บทที่ 560 เผาให้วอด
บทที่ 560 เผาให้วอด
เสิ่นอี้โจวคาดการณ์ได้ตั้งแต่ต้นแล้ว เขาถามโดยไม่แสดงความรู้สึกอะไร “ใคร?”
หลิงเยี่ยมองไปรอบ ๆ ก่อนเอ่ยออกมาสามคำว่า ‘ฉีจิ่นจือ’
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เป็นดั่งคาด
ชายหนุ่มเอ่ย “แน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด?”
หลิงเยี่ยพยักหน้า “วันนี้ตอนที่ผมนำทหารออกลาดตระเวน ได้ไปพบเข้ากับกลุ่มคนน่าสงสัยที่ชายแดนครับ พวกเขามีอาวุธ ทั้งยังมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวบ้านในท้องถิ่น ดูเหมือนว่าจะมีการทำธุรกรรมกันอย่างลับ ๆ ด้วย ผมพาทหารนายหนึ่งไปตรวจสอบและพบว่าคนที่เป็นผู้นำกลุ่มนั้นมีลักษณะคล้ายกับฉีจิ่นจือ ลูกชายคนเล็กของฉีหยวนซาน”
ในเวลานั้น อีกฝ่ายมีคนกว่าสิบคน หลิงเยี่ยจึงไม่ได้ก้าวเข้าไปใกล้กว่านั้นเพื่อยืนยัน
แต่สายตาของเขานั้นเฉียบคมกว่าคนทั่วไปอยู่พอควร จึงไม่มีทางที่จะมองผิดไปแน่
เขาเงียบลงครู่หนึ่ง “ผมเพียงได้ยินมาว่าฉีจิ่นจือแตกหักกับฉีหยวนซาน จึงย้ายออกไปจากมณฑลอวิ๋น แต่ผมไม่รู้ว่าเขากลายเป็นเป็นสุนัขรับใช้ให้ขบวนการค้ายาเสพติดชาวพม่า”
หลิงเยี่ยอยู่ในกองทัพ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะทราบดีว่าในแต่ละปีมีตำรวจปราบปรามยาเสพติดถูกสังหารระหว่างปฏิบัติหน้าที่มากเท่าไหร่ และอายุที่พวกเขาสละชีวิตโดยเฉลี่ยคือเพียงสามสิบหรือสี่สิบปีเท่านั้น
เขาเกลียดกลุ่มค้ายาเสพติดมากพอ ๆ กับที่เสียใจต่อความเสียสละของตำรวจปราบปรามยาเสพติด
สถานะของฉีจิ่นจือในตอนนี้ไม่ใช่แค่ค้ายาเสพติดเท่านั้น ทว่ายังขายชาติอีกด้วย
หลิงเยี่ยกำปืนในมือแน่น ทหารหนุ่มอดรนทนไม่ไหว อยากจะไปจับฉีจิ่นจือให้รู้แล้วรู้รอด และจะยิงคนทรยศนั่นเพื่อปลอบขวัญวิญญาณของวีรบุรุษผู้เสียสละบนสวรรค์
เสิ่นอี้โจวมีสีหน้าหนักใจเช่นกัน
เขาเดินเข้าไปในห้องสองสามก้าวพลางเอ่ย “แล้วคุณวางแผนว่าจะทำยังไงต่อไป?”
หลิงเยี่ยพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “แน่นอนว่าต้องตรวจสอบให้แน่ชัด จากนั้นรายงานกองทัพให้จัดการสถานการณ์ตามความร้ายแรงครับ”
หากเป็นเพียงเรื่องของชายแดนพม่า พวกเขาก็ทำได้เพียงมุ่งเน้นไปที่การป้องกัน ทว่าเมื่อดูสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้แทรกซึมเข้ามาในแผ่นดินจีนเรียบร้อยแล้ว
เสิ่นอี้โจวใช้โอกาสนี้พยักหน้ารับพร้อมเอ่ย “ผมเองก็รู้สึกว่าในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉีหยวนซาน ควรจะรายงานให้เบื้องบนทราบจะดีกว่า”
หลิงเยี่ยเห็นด้วยอย่างยิ่ง “เดี๋ยวผมจะต่อสายรายงานขึ้นไปครับ”
ทั้งสองคุยกันอยู่ในห้องสักพักก่อนจะออกมาพร้อมกัน
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยและหัวหน้าหน่วยป้องกันชายแดนรวมตัวกันเพื่อหารือว่าจะรับมืออย่างไรต่อ
การพูดคุยนี้ดำเนินไปจนดึกดื่น
ถนนบนภูเขาในเวลากลางคืนนั้นยากต่อการเดินทาง เสิ่นอี้โจวและเจ้าหน้าที่หยุดพัก โดยจะออกเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น
ค่ำคืนอันเงียบสงบระคนตึงเครียดนี้ไม่ใช่แค่ที่ด่านชายแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหมู่บ้านโดยรอบหลายแห่งด้วย
กระทั่งเวลาดำเนินมาถึงเช้าวันรุ่งขึ้น พลันเมื่อได้ยินเสียงไก่ขัน พร้อมท้องนภายามรุ่งสางซึ่งมีสีขาวราวกับท้องปลา หัวใจของทุกคนจึงกลับไปอยู่ที่อกซ้ายดังเดิม
เซี่ยชิงหยวนรอให้เสิ่นอี้โจวกลับมาด้วยความกระวนกระวาย ทันทีที่เธอเห็นใบหน้าห่อเหี่ยวของเขา หญิงสาวก็รีบเปิดประตูห้องทันที
เธอรีบก้าวเข้าไปหาเขาพร้อมเอ่ยว่า “สถานการณ์เลวร้ายเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “หลิงเยี่ยเห็นฉีจิ่นจืออยู่ที่ชายแดนของประเทศพม่าน่ะ”
ประโยคเดียวสรุปสถานการณ์ได้ทั้งหมด
ในใจของเซี่ยชิงหยวนพลันตระหนก “แล้วสถานะของเขาล่ะ?”
หลิงเยี่ยเกลียดชังความชั่วดุจเกลียดชังศัตรู หากทั้งสองฝ่ายปะทะกันก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ผมแนะนำให้เขารายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนทราบ”
ส่วนที่ว่าเบื้องบนจะตัดสินใจต่อเรื่องนี้อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของฉีจิ่นจือแล้ว หวังว่าเขาจะไม่หันปลายกระบอกปืนมายังคนของตัวเองก็เพียงเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ “ฉันเคยคิดมาตลอดว่าการไม่ได้ยินข่าวจากเขาถือเป็นข่าวดีที่สุด มาวันนี้พอได้ยินเรื่องของเขา ก็กลับกลายเป็นสถานการณ์เช่นนี้ไปแล้ว”
หากเขาและหลิงเยี่ยพบกันอีกครั้ง เขาจะชักปืนออกมาหรือไม่นะ?
หากยอมอ่อนข้อให้อย่างชัดเจนเกินไป เขาก็จะทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายต่อการถูกเปิดเผยอีกครั้ง
หญิงสาวยืนหันหน้าไปยังหน้าต่างพร้อมประสานมืออธิษฐาน “หวังว่าเขาจะปลอดภัย”
เสิ่นอี้โจวก้าวเข้ามาจับไหล่ผู้เป็นภรรยาแล้วเอ่ยว่า “ฉีจิ่นจือเป็นคนมีแผนการอยู่ในใจ การที่คนฝั่งนั้นจะค้นพบว่าเขาเป็นใครคงไม่ง่ายนัก”
เซี่ยชิงหยวนถือโอกาสเอนตัวลงบนไหล่ของชายหนุ่มพลางเอ่ยตอบ “อืม เขาทนทุกข์มามากแล้ว สวรรค์ควรประทานวันที่ขมสิ้นหวานตามให้เขาเสียทีนะ”
…
เริ่มตั้งแต่วันนั้น ทั่วทั้งอำเภอรุ่ยเริ่มตระเตรียมการป้องกัน
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งคือการลาดตระเวนที่เพิ่มขึ้น แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ก็ล้วนแล้วมีส่วนร่วม
พวกเขาดูเหมือนจะดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ แต่สีหน้าของพวกเขานั้นดูระแวดระวังกว่าที่เคยอยู่พอตัว
หลังจากที่หลิงเยี่ยต่อสายหาเบื้องบน เขาก็นั่งอยู่ในห้องทำงานอยู่นาน และเมื่อเขาออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ออกคำสั่งให้เดินทางไปยังหมู่บ้านที่ปลูกดอกฝิ่นทันที
นอกจากทหารชายแดนแล้ว ยังมีหน่วยอื่น ๆ ที่ถูกส่งมาจากในเมืองอีกด้วย
พวกเขาไปเริ่มจากการไปเยี่ยมชาวบ้านก่อน จึงทราบว่าที่ชาวบ้านพากันปลูกดอกฝิ่นนั้นเพราะมีคนมารับซื้อทุกปี
ชาวบ้านส่วนใหญ่เพียงคิดว่ามันเป็นดอกไม้ที่สวยงาม ซึ่งสามารถทำให้พวกเขาร่ำรวยได้เท่านั้น พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตคนได้
สำหรับชาวบ้านกลุ่มนี้ ตำรวจทำได้เพียงสั่งทำลายดอกฝิ่นที่ปลูกทิ้งเสีย และถือโอกาสกล่าวบอกถึงอันตรายของยาเสพติด
การรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดกำลังดำเนินไปอย่างเต็มที่ ทว่าเนินเขาฝั่งตรงข้าม ยังคงมีดอกไม้สีแดงนี้เบ่งบานราวเพลิงกาฬอยู่
พวกเขารู้ว่าเวลาอันสงบสุขนั้นอยู่ได้ไม่นาน ด้วยวันหนึ่งความชั่วร้ายจะกลับคืน
ตราบเท่าที่ยังมีความชั่วและความโลภอยู่ในใจมนุษย์ ความบาปก็ย่อมไม่มีทางยุติลง
เมื่อหวนนึกถึงเพื่อนร่วมงานที่ต้องทนทุกข์ทรมานและอัปยศอดสูอย่างไร้มนุษยธรรม ในท้ายที่สุดก็ลาโลกนี้ไปด้วยเพราะเจ็บปวดจนทนไม่ไหวทีละคน ๆ พวกเขาก็อยากจะรีบไปเผาดอกไม้สีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของบาปนี้เสีย
แต่พวกเขาทำไม่ได้
เพียงเพราะนั่นไม่ใช่อาณาเขตของพวกเขา และหากเสียงปืนดังขึ้น ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งหรือข้อพิพาทระหว่างประเทศ
มาตุภูมิของเราเป็นแผ่นดินที่รอคอยการปรับปรุงพัฒนา เป็นประเทศที่กำลังเติบโต ยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่ไร้ใครต่อกรและไม่กลัวเกรงสิ่งใด
ชาวบ้านต่างพากันปรบมือเมื่อได้ยินว่าดอกฝิ่นที่ถูกปลูกบนพื้นที่ของพวกเขาถูกเผาจนหมดสิ้น
“ไม่ว่าจะขาดเงินเพียงใด ก็ไม่สามารถปลูกดอกไม้นั่นได้ เพราะอาจอันตรายถึงขั้นทำให้ผู้คนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว!”
“เมื่อสองปีก่อนลูกชายของเหล่าฮั่นเองก็เคยไปมั่วสุมอยู่กับคนพวกนั้นในตำบล จนตอนนี้กลายเป็นหมดสภาพไปแล้วไม่ใช่เหรอ? หลังจากนั้นเขาก็ผอมมากเสียจนดูไม่เหมือนมนุษย์ด้วยซ้ำไป”
“นอกจากลูกชายของเหล่าฮั่นแล้ว ก็ยังมีสามีของพี่เหอฮวาด้วย ได้ยินว่าเสียชีวิตเพราะกินสิ่งที่เป็นพิษเข้าไป”
…
ความเห็นของชาวบ้านไปเข้าหูตำรวจ พวกเขาจึงเข้ามาเยี่ยมเยียนอีกครั้งพร้อมทำการสอบสวน
ที่ใดมีอุปสงค์ ที่นั่นย่อมมีอุปทาน เพียงคลำเครือไปหาแตงก็มีความหวังว่าจะสามารถระบุตัวอาชญากรที่ซุ่มซ่อนอยู่ในประเทศได้
เป็นผลให้ทั้งชายหญิง ทั้งหัวหงอกหัวดำต่างบอกกันไปปากต่อปากว่าการใช้ยาเสพติดนั้นผิดกฎหมายและจะถูกจับกุม
แม้แต่เสิ่นอี้หลินเองก็ได้รับการสอนจากหลินตงซิ่ว “จำไว้ว่าในอนาคตลูกต้ององอาจผึ่งผาย อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดนะ”
เสิ่นอี้หลินกลอกตาอย่างจนปัญญาพลางเอ่ย “ผมรู้ครับ ผมรู้”
เขาแสร้งทำเป็นโกรธพลางจ้องมองเจ้าตัวแสบทั้งสองที่กำลังหัวเราะเยาะตัวเอง ก่อนเอ่ยดุกลั้วหัวเราะว่า “หัวเราะอะไรกัน? พอพวกเธอโตขึ้นก็ต้องถูกตีถูกว่าแบบนี้เหมือนกันนั่นแหละ”
หลินตงซิ่วบิดหูของเด็กชายอย่างแรง “แม่กำลังพูดกับลูกอยู่นะ ลูกจะไปขู่ให้เด็กๆ กลัวทำไม?”
เสิ่นอี้หลินพลันแสดงท่าทางเกินจริง “โอ๊ย! โอ๊ย!” เขาตะโกนเสียงดังในขณะที่พยายามปกป้องใบหูของตัวเองไว้ “แม่ครับ ผมไม่กล้า ผมไม่กล้าแล้ว!”
เสิ่นทิงหลานและเสิ่นทิงอวิ๋นมองดูอย่างครื้นเครง อีกทั้งเสิ่นทิงอวิ๋นยังปรบมือของเขาอย่างมีความสุขอีกด้วย
…
อยู่มาวันหนึ่ง สองปีให้หลัง
เสิ่นอี้หลินพาเสิ่นทิงอวิ๋นวัยสามขวบไปนั่งยองอยู่ข้างลำธาร
เขาชี้ไปยังเสื้อผ้าที่สาว ๆ ถอดไว้บนฝั่งก่อนไปอาบน้ำแล้วพูดว่า “เห็นนั่นไหม? พวกนั้นคือเสื้อผ้าของเจ็ดนางฟ้า ถ้านายไปเอาเสื้อผ้านั้นมาได้ นายก็จะได้แต่งงานกับเจ็ดนางฟ้านะ”
เสิ่นทิงอวิ๋นเกาหัว “แต่ลุงเล็ก ผมยังเด็กอยู่เลย อีกทั้งแม่ก็บอกว่าผมไม่สามารถมีภรรยาได้นะ”
เสิ่นอี้หลินยังคงโน้มน้าวต่อ “นายโง่ชะมัด นางฟ้าเขาไม่แก่ลงหรอก พอนายโตขึ้น เหล่านางฟ้าก็ยังสาวอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ”
เสิ่นทิงอวิ๋นรู้สึกว่าคำพูดนั้นสมเหตุสมผล “ก็ได้ครับ ลุงรออยู่นี่นะ”
เอ่ยจบก็วิ่งออกไปอย่างเริงร่า
ผลลัพธ์ที่ได้คือ…
เสิ่นทิงอวิ๋นวิ่งไปร้องไห้ไปจนน้ำหูน้ำตาเปรอะเปื้อน “คุณย่า แม่ตีผม! คุณย่า ช่วยด้วย!”
เซี่ยชิงหยวนหายใจหอบ ขณะที่วิ่งไล่ตามเขา “ลูกหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ หรือจะให้แม่ตีให้ขาหัก!”
[1] ขมสิ้นหวานตาม อุปมาว่าเมื่อช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากได้ผ่านพ้นไป สิ่งดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง