ แต่เขากลับฟังคล้ายนางกำลังประชดเสียอย่างนั้น

เสียใจหรือ?

ดูเหมือนจะไม่ได้เสียใจถึงเพียงนั้น

เขายอมรับว่าความใจดีและโปรดปรานที่เขามีต่อเฉาฮวานั้นล้วนเป็นเพราะลั่วเอ๋อร์ ไม่ได้เป็นเพราะตัวเฉาฮวาเอง เขาจึงย่อมไม่เสียใจเพราะการจากไปของคนผู้นี้

ยิ่งไปกว่านั้นเฉาฮวาคิดจะอาศัยตอนเขาหลับสนิทลงมือสังหารเขาด้วย

เมื่อหันไปมองเด็กสาวหน้าตางดงามแล้วคิดถึงคำพูดก่อนตายของเฉาฮวา ในใจเว่ยเชียงก็เกิดความหวั่นไหว

ลั่วเอ๋อร์เป็นดั่งดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วง ดั่งดอกเหมยในฤดูหนาว แต่คุณหนูลั่วกลับคล้ายดอกกุหลาบสวยจับตาที่แฝงไว้ด้วยหนามแหลม แท้จริงแล้วพวกนางเป็นสตรีที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

เฉาฮวากล่าวได้ถูกต้อง ในโลกนี้มีลั่วเอ๋อร์แค่เพียงคนเดียว

เพียงแต่… เช่นนั้นแล้วอย่างไร

ลั่วเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว แต่เขาเห็นเงาของลั่วเอ๋อร์ในตัวคุณหนูลั่ว

ต่อให้มีเพียงน้อยนิดก็เพียงพอแล้ว

แววตาที่เว่ยเชียงมองเด็กสาวเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่ม

ม้าพุทราแดงไม่รู้เร่งความเร็วขึ้นตั้งแต่เมื่อไร

ม้าสง่างามที่เว่ยเชียงขี่อยู่เร่งความเร็วตาม

ทั้งสองข้างและด้านหลังล้วนเป็นองครักษ์ที่ระแวดระวังเต็มที่

ห่างไปไม่ไกล ม้าสีขาวตัวใหญ่สะบัดหางแสดงความไม่พอใจต่อผู้เป็นนาย

สหายของมันตามม้าตัวอื่นไปแล้ว เหตุใดเจ้านายมันถึงไม่ให้มันตามไปด้วย

เว่ยหานลูบม้าขาวเป็นการปลอบใจ คอยรักษาระยะเดินตามอยู่ด้านหลัง

กวางน้อยตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาในรัศมีสายตาของลั่วเซิงกับเว่ยเชียง

“ข้าจะล่ากวางตัวหนึ่งแล้วขอให้แม่ครัวของคุณหนูลั่วทำเนื้อย่างให้เป็นอย่างไร”

ลั่วเซิงดึงบังเหียนพลางยิ้มน้อยๆ “ได้สิเพคะ”

เว่ยเชียงกระทุ้งม้าวิ่งออกไป สายธนูง้างจนตึง ยิงใส่กวางน้อยตัวนั้น

ส่วนทางด้านหลังเขา ลั่วเซิงก็ง้างธนูเช่นกัน ธนูดอกหนึ่งพุ่งทะยานออกไปราวกับดาวตก

ธนูดอกนั้นของเว่ยเชียงยิงถูกตัวกวางน้อย กวางน้อยที่กำลังวิ่งหนีพลันล้มลงกับพื้น ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด

เว่ยเชียงยิ้มด้วยความพอใจ พอหันกลับไปมองลั่วเซิงก็เห็นว่าธนูในมือนางกำลังพุ่งตรงมาทางเขา

รอยยิ้มตรงมุมปากพลันแข็งค้าง รู้ตัวอีกทีธนูดอกนั้นก็บินผ่านเขาไปแล้ว

เสียงดังสวบลอยมาให้ได้ยิน

เว่ยเชียงรีบหันกลับไปมองก็เห็นว่าหมูป่าตัวหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาหาตนด้วยความโกรธเกรี้ยว

หมูป่าที่บาดเจ็บแต่ยังไม่ถึงตายตัวนั้น พอคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็ดูน่ากลัวเอาเรื่องทีเดียว

องครักษ์ที่อยู่รอบด้านรีบเข้าไปขวางหน้า ล้อมสังหารหมูป่าตัวนั้น

เว่ยเชียงนั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่เพ่งมองเหตุสะเทือนขวัญอย่างเหล่าองครักษ์ล้อมฆ่าหมูป่านับว่าสงบนิ่งพอประมาณ

และในขณะที่เกิดเหตุวุ่นวายเล็กน้อยนี้ขึ้น เว่ยหานที่คอยตามอยู่ด้านหลังก็ยิงธนูออกไปเช่นกัน

ธนูดอกนี้ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใด แต่พุ่งเข้าเสียบที่ก้นของหมูป่าตัวหนึ่งอย่างแม่นยำและเงียบเชียบ

นี่เป็นฝูงหมูป่าที่เพิ่งหนีออกจากป่า ที่บาดเจ็บก็บังเอิญเป็นหมูจ่าฝูงพอดี

ถึงจะบอกว่าเพราะหนังหนา แรงของธนูไม่อาจเสียบทะลุก็ตกลงบนพื้นหญ้าก่อนแล้ว แต่เช่นนี้อย่างไรก็ไม่อาจทนได้

หมูป่าร้องคำราม วิ่งตรงเข้าหาบุรุษที่นั่งนิ่งอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนหลังม้า

หมูป่าอีกยี่สิบกว่าตัวพอเห็นหัวหน้าพุ่งตัวไปจึงพองขนพุ่งตัวตามไปด้วย

เมื่อจู่ๆ เห็นฝูงหมูป่าวิ่งตรงเข้ามาหาตน เว่ยเชียงจึงตกใจเล็กน้อย

เหตุการณ์เช่นนี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย

องครักษ์ตาไวคนหนึ่งตะโกนเสียงดังว่า “คุ้มครองรัชทายาท!”

แต่กระนั้นเหล่าองครักษ์ก็ถูกฝูงหมูป่าวิ่งชนจนล้มระเนระนาด คิดจะปกป้องเจ้านายแต่ไม่อาจแยกร่างไปได้

เว่ยเชียงจำต้องเผชิญกับการรุกไล่ของหมูป่าอย่างน้อยสองตัว

หมูป่าตัวหนึ่งใช้เขี้ยวยาวทิ่มขาม้า

พอม้าดิ้นเลยสะบัดคนบนหลังออก

เว่ยเชียงจับบังเหียนไว้แน่น อีกมือหนึ่งกอดคอม้าไม่ยอมให้ตนเองตกลงมาเป็นอาหารหมู

ภาพดูน่าทุลักทุเล ไม่อาจทนมองได้

ส่วนลั่วเซิงพอยิงธนูดอกนั้นออกไปก็ปล่อยให้ม้าพุทราแดงยกเท้าวิ่งเข้าไปอยู่กับม้าสีขาว

เว่ยหานเห็นว่าวุ่นวายพอประมาณแล้ว หากไม่ยื่นมือออกไปอีกรัชทายาทคงได้ถูกฝังอยู่ใต้กีบเท้าหมูแน่ เขาถึงได้ตะโกนเสียงเย็นว่า “รัชทายาทไม่ต้องตกใจ อามาช่วยแล้ว!”

เว่ยหานง้างคันธนู ลูกธนูเปลี่ยนเป็นแสงสีรุ้ง พุ่งเข้ากลางศีรษะหมูตัวนั้นอย่างแม่นยำไร้ที่ติ

ตรงกลางกระหม่อมของหมูป่าเป็นจุดสำคัญจึงล้มลงสิ้นใจทันที

หมูป่าที่วิ่งว่อนไปทั่วพอเห็นตัวหัวหน้าตายแล้วก็ตกใจจนวิ่งหนีกระเจิงไปทันที

ฝูงหมูป่าที่ล้อมรัชทายาทวิ่งหายไปกันอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นมาก่อน ทิ้งเพียงความขวัญผวาไว้ให้กับเหล่าองครักษ์

ไม่เท่าไรข่าวที่รัชทายาทออกล่าสัตว์แล้วประสบกับเหตุวุ่นวายก็แพร่กระจายไปทั่ว นี่ ได้ข่าวรึยัง วันนี้รัชทายาทถูกหมูป่าวิ่งไล่แน่ะ…

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท