บทที่ 561 ไม่มีพี่สาวสี่อีกต่อไป
บทที่ 561 ไม่มีพี่สาวสี่อีกต่อไป
เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ในห้องเรียนพลางตะโกนขานชื่อ
เธอมองไปยังที่นั่งในห้อง ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีที่นั่งว่างอยู่สองสามที่ แล้วเอ่ยถาม “พวกเธอรู้ไหมว่าทำไมชวนจื่อและเหม่ยลี่ถึงไม่มาโรงเรียน?”
“หนูรู้ค่ะคุณครู!”
“คุณครูเซี่ย ผมรู้ครับ!”
“หนู! หนู! ถามหนูสิ!”
เด็ก ๆ ต่างแย่งกันยกมือขึ้นพูด
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าให้เด็กน้อยคนที่ยกมือขึ้นสูงที่สุด “หลี่หมิงเทียน เธอว่ามาซิ”
หลี่หมิงเทียนเป็นเด็กชายอายุเก้าขวบ รูปร่างผอมบางและมีผิวคล้ำ
เขามีพี่สาวสี่คน เด็กชายจึงเป็นลูกคนเล็กในครอบครัว
เขากล่าวว่า “พ่อของชวนจื่อบอกว่าถึงเวลาต้องเกี่ยวข้าวแล้ว จึงขอลาหยุดหนึ่งสัปดาห์ครับ ส่วนครอบครัวของเหม่ยลี่ต้องการพูดคุยเรื่องแต่งงานกับเธอ จึงขอลาหยุดหนึ่งวัน ส่วนเรื่องที่ว่าเธอจะยังกลับมาเรียนไหมนั้นยังไม่แน่นอนครับ”
ทันทีที่เซี่ยชิงหยวนได้ยินดังนั้น คิ้วของหญิงสาวพลันขมวดแน่น “เหม่ยลี่กำลังจะแต่งงานเหรอ?”
เด็กสามสิบกว่าคนที่รวบรวมมาอย่างยากลำบากนี้มักลาเรียนด้วยเหตุผลแปลก ๆ หลายอย่าง
ที่บ้านมีไก่วางไข่บ้าง น้อง ๆ ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแลบ้าง หรือไม่ก็ต้องไปทำงานในเทือกสวนไร่น่า เหตุผลต่าง ๆ นั้นมีมาเรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านเมื่อมีเหตุผลพวกนี้ พ่อแม่ของเด็กนั้นเคารพเธอในฐานะครู พวกเขากล่าวบอกอย่างสุภาพว่า “คุณครูเซี่ย ฉันเองก็จนปัญญา หากเราไม่ปล่อยให้ลูกหลานไปเรียนหนังสือก็กลัวว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นมาไร้การศึกษาเหมือนเรา ต้องทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน แต่หากไปโรงเรียนทุกวันก็ไม่มีใครทำงานบ้าน อ่านหนังสือน้อยลงสักวันก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่สนใจพืชผลในไร่ในสวน ทั้งครอบครัวก็จะหิวโหย เราไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาเข้ามหาวิทยาลัยชิงฮวาหรือมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง แค่พวกเขารู้คำศัพท์บ้าง นับเลขได้บ้าง แค่นี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
แม้แต่เด็กที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น สำหรับครอบครัวที่ยากจนแล้ว พวกเขาสามารถช่วยเหลืองานบางอย่างได้แล้ว
เซี่ยชิงหยวนรู้ตัวดีว่าเธอนั้นไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่จะไปสั่งพวกเขาได้ การที่พวกเขายอมให้เด็ก ๆ มาเรียนก็ถือเป็นการยอมอ่อนข้อให้อย่างถึงที่สุดแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็ค่อย ๆ ยอมรับในข้อนี้
แต่เธอก็ยังจัดชั้นเรียนพิเศษให้เด็ก ๆ หลังจากที่พวกเขาลาหยุดด้วย
ชวนจื่อเป็นนักเรียนที่ประพฤติดี ทั้งยังเชื่อฟังอย่างดีเวลาอยู่ในชั้นเรียน ปกติจะเด็กชายเรียกเธอว่า ‘คุณครูเซี่ย’ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ส่วนนักเรียนที่ชื่อ ‘เหม่ยลี่’ นั้น เธอเพิ่งจะอายุครบสิบสามปีเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมานี้เอง
เด็กหญิงมีผิวเหลืองติดคล้ำเล็ก ๆ และผอมแห้งราวกับถั่วงอก
ผลการเรียนของเด็กหญิงไม่ได้ดีนัก ทว่าเธอเป็นคนที่จริงจังที่สุดในชั้นเรียน สมุดแบบฝึกหัดที่แจกไป เด็กหญิงจะเริ่มลงมือเขียนในช่อง โดยปกติแล้วหนึ่งช่องต่อหนึ่งตัวอักษร แต่เหม่ยลี่สามารถบีบเขียนได้ถึงสี่ตัวอักษรในช่องเดียว
แม้จะคัดจนสมุดหมดเล่ม ลายมือก็ยังไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เรียบร้อยพอที่จะเห็นความทุ่มเทของเด็กหญิงได้
เซี่ยชิงหยวนเคยถามเธอว่า “ทำไมหนูถึงอยากมาเรียนล่ะ?”
เด็กหญิงตัวน้อยมองเธอด้วยแววตาสดใสและบริสุทธิ์ พร้อมใบหน้าเขินอาย “ในอนาคตอยากเป็นเหมือนคุณครูเซี่ยค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนไม่เคยลืมความหวังและความงดงามที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาอันสดใสของเด็กหญิงในยามที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำนี้เลย
หลี่หมิงเทียนพยักหน้า “ครับ ผมได้ยินเธอพูดเมื่อวานนี้ เธอบอกว่าพี่ชายของเธอไม่มีเงินที่จะใช้แต่งภรรยา พ่อแม่ของเธอจึงต้องการให้เธอแต่งงานออกไปก่อน จากนั้นพวกเขาจึงจะสามารถแต่งสะใภ้เข้าบ้านได้”
ยามที่หลี่หมิงเทียนกล่าวถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขานั้นดูคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ใบหน้าของเด็กคนอื่น ๆ ในชั้นเรียนก็เรียบนิ่งไม่แปรเปลี่ยนเช่นกัน
ในสายตาของเด็กเหล่านี้ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากผู้ใหญ่ พวกเขาเติบโตขึ้นมาโดยเข้าใจว่าเด็กผู้หญิงนั้นเป็นดั่งของชดเชย*[1] เป็นน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้วไม่สามารถเอากลับคืนได้ เมื่อครอบครัวพบกับทางตัน หาเงินไม่พอมาจุนเจือเลี้ยงชีพ พวกเธอก็อาจจะต้องถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อแลกกับเงินหรือข้าวปลาอาหาร
แม้แต่พี่สาวคนที่สี่ของเขาเอง ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่ย่ำแย่ของปีที่แล้ว เธอก็ถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานโดยแลกกับเงินสิบหยวน เนื้อหมูหนึ่งกิโลกรัม และข้าวกล้องยี่สิบห้ากิโลกรัม
พี่สาวสี่มีอายุมากกว่าเขาเพียงเจ็ดปี ปกติแล้วเธอจะเป็นคนคอยดูแลเขาไปในเวลาที่พ่อแม่ออกไปทำงาน
นอกเหนือจากการเลี้ยงดูเขาแล้ว พี่สาวสี่ของเขายังต้องช่วยทำงานของครอบครัวด้วย ในความทรงจำในวัยเด็กของเขา เขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดบนหลังของพี่สาวสี่
เขาเป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในครอบครัว จึงถูกพ่อแม่และปู่ย่าตายายเลี้ยงดูให้มีนิสัยหยิ่งผยอง
บางครั้งเมื่อไม่ได้ดั่งใจ เขาก็จะรังแกพี่สาวสี่ ทั้งยังเรียนรู้จากพ่อแม่และปู่ย่าตายายในการดุด่าทุบตีเธอ
พี่สาวสี่มักจะกัดริมฝีปากแน่นโดยไม่ขัดขืนหรือเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้เพียงสักคำ
พี่สาวอีกสามคนในครอบครัวเองเคยเห็นเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ทว่าพวกเธอต่างก็นิ่งเงียบเหมือนกับพี่สาวคนที่สี่
เขาอายุเจ็ดขวบในวันที่พี่สาวสี่ของเขาแต่งงาน
ชายที่เขาควรจะเรียกว่าพี่เขยได้นำวัวแก่ที่ยืมเพื่อมารับพี่สาวสี่ไป
เขาซึ่งปกติแล้วเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ในวันนั้นเขาร้องไห้และไล่ตามเธอไปเกือบหนึ่งลี้ “พี่สาวสี่ ผมต้องการพี่สาวสี่ของผม!”
พี่สาวสี่ซึ่งนั่งอยู่บนหลังวัวนั้น สวมชุดสีแดงที่ไม่พอดีตัวอย่างยิ่ง พร้อมประดับดอกไม้สีแดงสดบนศีรษะ
ผมแห้งกรังของพี่สาวสี่ของเขาถูกเกล้าขึ้น บนใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของเธอฉายชัดให้เห็นถึงความกลัวต่อชีวิตในอนาคตและความรู้สึกไม่เต็มใจที่จะต้องพรากจากครอบครัว
เธอตะโกนบอกเขาว่า “หมิงหมิง กลับไปเถอะ!”
พ่อวิ่งไล่ตามเขามา และเมื่อเขาเห็นลูกสาวร้องไห้ พ่อกลับดุว่าพี่สาวสี่ของเขาแทน “จะร้องไห้ทำไม ดูสิว่าลูกทำให้น้องชายต้องร้องไห้แล้ว! ในวันมงคลเช่นนี้กลับทำอะไรแบบนี้เนี่ยนะ? ซวยจริง ๆ! รีบไปเสียเถอะ พ่อต้องกลับไปปรุงเนื้อให้น้องชายและปู่ย่าตายายของลูกอีก!”
เขาจำแสงสุดท้ายในดวงตาของพี่สาวสี่ ซึ่งดับลงด้วยวาจาของผู้เป็นบิดาได้อย่างแจ่มชัด
ชายคนนั้นมีอายุมากกว่าพี่สาวสี่ของเขาหลายสิบปี ใช้มือปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของเธออย่างไร้ความปรานี พร้อมมองตรงไปยังใบหน้าของเธอด้วยรอยยิ้ม
ด้วยความกลัว พี่สาวสี่จึงพยายามเบี่ยงตัวหลบ แต่ถูกชายคนนั้นกระชากกลับมา
เด็กชายมองไปยังพ่อของตน ซึ่งไม่ได้มีท่าทีตอบโต้ใด ๆ เลยแม้เพียงครึ่งส่วน
เขาไม่มีพี่สาวสี่อีกต่อไปแล้ว เด็กชายคิด
และเป็นอีกครอบครัวที่ยอม ‘ขาย’ ลูกสาวเพื่อลูกชาย
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนถูกคลื่นแห่งความโศกเศร้าเข้าซัดซา
หญิงสาวดูเวลาแล้วพบว่าเป็นเวลาแปดโมงกว่า ๆ แล้ว
เธอไปหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากศูนย์บรรเทาความยากจน และขอให้มาช่วยรับช่วงสอนต่อในชั้นเรียนของเธอ จากนั้นจึงหันหลังออกมาเพื่อไปหาเถียนกุ้ยฟาง
ปัจจุบันเถียนกุ้ยฟางไม่เพียงแต่มีหน้าที่ดูแลเรื่องเสบียงของหน่วยป้องกันเขตแดนเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวหน้าสมาคมสตรีของหมู่บ้านอีกด้วย
หญิงสาวรีบไปที่บ้านของเถียนกุ้ยฟาง แล้วเอ่ยว่า “พี่สาวกุ้ยฟาง มีเรื่องด่วนค่ะ!”
เธอเล่าเรื่องของเหม่ยลี่ให้เถียนกุ้ยฟางฟัง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ฉันคิดว่าจะไปที่บ้านของเหม่ยลี่เพื่อดูว่าครอบครัวของพวกเขาขาดเงินมากน้อยแค่ไหน แล้วฉันจะจัดการปิดยอดตรงนั้นให้น่ะ”
แน่นอนว่าเถียนกุ้ยฟางนั้นดูถูกดูแคลนเรื่องแบบนี้อย่างมาก
เธอส่งเสียงถุ้ยออกมา ก่อนจะอึก ๆ อัก ๆ อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา “น้องชิงหยวน ฉันรู้ว่าเธอมีจิตใจดีและต้องการช่วยเหลือ แต่เธอต้องรู้ว่าพวกเราที่นี่ยากจน ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้ชายไม่สามารถแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ก็ดี หรือผู้หญิงต้องแต่งงานเพราะถูกครอบครัวบังคับเพื่อแลกกับอาหารและเงินก็ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องปกธรรมดาสำหรับที่นี่ ในหมู่บ้านข้างเคียงเองก็มีสะใภ้หลายคนที่ถูกซื้อมาจากข้างนอก ครั้งนี้สามารถช่วยเธอได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากพ่อแม่ของเหม่ยลี่บังคับให้เหม่ยลี่แต่งงานอีกครั้งโดยไม่ให้เธอรู้ล่ะ?”
ไม่ใช่ว่าศูนย์บรรเทาความยากจนไม่ได้พร่ำสอนเรื่องนี้แก่พวกเขา และพวกเขาเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ผิดกฎหมาย แต่ใครใช้ให้พวกเขายากจนกันล่ะ?
จนจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว ใครจะยังมาสนใจว่าทำผิดกฎหมายหรือไม่บ้างเล่า?
คำพูดของเถียนกุ้ยฟางนั้น เซี่ยชิงหยวนย่อมเข้าใจได้
เธอกล่าวว่า “ฉันเข้าใจทุกอย่างที่พี่สาวพูดค่ะ เพียงแต่ในฐานะครูของเธอ ฉันไม่สามารถมองดูเธอกำลังจะกระโดดเข้าไปในกองไฟโดยไม่ทำอะไรได้ เธออายุเพียงสิบสามปีเท่านั้นเอง เป็นวัยที่ยังไม่ประสีประสาอะไรเลย เธอจะไปเป็นภรรยาของใครได้ยังไง? ไม่ใช่แค่เหม่ยลี่ แต่เด็กสาวทุกคนด้วย ขอเพียงแค่ฉันรู้จัก ฉันจะไม่สนใจไยดีได้อย่างไร”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนตัดสินใจแล้ว เถียนกุ้ยฟางจึงกล่าวว่า “ก็ได้ ฉันจะไปเป็นเพื่อนนะ”
[1] ของชดเชย เป็นคำเปรียบเทียบเรียกลูกสาวในแบบที่เจือความดูถูก เพราะเมื่อลูกสาวโตขึ้นต้องแต่งเข้าบ้านสามี ทั้งยังต้องเสียเงินค่าเครื่องใช้ในการแต่งงาน