ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 255 ยกอาหาร

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 255 ยกอาหาร

ลั่วเซิงข่มความสงสัยที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นไว้ สายตาเหลือบมองโต๊ะที่ว่างเปล่า “ฝ่าบาทยังไม่สั่งอาหารหรือเพคะ”

เว่ยเชียงอยากจะยิ้มหยัน

ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาก็อารมณ์เสียตลอด จะมีเวลาสนใจสั่งอาหารหรือ

“มีอาหารใหม่อะไรบ้าง”

ลั่วเซิงยิ้มพูดว่า “อากาศเย็นแล้ว หอสุรามีหม้อไฟเนื้อแพะและหม้อไฟหัวปลา ฝ่าพระบาททรงอยากลองหรือไม่เพคะ”

เว่ยเชียงอดเหลือบมองโต๊ะของเว่ยหานไม่ได้

บนโต๊ะมีเตาดินเผาสีแดงเล็กๆ ความร้อนในหม้อบนเตาเผายังคงอยู่ กลิ่นหอมของเนื้อแพะลอยมาพร้อมกลิ่นหอมของสุรา

เว่ยเชียงลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นขอหม้อไฟหัวปลาและสุราหนึ่งกาแล้วกัน”

ปลายฤดูใบไม้ร่วงกินเนื้อแพะดีที่สุด แต่กินเสร็จแล้วจะมีกลิ่นเหม็นติดตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาอาศัยอยู่ในวังคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก

มีเพียงไคหยางอ๋อง เขาไม่เคยเห็นไคหยางอ๋องต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอาหารเลย บางทีอาจเป็นเพราะเขาอาศัยที่ทางเหนือนานแล้ว ติดนิสัยคนป่าเถื่อนมา

“ฝ่าบาทรอสักครู่เพคะ” ลั่วเซิงพูดทิ้งท้าย หันหลังเดินเข้าไปในครัว

เว่ยหานถือจอกสุรา มองแผ่นหลังในชุดสีพื้นที่หายไปอย่างครุ่นคิด

เว่ยเชียงเอ่ยขึ้นขัดจังหวะความคิดของเว่ยหาน “เสด็จอามาดื่มสุราที่นี่ทุกวันเลยหรือ”

เว่ยหานมองเขา พูดเสียงราบเรียบว่า “ข้ามาเมื่ออยากมา”

ก็แค่อยากมาทุกวันแค่นั้นเอง

“หลานอิจฉาความเป็นอิสระของเสด็จอามาก” น้ำเสียงของเว่ยเชียงไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม

เว่ยหานยกมุมปากขึ้น ความเย้ยหยันปรากฏเพียงชั่ววูบ “เมื่อก่อนฝ่าบาทก็มีอิสระเช่นกัน อย่าอิจฉาข้าเลย”

เว่ยเชียงชะงักเล็กน้อย ความเดือดดาลในใจคุกรุ่น

ไคหยางอ๋องพูดจาดีๆ แล้วจะตายหรืออย่างไร

นานแล้วที่ไม่มีคนพูดถึงเรื่องอดีตครั้งเขาเป็นผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ

นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากกลับจวนผิงหนานอ๋อง

กลับถึงที่นั่น เขาก็จะคิดถึงอดีตที่เขาไม่อยากคิดถึงเหล่านั้น

ทว่าไคหยางอ๋องกลับเอ่ยแทงใจดำ ทำให้เขาไม่สามารถพูดต่อไปได้

หากเขาปฏิเสธ เช่นนั้นสิ่งที่พูดเมื่อครู่นี้เท่ากับผายลม หากยอมรับก็จะยิ่งสร้างปัญหาหนักกว่าเดิม

รัชทายาทคิดถึงชีวิตในอดีตครั้นเป็นผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ หากเรื่องไปถึงฮ่องเต้ จะทรงดำริเช่นไร

ทั้งๆ ที่คำพูดของเว่ยหานเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทบนโต๊ะอาหารเท่านั้น

เว่ยหานหลุบตาลงกระดกสุราจอกหนึ่งจนหมดแล้วค่อยๆ คีบเนื้อแพะที่ตุ๋นจนเปื่อยและส่งกลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมา

เขาอายุน้อยกว่ารัชทายาทถึงเก้าปีเต็ม นับได้ว่าโตมากับการฟังเรื่องซุบซิบของรัชทายาท

ได้ยินดังนั้นก็คิดเพียงว่า หลานชายคนโตคนนี้นิสัยแย่จริงๆ

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ต้องให้เขาออกโรงสั่งสอน เพียงแต่ว่าหากต้องการให้เขาทำดีหรือพูดดีด้วยคงเป็นเรื่องยาก

เว่ยหานเงยหน้าเหลือบมองโต๊ะข้างๆ พลางเอ่ยเสริมในใจว่า โดยเฉพาะตั้งแต่ที่รัชทายาทชอบมาหอสุราของคุณหนูลั่ว

สายตาของเขามองไปยังประตูที่เชื่อมไปห้องครัว เว่ยหานคิด คุณหนูลั่วคงไม่ได้จะยกอาหารมาให้รัชทายาทเองหรอกนะ

กลิ่นหอมอบอวลอยู่ในห้องครัว เนื่องจากเนื้อและผักที่ตุ๋นไว้ล่วงหน้า ซิ่วเย่ว์จึงไม่ยุ่งมากนัก

ชายมีหนวดกำลังไปรับเสี่ยวชีเลิกเรียน ชายร่างกำยำที่มีหน้าที่ผ่าฟืนไม่ค่อยอยู่ในห้องครัวอยู่แล้ว

ลั่วเซิงให้หงโต้วอยู่ในสวนหลังเรือนคุยเล่นกับชายร่างกำยำส่วนนางก้าวเท้าเดินเข้าไปในครัว

“คุณหนู…”

ลั่วเซิงน้ำเสียงสงบ “รัชทายาทมาแล้ว”

มือที่จับตะหลิวของซิ่วเย่ว์สั่นเล็กน้อย

หากเป็นไปได้ นางอยากจะพุ่งตัวออกจากครัวแล้วตบเจ้าคนสารเลวนั่นให้ตายด้วยตะหลิวในมือจริงๆ

ลั่วเซิงไม่ได้ปริปาก เพียงมองซิ่วเย่ว์อย่างลึกซึ้ง

ซิ่วเย่ว์ตั้งสติได้ในทันที สีหน้ากลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง

ลั่วเซิงพึงพอใจกับการยับยั้งชั่งใจของซิ่วเย่ว์อย่างยิ่ง น้ำเสียงของนางสงบลงกว่าเดิม “รัชทายาททรงอยากเสวยหม้อไฟหัวปลา อาซิ่ว เจ้าไปทำให้ดีๆ เถอะ”

“คุณหนู?”

ลั่วเซิงยกมุมปาก น้ำเสียงแฝงความนัย “รัชทายาทมาเสวยอาหารที่หอสุราของเราเป็นเกียรติของหอสุรา อย่าละเลยพระองค์ล่ะ”

“เจ้าค่ะ” ซิ่วเย่ว์ขานตอบ

เตาดินเผาสีแดงขนาดเล็กเหมาะสำหรับวางบนโต๊ะและหม้อที่เข้ากันมีขนาดไม่ใหญ่นัก

ซิ่วเย่ว์เปิดฝาหม้อใบใหญ่ออก ตักน้ำแกงหัวปลาที่อุ่นอยู่ตลอดเวลาใส่ในหม้อใบเล็ก จากนั้นก็ใส่หัวปลาและลูกชิ้นปลาลงไป

ไม่นาน ลูกชิ้นปลาขนาดเล็กใหญ่เท่าเม็ดลำไยก็ลอยขึ้นมาในหม้อทีละลูก

นางโรยต้นหอมและผักชี จากนั้นซิ่วเย่ว์ก็หยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กขวดหนึ่งออกมา บิดเปิดฝาขวดและโรยผงบางอย่างลงไปเล็กน้อย

ลั่วเซิงมองดูด้วยใบหน้าไร้อารมณ์จนเมื่อผงสีขาวเหล่านั้นละลายผสานกับน้ำแกงปลาสีขาว กลิ่นหอมที่ลอยออกมาเข้มข้นกว่าเดิม นางถึงจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

นี่คือเครื่องปรุงที่เพิ่มเข้ามาสำหรับเว่ยเชียงโดยเฉพาะ หวังว่าเขาจะชอบ

ปลายนิ้วที่เย็นเล็กน้อยแตะลงบนกำไลที่อยู่บนข้อมือ แววตาของลั่วเซิงเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม

กำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีที่สามารถผลัดเปลี่ยนแผ่นเดินได้ยังไม่ถึงเวลาเผยโฉม

จวนเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกกล่าวหาว่ากบฏใช้กำไลวงนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ไม่ว่าสุดท้ายจะต้องเผชิญหน้ากับนายแห่งแผ่นดินต้าโจวหรือไม่ ก่อนอื่นสิ่งที่นางต้องทำคือลบล้างโทษให้จวนเจิ้นหนานอ๋อง

และเมื่อต้องการทำเรื่องนี้ให้เป็นจริง ย่อมต้องการ ‘ความร่วมมือ’ ของเว่ยเชียง

โทษกบฏนั้นจักรพรรดิหย่งอันเป็นผู้กำหนด พระบัญชาทำลายล้างจวนเจิ้นหนานอ๋องจักพรรดิหย่งอันเป็นผู้บัญชาเช่นกัน หากนางลงมือทางอ้อม นางแทบจะไม่มีทางช่วยจวนเจิ้นหนานอ๋องพลิกคดีได้เลย

ฮ่องเต้จะไม่ตบพระพักตร์ตนเอง เว้นแต่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใหญ่หลวงของตนเองเท่านั้น

ทว่าหากฮ่องเต้ทรงอยากเปลี่ยนรัชทายาทเล่า

จะมีอะไรง่ายไปกว่าการรื้อฟื้นคดีของจวนเจิ้นหนานอ๋องด้วยการนำความผิดโยนไปให้จวนผิงหนานอ๋องอีกเล่า

ตำแหน่งรัชทายาทของเว่ยเชียงได้มาโดยการเปิดโปงการกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋อง แน่นอนว่าย่อมสามารถเรียกคืนได้เช่นกัน

ตราบใดที่ฮ่องเต้มีความคิดอยากจะเปลี่ยนรัชทายาท นี่ก็จะเป็นทางลัดที่จะทำให้ความปรารถนาของนางเป็นจริงได้

ถึงครานั้น ก็จะไม่ใช่นางที่ต้องเค้นหาทุกวิถีทางเพื่อพลิกคดีให้จวนเจิ้นหนานอ๋อง แต่เป็นฮ่องเต้ที่ที่คาดหวังให้เป็นเช่นนั้นแทน

ถอยหลังหนึ่งหมื่นก้าว แม้ฮ่องเต้ปลดตำแหน่งรัชทายาทจะไม่ได้คิดถึงเรื่องโทษใส่ร้ายจวนเจิ้นหนานอ๋อง แต่อย่างน้อยก็สามารถเหยียบย่ำเว่ยเชียงเจ้าคนสารเลวนั่นให้จมดินได้ ส่วนเรื่องลบล้างความผิดก็ค่อยๆ วางแผนต่อไปได้

ไม่ว่าฮ่องเต้จะทำอย่างไร สำหรับนางแล้วก็แค่ความแตกต่างระหว่างได้กำไรมากหรือน้อยเท่านั้น ท้ายที่สุดก็ได้กำไรอยู่ดี

หากนางใส่ยาพิษลงไปโดยไม่สนใจผลที่ตามมา จะเอาชีวิตเว่ยเชียงวันนี้ก็ย่อมได้ อย่างมากก็แค่ตายไปพร้อมกับเขา

แต่ชีวิตสุนัขของเว่ยเชียงจะเปรียบเทียบกับชีวิตนับร้อยพันของจวนเจิ้นหนานอ๋องได้อย่างไร จะเปรียบเทียบกับชื่อเสียงเกือบสองร้อยปีของจวนเจิ้นหนานอ๋องได้อย่างไร

ใช้หนึ่งชีวิตของเขามาหักลบเรื่องเหล่านี้ เขาไม่คู่ควร!

นางต้องการให้เขาคายสิ่งที่กินเข้าไปออกมา ชื่อเสียงของจวนผิงหนานอ๋องจะต้องป่นปี้เพราะการเหยียบกระดูกของจวนเจิ้นหนานอ๋องขึ้นสู่ที่สูงและสูญเสียทุกสิ่ง

สิ่งที่ซิ่วเย่ว์ใส่เข้าไปในหม้อคือของดี ไม่จำเป็นต้องใส่มาก เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ จะทำให้คนที่จิตใจชั่วร้ายอำมหิตแต่แสร้งเป็นคนดีค่อยๆ สูญเสียการควบคุมอย่างไม่รู้ตัว กลายเป็นคนหงุดหงิดและเกรี้ยวกราด

คนที่ควบคุมตัวเองได้ไม่ดีและมีจิตใจสกปรกยังจะกังวลว่าเขาจะไม่ทำพลาดอีกหรือ

รัชทายาทที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย่อมอยู่ไม่ไกลจากความเกลียดชังของฮ่องเต้

แม้ฮ่องเต้ไม่มีทายาท แต่พี่น้องที่มีก็ไม่ได้มีเพียงผิงหนานอ๋อง หลานชายก็ไม่ได้มีเพียงเว่ยเชียงคนเดียว ตำแหน่งรัชทายาทเว่ยเชียงไม่ใช่ ‘หนึ่งเดียว’

“คุณหนู เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เสียงอ่อนโยนและสงบนิ่งของซิ่วเย่ว์ดังขึ้น สายตานางลุ่มลึก

ลั่วเซิงเก็บความคิด เรียกหงโต้วที่กำลังคุยสนุกสนานกับชายร่างกำยำ “หงโต้ว ยกอาหารไปได้แล้ว”

“เจ้าค่ะ” หงโต้วขานตอบเสียงใสและกระโดดโลดเต้นเข้ามา

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท