ตอนที่ 257 ใจเต้น
บนถนนชิงซิ่ง โคมไฟสีแดงที่ห้อยตามร้านรวงข้างทางเปล่งแสงสีส้มออกมาทำให้ความเยือกเย็นในยามค่ำคืนจางลงและปกคลุมหนุ่มสาวด้วยแสงอันอบอุ่น
เว่ยหานมองลั่วเซิง
ใบหน้าของเด็กสาวนุ่มนวลลงเพราะแสงในยามค่ำคืน แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
จู่ๆ เว่ยหานก็รู้สึกว่าเขาไม่ชอบความเคร่งขรึมเช่นนี้เลย
คุณหนูลั่วที่ดูเคร่งขรึมในยามปกตินั้นก็ดี แต่บรรยากาศยามนี้ทำให้เขาอยากจะพูดบางอย่าง ไม่อยากจากไปง่ายๆ เช่นนี้
เขามองนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณหนูลั่ว ข้าไม่ได้เมา”
แค่สุราสามกา มากไปตรงไหนกัน
“เจ้าค่ะ ท่านอ๋องไม่ได้เมา ท่านอ๋องกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
ท่าทีไม่เชื่อแบบนี้ทำให้เว่ยหานอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาจ้องดวงตาเย็นชาคู่นั้นพลางพูดว่า “คุณหนูลั่ว ข้าเมาแล้วไม่ได้เป็นเช่นนี้”
ลั่วเซิงทั้งโมโหทั้งขบขัน
ยังบอกว่าไม่ได้เมา นี่มันพฤติกรรมก่อกวนไม่เลิกของคนขี้เมาชัดๆ
จะว่าไปแล้ว ไคหยางอ๋องในยามปกตินั้นรื่นหูรื่นตานางมากกว่าเล็กน้อย แม้จะชอบให้ของขวัญแปลกๆ ก็ยังพอทนได้
“ต้องร้องไห้โวยวายถึงจะเรียกว่าเมาหรือ ท่านอ๋องรีบกลับไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่ส่งแล้ว” ลั่วเซิงพูดเสร็จก็หันหลังเดินกลับไปในทันที
จู่ๆ มือของนางก็ถูกมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งคว้าไว้
ชายหนุ่มอยู่ใกล้นางมาก ใกล้จนถูกกลิ่นอายของอีกฝ่ายโอบล้อมเอาไว้ ทำเอานางตัวแข็งทื่อ
พระจันทร์ข้างแรมบนท้องฟ้าโปรยน้ำค้างแข็งไปทั่ว ปลายนิ้วของนางที่เย็นเล็กน้อยอยู่เสมอรู้สึกอบอุ่นเพราะมือใหญ่ข้างนั้นกอบกุมเอาไว้
ความอบอุ่นนี้ทำให้ลั่วเซิงตกอยู่ในภวังค์ นางลืมตอบสนองไปชั่วขณะ
เนื่องจากอาการกรึ่มๆ ในดวงตาสุกใสคู่นั้นของชายหนุ่มจึงส่องประกายแสงเจิดจ้ากว่าเดิมในยามนี้
เขามองนางนิ่ง พูดว่า “หากข้าดื่มมากเกินไปจริงๆ จะทำแบบนี้”
เขาไม่ร้องไห้โวยวายหรอก
ลั่วเซิงมองมือใหญ่นั้นแล้วถอนหายใจ
แสดงว่าเขาดื่มมากเกินไปแล้วจริงๆ…
ลั่วเซิงชักมือกลับมาอย่างไม่ลังเล เอ่ยตอบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “พอแล้ว ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว ท่านอ๋องกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
เว่ยหานยกมุมปากยิ้ม “เจอกันพรุ่งนี้”
มองดูชายหนุ่มที่เดินจากไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ลั่วเซิงหันหลังกลับเข้าไปในหอสุราเงียบๆ
ในห้องโถง คุณชายสามเซิ่งและคนอื่นๆ กำลังล้อมวงกินหม้อไฟกัน
หม้อไฟเนื้อแพะที่กำลังร้อนระอุ หม้อไฟหัวปลารสชาติสดและอร่อย ได้กินลงท้องในช่วงเวลาปลายฤดูใบไม้ร่วงนี้ อย่าให้พูดเลยว่าสบายท้องเพียงใด
ซิ่วเย่ว์มองไปที่ลั่วเซิง “คุณหนู”
คนอื่นได้ยินก็มองมา
“น้องลั่ว มากินอีกสักหน่อยหรือไม่”
ลั่วเซิงยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้ข้ากินหมั่นโถวเนื้อไปแล้ว พวกท่านพี่กินเถอะ”
ข้างนอกเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่ข้างในกลับอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นหอมของอาหารราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
ความขัดแย้งเช่นนี้ ทำให้ลั่วเซิงรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
นางมักจะรู้สึกว่าผู้คนที่นางเจอ สถานที่ที่นางเหยียบอยู่นั้นไม่ใช่ความจริง
ไคหยางอ๋องดื่มมากเกินไป เป็นไปได้หรือไม่ว่านางเองก็ดื่มมากเกินไปเช่นกัน
ลั่วเซิงส่ายศีรษะหลุดหัวเราะ เดินไปที่สวนหลังเรือน
ซิ่วเย่ว์วางถ้วยและตะเกียบลง เช็ดมือและตามไป
ลั่วเซิงยืนอยู่ในสวน เหม่อมองต้นพลับที่สูงใหญ่ต้นนั้น
ผ่านไปเพียงสองสามวัน ใบต้นพลับเริ่มเบาบางลง ใบไม้ที่ร่วงลงบนพื้นไม่ทันได้กวาด ปล่อยให้สายลมพัดมาโดนชายกระโปรงของเด็กสาว
“คุณหนู”
ลั่วเซิงหันไปมองซิ่วเย่ว์ที่เดินมาข้างกาย
ในสวนว่างเปล่า มีเพียงคนสองคน
ซิ่วเย่ว์พูดเสียงเบา “ท่านและไคหยางอ๋อง…”
จริงๆ แล้วนางไม่ควรถาม แต่ขณะที่ทุกคนกำลังแย่งกันกินข้าวนั้น นางกลับเห็นคนรูปงามสองคนอยู่ใต้แสงจันทร์อันหนาวเย็นผ่านทางหน้าต่าง
นางเห็นดังนั้นก็รู้สึกปวดใจ
นั่นคือระยะห่างที่ท่านหญิงและเว่ยเชียงผิงหนานอ๋องซื่อจื่อไม่เคยเข้าใกล้มาก่อน
“พวกเราไม่มีอะไรกัน” ลั่วเซิงสีหน้าเยือกเย็น
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ว่า” ลั่วเซิงมองซิ่วเย่ว์ พูดทีละพยางค์ว่า “เขาแซ่เว่ย”
เขาดันแซ่เว่ย
แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้นางใจแข็งมาตลอดได้
หากเขาไม่ใช่คนแซ่เว่ย หากนางเลอะเลือนไปชั่วขณะ…การเดินอยู่บนเส้นทางอันตรายเส้นนั้นมีแต่จะเป็นการทำร้ายคนอื่นเท่านั้น
คนที่บ้านแตกสาแหรกขาดมีชีวิตอยู่ด้วยเนื้อหนังของผู้อื่นมีสิทธิ์อะไรคิดถึงความรักของหนุ่มสาว
แม้แต่ความหวั่นไหวนางก็ไม่ควรมี
ลั่วเซิงหลุบตาลงมองมือที่เคยถูกกอบกุมเอาไว้ ดวงตาที่แห้งผากบวมแดงเล็กน้อย
แต่ว่าชั่วขณะที่ปลายนิ้วรู้สึกอบอุ่น เหมือนกับว่านางจะหวั่นไหว
รองเท้าปักเหยียบลงบนใบไม้แห้ง ลั่วเซิงยกมุมปากขึ้นเย้ยหยันตนเอง
ที่แท้เรื่องบางเรื่องก็อยู่เหนือความคาดหมาย
หลังจากที่ซิ่วเย่ว์ได้ยินคำตอบของลั่วเซิง นางก็จมอยู่ในภวังค์ความคิด
ท่านหญิงบอกว่าไคหยางอ๋องแซ่เว่ย แต่ไม่ได้บอกว่าไร้ไมตรีต่อเขา…
ในที่สุดท่านหญิงของนางก็มีคนในใจแล้ว
อันที่จริงความรักที่ท่านหญิงมีต่อผิงหนานอ๋องซื่อจื่อเป็นสิ่งที่พวกนางทั้งสี่ค่อนข้างกังวลมาโดยตลอด
ครานั้นพี่เฉาฮวาบอกว่า ความรักของท่านหญิงที่ต่อผิงหนานอ๋องซื่อจื่อก็เป็นเพียงเพราะหมั้นหมายกันแต่เล็ก ทำตามคำสั่งของบิดามารดาเท่านั้น
ทว่าก็ไม่มีชายหนุ่มอื่นทำให้ท่านหญิงหวั่นไหวเช่นกัน การได้แต่งงานกับคนที่รู้จักท่านหญิงเป็นอย่างดีเพราะโตมาด้วยกันก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลว
รู้จักเป็นอย่างดี…
ซิ่วเย่ว์คิดถึงคำสี่คำนี้ รู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกที่สุดเรื่องหนึ่ง
ท่านหญิงผ่านชีวิตความเป็นความตายมา ในที่สุดก็มีคนเปิดใจของนาง แต่คนผู้นั้นกลับแซ่เว่ยเหมือนกับเว่ยเชียง
ซิ่วเย่ว์ไม่รู้ว่าบัดนี้ลั่วเซิงรู้สึกอย่างไร รู้เพียงว่านางปวดใจแทนท่านหญิง
ท่านหญิงของนาง การหวั่นไหวเป็นเรื่องยากลำบากยิ่งกว่าการไม่หวั่นไหวเสียอีก
ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน เสียงราบเรียบของเด็กสาวก็ดังขึ้น “เก็บกวาดเสร็จแล้วกลับจวนเถอะ”
หลายวันผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว การกลับมาของกองทัพที่ออกไปล่าสัตว์ทำให้โรงน้ำชาในเมืองหลวงคึกคักเพราะข่าวลือสองสามเรื่อง
ข่าวลือเรื่องแรกก็คือตอนที่รัชทายาทล่าสัตว์ที่เป่ยเหอถูกหมูป่าขวิดเข้า
อันที่จริงข่าวลือเรื่องนี้ผู้คนพอจะทราบข่าวตั้งแต่ที่ขบวนกองทัพยังมาไม่ถึงเมืองหลวงแล้ว แต่ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี
เหล่าขุนนางกลับมาหมดแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยจากกระดาษที่ส่งไปมาอีกต่อไป แค่ปากไม่กี่ปากข่าวก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
รัชทายาทน่ะถูกหมูป่าขวิด นี่… นี่ช่างทำให้เหล่าประชาต้าโจวอับอายจริงๆ
ข่าวลือเรื่องที่สองยังคงเกี่ยวข้องกับรัชทายาท นั่นก็คือชายารัชทายาทเสียโฉม!
ทันที่ข่าวลือเรื่องนี้แพร่ออกมา ทุกคนก็รู้สึกเข้าอกเข้าใจรัชทายาทที่ถูกหมูป่าขวิดแล้ว อาจจะเป็นเพราะเรื่องของชายารัชทายาท รัชทายาทคงรู้สึกเครียดเกินไป
ความจริงแล้วเรื่องที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของโอรสสวรรค์ไม่ควรเผยแพร่สุ่มสี่สุ่มห้า แต่ข่าวเรื่องชายารัชทายาทเสียโฉมนั้นเป็นเรื่องอ่อนไหวเกินไป ทำให้เกิดความปั่นป่วนในใจคนบางกลุ่มอย่างรวดเร็ว…
ยังมีข่าวลืออีกเรื่องหนึ่ง พูดถึงไคหยางอ๋องและคุณหนูลั่ว
ว่ากันว่ามีคนเห็นกับตาว่าทั้งสองนัดพบกันโดยใช้การล่าสัตว์เป็นข้ออ้าง
ข่าวลือเรื่องนี้ทำให้ผู้คนมากมายตกตะลึงอ้าปากค้างไปเช่นกัน
ไม่ใช่หรอกนะ ไคหยางอ๋องชอบคุณหนูลั่วหรือ หรือว่าถูกปลดเข็มขัดจนเกิดเป็นความรัก
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง
หากจะบอกว่าไคหยางอ๋องชอบฝีมือการทำอาหารของคุณหนูลั่วยังน่าเชื่อมากกว่า แต่คุณหนูลั่วเลี้ยงนายบำเรอนี่ ไคหยางอ๋องจะชอบคุณหนูลั่วได้อย่างไร!
ข่าวลือทั้งสามเรื่อง เรื่องสุดท้ายต้องเป็นเรื่องเท็จแน่ๆ
แต่ว่าตัวเอกในข่าวลือสองเรื่องแรกไม่สะดวกไปมุงดู แต่เรื่องสุดท้ายพวกเขาไปหอสุราดูไคหยางอ๋องได้
ครานี้เอง มีหอสุราก็เต็มไปด้วยแขก คึกคักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน