ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 260 บีบบังคับ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 260 บีบบังคับ

ถนนชิงซิ่งเรียงรายไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารและโรงน้ำชา

คุณหนูรองเฉียวเลือกโรงน้ำชาที่สามารถเห็นประตูใหญ่ของมีหอสุราได้อย่างชัดเจน นางนั่งลงบนโต๊ะข้างหน้าต่างชั้นสองจับจ้องที่แห่งนั้นไม่วางตา

บัดนี้ยังไม่ถึงเวลาเที่ยง คนในโรงน้ำชามีไม่มากนัก ดังนั้นยังถือว่าเงียบสงบในยามนี้

สาวใช้สวมเสื้อกั๊กกันหนาวสีเขียวคนหนึ่งเดินขึ้นมา รายงานเสียงเบาต่อหน้าคุณหนูรองเฉียวว่า “คุณหนู บ่าวสืบมาแล้ว คุณหนูลั่วมาหอสุราทุกวันเจ้าค่ะ แต่ว่าไม่ค่อยมายามเช้า ส่วนใหญ่จะมาเวลาค่ำเจ้าค่ะ”

“เวลาค่ำ?” คุณหนูรองเฉียวถือจอกชาในมือ กัดริมฝีปากเบาๆ

หากต้องรอถึงเวลาค่ำดูจะนานไปหน่อย

สาวใช้รีบพูดว่า “บางครั้งก็มาช่วงบ่ายเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็รอ” คุณหนูรองเฉียวตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

เมื่อคิดถึงเรื่องที่ต้องทำ ใช่ว่านางจะไม่หวาดกลัว แต่เพื่อท่านพี่แล้วนางไม่มีทางเลือกอื่น

นี่ก็คือแรงฮึดสู้ที่ต้องทำให้เสร็จในอึดใจเดียว หากกลับจวนตอนนี้อาจจะไม่มีความกล้าออกมาอีก

เวลาที่รอคอยมักจะผ่านไปช้าเสมอ ชวนให้ผู้คนรู้สึกว่าวันเวลาของพวกเขายาวนานเหมือนผ่านไปหลายปี

คุณหนูรองเฉียวรอตั้งแต่เช้าจนดวงอาทิตย์เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ในที่สุดก็รอจนลั่วเซิงปรากฏตัว

นางลุกพรวดขึ้น รีบเดินลงไป

ลั่วเซิงยังเดินไม่ถึงประตูหอสุราก็ได้ยินเสียงเรียกร้อนรนจากด้านหลัง “คุณหนูลั่วช้าก่อน”

ลั่วเซิงฟังไม่ออกว่าคือเสียงของใคร นางหันกลับไปมอง

คุณหนูรองเฉียวรีบเดินไปข้างหน้าลั่วเซิง คารวะอย่างเร่งรีบ “คุณหนูลั่ว ในที่สุดเจ้าก็มา”

ลั่วเซิงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าคือ…”

คุณหนูรองเฉียวโมโห แต่พยายามอดกลั้นไว้ “คุณหนูลั่วงานยุ่ง ลืมเรื่องที่ข้ามาขอความช่วยเหลือกับท่านแม่ไปแล้วหรือ”

“เอ่อ จำได้แล้ว ที่แท้ก็คุณหนูรองเฉียว” ลั่วเซิงนึกขึ้นได้

แน่นอนว่านางไม่ได้ความจำแย่เช่นนั้น ช่วงเวลาที่ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าจุดประสงค์การปรากฏตัวของคุณหนูรองเฉียวคืออะไร

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดหอสุรา หากคุณหนูรองเฉียวอยากดื่ม ยังต้องรออีกครู่หนึ่ง” ลั่วเซิงอธิบายอย่างเกรงใจ หันหลังทำท่าจะเดินไป

“คุณหนูลั่ว ข้าไม่ได้มาดื่ม!” คุณหนูรองเฉียวพูดเสียงดังขึ้น

ถนนชิงซิ่งถึงเวลาคึกคักที่สุด มีหอสุราที่ดึงดูดขุนนางสูงศักดิ์มากมายเป็นสถานที่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว บัดนี้หญิงสาวงดงามสองคนดูเหมือนจะทะเลาะกันหน้าหอสุรา ทำให้ผู้คนมากมายหยุดฝีเท้ามอง

ลั่วเซิงน้ำเสียงเยือกเย็นลง “ที่นี่คือหอสุรา ในเมื่อคุณหนูรองเฉียวไม่ได้มาดื่ม เช่นนั้นข้าก็ไม่รับรองแล้ว”

เห็นลั่วเซิงทำท่าจะเดินไป คุณหนูรองจึงคว้าแขนเสื้อนางไว้ด้วยความร้อนใจ

มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจับข้อมือของคุณหนูรองเฉียวไว้แน่น

หงโต้วหน้าบูดบึ้ง พูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้านี่มัน…แตะต้องคุณหนูของเราต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้ได้อย่างไร คุณหนูของเราไม่ชอบสตรีหรอกนะ!”

ทันทีที่หงโต้วพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น

ไม่มีใครไม่รู้ว่าเจ้าของมีหอสุราเลี้ยงนายบำเรอ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทุกคนไม่เชื่อว่าไคหยางอ๋องชอบคุณหนูลั่ว

ผู้ชายที่ไหนจะทนเรื่องนี้ได้เล่า

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ คุณหนูรองเฉียวใบหน้าแดงก่ำ นางกัดฟันคุกเข่าลง “คุณหนูลั่ว ได้โปรดช่วยท่านพี่ข้าด้วยเถอะ!”

ทันทีที่นางคุกเข่า ทุกอย่างก็เงียบงัน

คนที่มามุงดูก็งงงันไปเช่นกัน

ดูจากการแต่งตัวแล้วสตรีคนนี้ก็เป็นสตรีสูงศักดิ์ เหตุใดบทจะคุกเข่าก็คุกเข่าง่ายๆ เช่นนี้เล่า

เมื่อมองดูหญิงสาวที่ใบหน้าไร้อารมณ์ตรงหน้า ผู้คนไม่น้อยก็ตกใจ ซี้ด… คงไม่ใช่คุณหนูลั่วแย่งคู่หมั้นของคนอื่นเขาหรอกนะ

คุณหนูรองเฉียวคุกเข่าบนพื้นที่เย็นยะเยือก ความอัปยศอดสูของการคุกเข่าต่อหน้าสาธารณชนแทบจะทำให้นางน้ำตาไหลในทันที “คุณหนูลั่ว ท่านพี่ข้าเสียโฉมน่าสงสารมากจริงๆ เจ้าโปรดเห็นแก่ความเป็นสตรีด้วยกัน โปรดเมตตาช่วยนางด้วยเถอะนะ…”

ก่อนหน้านี้มาขอความช่วยเหลือจากลั่วเซิง ยังต้องปิดหูปิดตาคนอื่น บัดนี้ไม่ต้องแล้ว

นางถึงกับคิดว่าเรื่องพี่สาวนางเสียโฉมแพร่ออกไปเป็นเรื่องดี อย่างน้อยนางก็สามารถมาขอร้องลั่วเซิงได้อย่างเปิดเผย

หากลั่วเซิงไม่ยินยอมช่วยเหลือ ก็จะให้ทุกคนได้เห็นความใจดำของคนผู้นี้

ลั่วเซิงขมวดคิ้วมองคุณหนูรองเฉียวที่คุกเข่าบนพื้น รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณหนูรองเฉียวจะทุ่มสุดตัวเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าถูกใครกระตุ้นมา

หญิงสาวคนหนึ่งคุกเข่าวิงวอน หญิงสาวอีกคนไม่พูดอะไร ทำให้คนที่มามุงดูเริ่มซุบซิบอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น คุณหนูลั่วทำให้พี่สาวของคุณหนูเสื้อม่วงเสียโฉมหรือ”

“อย่าพูดซี้ซั้ว คุณหนูชุดม่วงท่านนั้นน่าจะเป็นคุณหนูรองจวนเฉียว น้องสาวของชายารัชทายาท”

ทุกคนคิดถึงข่าวลือช่วงนี้ในทันที เสียงซุบซิบเบาลงมาก

“ที่แท้เรื่องชายารัชทายาทเสียโฉมเป็นเรื่องจริง”

“ชายารัชทายาทเสียโฉม เหตุใดคุณหนูรองเฉียวต้องมาขอความช่วยเหลือจากคุณหนูลั่วเล่า”

“ได้ยินมาว่าหมอเทวดาชอบคุณหนูลั่วเป็นพิเศษ คุณหนูรองเฉียวคงมาขอให้คุณหนูลั่วช่วยเชิญท่านหมอให้กระมัง”

คนที่ได้ยินพลันกระจ่าง

คำพูดต่อจากนี้ของคุณหนูรองเฉียวก็ยืนยันการคาดเดาของทุกคน

“คุณหนูลั่ว เจ้าเคยเชิญหมอเทวดามารักษาแม่ทัพใหญ่ลั่วได้ และเคยเชิญหมอเทวดามารักษาจวนผิงหนานอ๋อง เห็นได้ว่าหมอเทวดาโปรดปรานเจ้า เจ้าโปรดช่วยพี่สาวข้าด้วยเถอะ”

เห็นสตรีสูงศักดิ์คุกเข่าวิงวอนน้ำตานองหน้าบนถนนใหญ่ คนที่มุงดูก็อดสงสารไม่ได้ เมื่อมองไปที่คุณหนูลั่วอีกครั้ง ใบหน้านางยังคงไร้อารมณ์ ความสมดุลในใจเริ่มเอนเอียงไปยังอีกฝั่ง

ลั่วเซิงฟังคำวิพากวิจารณ์เหล่านั้น ยิ้มน้อยๆ “คุณหนูรองเฉียวมาขอความช่วยเหลือจากข้าหรือ”

เมื่อได้ยินลั่วเซิงพูดเช่นนี้ คุณหนูรองเฉียวคิดว่านางจะใจอ่อนเพราะทนต่อเสียงวิพากวิจารณ์ของผู้คนไม่ได้ คุณหนูรองเฉียวลอบดีใจ พูดเสียงดังว่า “ใช่แล้ว!”

จู่ๆ สีหน้าลั่วเซิงก็พลันเย็นชา “เหตุใดข้าจึงดูไม่ออกว่าคุณหนูรองเฉียวมาขอร้องข้าด้วยความจริงใจเล่า ขอร้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือก็ควรจะยื่นเทียบขอเข้าพบ รอให้อีกฝ่ายสะดวกแล้วนำของเล็กๆ น้อยๆติดมือมาพูดคุยกันดีๆ มิใช่หรือ คุณหนูรองเฉียวกลับทำแบบนี้ ทั้งคุกเข่าและร้องไห้บนถนนใหญ่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการพยายามบังคับให้ข้าต้องยอมรับความคิดเห็นของสาธารณชน จะเรียกว่าขอความช่วยเหลือได้อย่างไร”

ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น เสียงซุบซิบก็หยุดลง

ลั่วเซิงกวาดตามองทุกคน ถามอย่างไม่เกรงใจว่า “ขอถามทุกท่าน หากเจอคนมาขอความช่วยเหลือแบบนี้ จะรู้สึกอย่างไร”

คนที่มามุงดูได้ยินคำนี้ อดเงียบไปไม่ได้

ขอความช่วยเหลือก็ขอความช่วยเหลือสิ หากมาคุกเข่าต่อหน้าสาธารณชนแบบนี้…ไม่เอาด้วยหรอก

สายตาที่ทุกคนมองคุณหนูรองเฉียวแปรเปลี่ยนไปในทันใด

คุณหนูรองเฉียวตระหนก รีบพูดว่า “ก่อนหน้านี้ครอบครัวเคยพาข้ามาขอร้องคุณหนูลั่ว แต่คุณหนูลั่วกลับไม่ยินยอมช่วยเหลือ วันนี้เห็นสภาพพี่สาวเช่นนั้น ข้าหมดหนทางจริงๆ จึงมาขอร้องคุณหนูลั่วอย่างหน้าด้านๆ อีกครั้ง ใครให้หมอเทวดาชอบคุณหนูลั่วเป็นพิเศษเล่า…”

คำพูดนี้พูดได้ว่าแทงใจดำทุกคำ แม้ลั่วเซิงไม่ตกลงที่จะช่วยเหลือ แต่ก็เป็นการประกาศเรื่องที่หมอเทวดาโปรดปรานนาง ต่อไปผู้ที่เชิญหมอเทวดาไม่ได้ย่อมมาขอความช่วยเหลือจากนาง

ปฏิเสธหนึ่งคน ปฏิเสธสองคน นานวันเข้าก็จะล่วงเกินทุกคน

ลั่วเซิงยิ้มหยัน “คุณหนูรองเฉียวก็พูดแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านแม่เจ้าพาเจ้ามาขอความช่วยเหลือแล้วถูกปฏิเสธ ในเมื่อเจ้าเข้าใจชัดเจนดีแล้ว ตอนนี้ยังมาทำเช่นนี้ หรือว่าวิธีการทำงานของจวนเจ้าก็คือการบังคับใจคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ทำไม่ได้หรือ”

ขณะที่คุณหนูรองเฉียวอ้ำอึ้ง ลั่วเซิงก็พูดเสียงราบเรียบว่า “คุณหนูรองเฉียวลองหันหลังไปดูสักหน่อยเถอะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท