ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 241 แมวตาบอดเจอหนูตาย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 241 แมวตาบอดเจอหนูตาย

ลั่วเซิงมองโรงหมอที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วลอบคิดว่า โรงหมอแห่งนี้คงไม่ใช่หมอเทวดาหลี่เป็นคนเปิดหรอกกระมัง

ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นก็มีชายชราหนวดขาวก้าวยาวๆ ออกมาจากโรงหมอ ไม่ใช่หมอเทวดาหลี่แล้วจะเป็นใคร

หมอเทวดาหลี่เดินไม่กี่ก้าวก็ข้ามถนนหินขนาดไม่ใหญ่ตรงมาหาลั่วเซิง

ลั่วเซิงค้อมตัวลงเล็กน้อย “ข้ากำลังคิดอยู่ทีเดียวว่าโรงหมอชื่อไพเราะเช่นนี้ผู้ใดเป็นคนเปิดกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นท่าน”

ไพเราะ?

หมอเทวดาหลี่หันไปเหลือบมองป้ายโรงหมอทีหนึ่ง

ไม่ได้เปลี่ยนนี่ บนป้ายยังเขียนว่า ‘โรงหมอแห่งหนึ่ง’ เหมือนเดิม

แล้วหันกลับมามองตัวอักษรใหญ่สี่ตัวที่เขียนว่า ‘มีหอสุรา’ อีกที มุมปากหมอเทวดาหลี่ถึงกับกระตุก

นังหนูคนนี้กำลังชื่นชมตัวเองสินะ

โรงหมอแห่งนี้มาเปิดตามหอสุราของนังหนู

คิดดูแล้วก็ช่างน่าโมโห

ตั้งแต่นังหนูนี่ให้คนเอาอาหารเย็นไปส่งให้เขา เขาก็อยู่ด้วยความคาดหวังกับอาหารมื้อนี้

กลายเป็นว่าพอคุ้นชินกับกิจวัตรเช่นนั้น อยู่ๆ นังหนูนี่ก็ตามบิดาของนางไปล่าสัตว์เสียได้

ไปก็ไปเถิด แต่ดันเอาแม่ครัวของหอสุราไปด้วยแล้วหอสุราแห่งนี้ก็ปิดกิจการชั่วคราว!

แค่คิดถึงความทนทรมานที่ต้องประสบในเดือนนี้ หมอเทวดาหลี่ก็โมโหจนไม่รู้จะโมโหอย่างไรแล้ว ทำสีหน้าดีๆ ใส่ลั่วเซิงสิแปลก

หมอเทวดาหลี่ยืนอยู่หน้าประตูหอสุรา เหลือบมองเข้าไปด้านในแล้วเอ่ยถามหน้าตึงว่า “หอสุราเปิดวันนี้หรือ”

ลั่วเซิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า “เปิดเจ้าค่ะ แต่วันนี้เพิ่งกลับมา พวกเนื้อตุ๋นอะไรนั่นไม่มีเวลาเตรียม คืนนี้เลยจะมีแต่บะหมี่พะโล้ขาย”

“แม้แต่บะหมี่หยางชุนก็ไม่มีหรือ”

“น้ำแกงบะหมี่หยางชุนจำเป็นต้องใช้เวลาต้มหลายชั่วยามเจ้าค่ะ”

“อะไรๆ ก็ไม่มีแล้วยังจะเปิดขายอีก” หมอเทวดาหลี่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

ลั่วเซิงกลับไม่หงุดหงิด นางระบายยิ้มกว้าง “ประเด็นสำคัญคือไม่ได้จุดไฟนานแล้วเลยจะตั้งไฟอุ่นกระทะอุ่นหม้อเตรียมพร้อมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ คนที่ไปล่าสัตว์เพิ่งกลับกันมาวันนี้ คิดดูแล้วคงไม่มีคนรู้ว่าหอสุราจะเปิดวันนี้”

พอเอ่ยถึงตรงนี้นางก็เอ่ยแนะนำอย่างเอาใจใส่ “หมอเทวดาไม่สู้มาพรุ่งนี้ไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ วันพรุ่งนี้อาหารจะเตรียมไว้มากหน่อย”

“วันนี้ไม่ได้เปิดขายแล้วหรอกหรือ” หมอเทวดาหลี่เป่าหนวดของตนแล้วยกเท้าเดินเข้าหอสุราไป

บะหมี่พะโล้ก็บะหมี่พะโล้แล้วกัน ดีกว่าไม่มีอะไรกินมากนัก

ลั่วเซิงยกยิ้มมุมปาก เดินตามเข้าไป

ซิ่วเย่ว์เตรียมบะหมี่พะโล้อยู่ที่ครัวด้านหลัง หงโต้วยกน้ำชาเข้ามา

หมอเทวดาหลี่เป่าน้ำชา รั้งรออยู่พักหนึ่ง

ขนมกินกับน้ำชาที่คิดไว้ไม่ยกมาเสียที

หมอเทวดาหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ลั่วเซิงช่วยบอกให้อย่างเอาใจใส่อีกครั้ง “มีแค่บะหมี่พะโล้เจ้าค่ะ”

หมอเทวดาหลี่จับถ้วยชา เข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างถ่องแท้จึงเอ่ยด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “เดิมทีข้าก็ไม่ชอบกินขนมกับน้ำชาอยู่แล้ว”

“เจ้าค่ะ ข้าทราบว่าท่านไม่ชอบ เพียงแต่การกินน้ำชากับขนมเป็นธรรมเนียมในการต้อนรับแขก เป็นผู้น้อยเองที่เสียมารยาท” ลั่วเซิงไม่คิดจะพูดฉีกหน้าผู้อาวุโสจึงระบายยิ้มเป็นการขอโทษ

หมอเทวดาหลี่จึงมองเด็กสาวที่ยิ้มในหน้าน้อยๆ ได้สบายตาขึ้นมากทีเดียว

“หมอเทวดาไม่ได้เร้นกายอยู่ที่ชานเมืองหลวงหรือเจ้าคะ เหตุใดถึงมาเปิดโรงหมอที่นี่ได้”

หมอเทวดาหลี่ลูบเคราอย่างสงวนท่าที “ชีวิตเงียบน้อยอยู่ในป่า ชีวิตเงียบมากอยู่ในเมือง”

พอถึงฤดูหนาว ไปอยู่เสียตามชานเมืองจะกินอาหารร้อนๆ ของหอสุราสักทีก็ยังยาก ยังจะอยู่ที่นั่นไปทำไมกัน

“หมอเทวดากล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ

ช่วงที่รออาหาร หมอเทวดาหลี่มองประเมินโถงใหญ่ของหอสุรา

ประตูหน้าต่างสะอาดสะอ้าน โต๊ะเก้าอี้เป็นระเบียบ เสี่ยวเอ้อร์หลายคนในร้านก็กำลังเช็ดโต๊ะเก้าอี้อย่างคล่องแคล่ว

เช่นเดียวกับชายกำยำที่ไปส่งอาหารให้เขาทุกวัน เสี่ยวเอ้อร์ในร้านแต่ละคนท่าทางไม่เหมือนเสี่ยวเอ้อร์สักนิด

สายตาของเขาหยุดมองที่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง

รูปร่างของเด็กหนุ่มผอมบาง เมื่อมีเด็กหนุ่มผิวคล้ำมาเปรียบเทียบ สีหน้าเขาจึงดูจะขาวเกินพอดี

สายตาของหมอเทวดาหลี่หยุดมองเด็กหนุ่มคนนั้นนานอยู่สักหน่อย เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “นั่นก็คือน้องชายของเจ้าหรือ”

“น้องชายของข้าเองเจ้าค่ะ คิดไม่ถึงว่าท่านหมอเทวดามองปราดเดียวก็รู้แล้ว” ลั่วเซิงระบายยิ้ม “ดูท่าข้ากับน้องชายคงมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง”

หมอเทวดาหลี่พินิจมองเด็กหนุ่มที่ใบหน้าค่อนข้างขาวซีดแล้วหันกลับมามองเด็กสาวรูปโฉมงดงาม ทำปากมุ่ยเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ดูออกเพราะมีส่วนคล้าย แต่ดูออกเพราะเขาใช้ยาบำรุงปราณ”

นังหนูนี่เคยบอกว่านางให้น้องชายที่สุขภาพอ่อนแอกินยาบำรุงปราณ เวลานี้เมื่อในหอสุราของนังหนูมีเด็กเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น หากไม่ใช้น้องชายนางแล้วจะเป็นใครได้

ลั่วเซิงตกตะลึง “ฝีมือการแพทย์ของท่านหมอเทวดาช่างเก่งกาจราวกับเทวดาจริงๆ กระทั่งใครใช้ยาอะไรก็ยังมองออก”

หมอเทวดาหลี่ดื่มชาอึกหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “ยาบำรุงปราณไม่เหมือนกับยาชนิดอื่น”

ส่วนที่ว่าไม่เหมือนที่ตรงใดนั้นเขาไม่ได้เอ่ยต่อ ในใจกลับเกิดความประหลาดใจขึ้น

ยาบำรุงปราณเป็นยาชั้นเลิศที่รักษาคนอ่อนแอนั้นจริงอยู่ แต่กระนั้นโรคที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอมีอยู่หลายประเภทมาก ไม่ใช่คนอ่อนแอทุกคนกินยานี้แล้วจะเห็นผลอันน่าอัศจรรย์

ยานี่เดิมทีเป็นยาที่เขาตั้งใจปรุงให้พระชายาเจิ้นหนานอ๋องบำรุงร่างกาย ย่อมต้องเหมาะกับคนที่มีอาการป่วยเช่นเดียวกับพระชายาเจิ้นหนานอ๋อง

แน่นอนว่า คนที่มีอาการป่วยแบบอื่นกินแล้วก็มีข้อดีเช่นกัน

แต่ข้อดีกับผลอันน่าอัศจรรย์นั้นต่างกันอยู่มาก

นังหนูนี่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ให้คนกินยาซี้ซั้วมีแต่จะเสียเงินเปล่า

เขาคร้านจะเอ่ยเตือน ถือเสียว่าเป็นการให้บทเรียนกับเด็ก แต่คิดไม่ถึงว่านังหนูนี่จะเป็นแมวตาบอดที่บังเอิญเจอหนูตายเข้าเสียได้

“ลั่วเฉิน พวกเจ้ามาทักทายหมอเทวดาหน่อย”

พวกลั่วเฉินเข้ามาคารวะหมอเทวดาหลี่กันทันที

หมอเทวดาหลี่ฟังลั่วเซิงแนะนำทีละคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลังจากทุกคนกลับไปทำงานกันต่อแล้วเขาถึงได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หลังจากนี้ให้ลู่หู่ไปส่งข้าวให้ที่ฝั่งตรงข้ามทุกวันก็พอ”

คนชื่อลู่หู่นั่นนับว่าไว้ใจได้มากทีเดียว เขาได้ยินเด็กเฝ้าประตูบอกว่ามีครั้งหนึ่งตอนเอาข้าวไปส่ง บังเอิญเจอขโมยเข้า แต่ถูกลู่หู่ช่วยปกป้องไว้ได้

แค่ข้อนี้ก็มีประโยชน์แล้ว

“บะหมี่พะโล้มาแล้ว” หงโต้วตะโกนเสียงใส นำบะหมี่ร้อนฉุยมาวางลงตรงหน้าหมอเทวดาหลี่

บะหมี่สีออกเหลือง ใส่ผักจินเจิน ไก่ฉีก หมูสามชั้นกับไก่หั่นเต๋าผัดแล้วราดน้ำแกงพะโล้ ด้านบนโรยต้นหอมซอย ช่วยเรียกน้ำลายคนกินขึ้นมาทันที

หงโต้วยังเอาเครื่องเคียงจานเล็กๆ ยกมาวางบนโต๊ะ ระหว่างที่วางก็บอกชื่อแต่ละจานด้วยว่า “ผ้าขี้ริ้วรมควัน ขาหมูรมควันหั่นฝอย แตงกวาคลุกซีอิ้ว กระเทียมดำ…”

จานเล็กๆ ขนาดเท่าจานใส่น้ำจิ้มวางเรียงเต็มโต๊ะไปหมด

“หมอเทวดาเชิญรับประทานเจ้าค่ะ”

หมอเทวดาหลี่ก้มลงค่อยๆ ละเลียดกินทีละอย่าง

เส้นเหนียวสู้ฟัน กลิ่นพะโล้หอมหวน เครื่องเคียงมีหลากหลาย ชั่วขณะนั้นหมอเทวดาหลี่มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าการมาเปิดโรงหมอตรงข้ามกับหอสุราเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องยิ่งนัก

นั่งหยิบยา? แน่นอนว่าเขาคงไม่มานั่งหยิบยาเองอยู่แล้ว ไม่ได้มีหมอหวังที่ขายยาปลอมนั่นอยู่หรือ

อาจเพราะอากาศเย็นแล้ว กลิ่นหอมจากอาหารลอยฟุ้งอยู่ในห้องโถง ยิ่งนานยิ่งอบอวลขึ้นเรื่อยๆ

เว่ยหานดมตามกลิ่นหอมนั้นจนเข้ามาในหอสุรา

หมอเทวดาหลี่เพิ่งเช็ดปากเสร็จก็เห็นชายหนุ่มคุ้นหน้าเดินเข้ามาจึงหันไปถามลั่วเซิงว่า “ไม่ได้บอกว่าเย็นนี้ไม่มีคนรู้ว่าหอสุราเปิดกิจการหรือ”

ลั่วเซิงวางถ้วยน้ำชาลง ท่าทางดูไม่แปลกใจสักนิด “ไคหยางอ๋องไม่เหมือนคนอื่น”

คนผู้นี้ก็คือจอมตะกละที่ในสายตามีแต่ของกิน จะมองเขาเหมือนคนทั่วไปไม่ได้

หมอเทวดาหลี่เข้าใจทันที

จำได้แล้ว ที่แท้ก็คือเจ้าเด็กที่ต้องใช้ห่านขาวในการรักษานี่เอง

เจ้าเด็กนี่ไม่เหมือนคนอื่นตรงไหน

หมอเทวดาหลี่มองชายหนุ่มที่เดินเข้ามา พอหันมองเด็กสาวที่สีหน้าเรียบเฉยอีกทีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

เขาบอกแล้วว่ายาบำรุงปราณไม่เหมือนกับยาตัวอื่น นังหนูนี่ก็บอกว่าไคหยางอ๋องไม่เหมือนกับคนอื่นเหมือนกัน

ช่างยอกย้อนเก่งนัก

เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท