ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 265 บนแม่น้ำ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 265 บนแม่น้ำ

สถานที่นัดพบในจดหมายคือแม่น้ำจินสุ่ย

ยามค่ำคืนของเมืองหลวงมีสถานที่ครึกครื้นสองแห่ง หนึ่งคือถนนชิงซิ่งที่เป็นแหล่งรวมหอสุราและร้านอาหาร สองคือแม่น้ำจินสุ่ยที่มีเสียงดนตรีบรรเลงตลอดทั้งคืน

บนแม่น้ำจินสุ่ยมีเรือสำราญที่ตกแต่งสวยงามนับไม่ถ้วน กลิ่นเครื่องประทินโฉมหอมฟุ้ง เป็นดินแดนอ่อนโยนที่ไม่รู้ชายหนุ่มมากมายเพียงใดยากที่จะลืมลง ความหลากหลายของผู้คนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ผู้ที่ลักพาตัวเสี่ยวชีเลือกนัดพบที่นั่นนับได้ว่าฉลาดไม่เบา

สตรีนางหนึ่งยืนอยู่ริมแม่น้ำด้วยความกระวนกระวายใจ นางมองไปรอบๆ ไม่หยุด

ผมของสตรีขาวโพลน น่าจะมีอายุประมาณหนึ่งแล้ว เนื่องจากใบหน้าเสียโฉมทำให้แทบมองใบหน้าเดิมไม่ออก

คนที่เดินทางไปมาไม่ได้สนใจสตรีผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

ในสถานที่เช่นแม่น้ำจินสุ่ย มีคนรวยมากมายที่ใช้เงินเป็นจำนวนมากที่นี่ และยังมีคนยากจนที่เข้ามาหาเลี้ยงชีพอีกจำนวนมากยิ่งกว่า เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นคนมาหาเลี้ยงชีพเช่นสตรีคนนี้

สตรีกวักมือเรียกเรือลำเล็กลำหนึ่ง ปล่อยให้เรือลำเล็กลอยอยู่บนแม่น้ำที่กว้างใหญ่อย่างไร้จุดหมาย

นี่คือความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่าย

เขากำหนดแม่น้ำจินสุ่ยเป็นสถานที่นัดพบ แต่กลับขอให้ซิ่วเย่ว์นั่งรอบนเรือลอยบนแม่น้ำ เรือทุกลำบนแม่น้ำล้วนมีความเป็นไปได้ว่าเป็นแหล่งกบดาลของอีกฝ่าย

มีเรือสำราญที่ตกแต่งหรูหราน้อยใหญ่บนแม่น้ำจินสุ่ยนับไม่ถ้วน หากอยากจะรู้ว่าเรือลำไหนนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ทำได้เพียงรอให้อีกฝ่ายเข้ามาหาเอง

“ท่านป้าจะไปไหนหรือขอรับ”

เรือที่สตรีนั่งเป็นเรือประทุนที่ไม่ใหญ่นัก คนเรือคือชายหนุ่มสวมหมวกฟาง เมื่อเห็นสตรีไม่บอกปลายทางเสียทีก็อดถามไม่ได้

“แค่… แค่มาสูดอากาศ…” สตรีพยายามข่มความประหม่า มองไปรอบๆ ตามสัญชาติญาณ

คนเรือหัวเราะ “ท่านป้าคงไม่ได้หาคนหรอกนะ”

สตรีพยักหน้าอย่างลังเล ไม่พูดอะไรอีก

คนเรือไม่ถามอะไรอีก เขาขยับไม้พายไปอย่างช้าๆ

เรือลำเล็กที่ขายอาหารมื้อดึกโดยเฉพาะเข้ามาใกล้ ชายชราที่เป็นคนเรือคนหนึ่งยิ้มถามว่า “พ่อหนุ่ม กินซาลาเปาปลาไหลหรือไม่”

ชายหนุ่มผู้พายเรือโบกมือเบาๆ ส่งสัญญาณว่าไม่กิน

ชายชราไม่ได้หงุดหงิด เขาพายเรือจากไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

ไม่นานมีเรืออีกลำหนึ่งเข้ามาใกล้ สตรีบนเรือใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง นางตะโกนมาทางนี้ว่า “ซื้อขนมจ้าวเอ๋อร์หน่อยหรือไม่ ยังมีขนมเปี๊ยะด้วย เพิ่งทำสดๆ ใหม่ๆ เลย”

ชายหนุ่มพายเรือโบกมืออีกครั้ง

“ถุย พวกคนจน” สตรีนางนั้นถ่มถุย พายเรือไปหาเรือสำราญที่อยู่ไม่ไกลต่อไป

คนเรืออดถามไม่ได้ว่า “ท่านป้าจะไปไหนกันแน่ขอรับ”

“แค่ล่องเรือไปตามแม่น้ำเรื่อยๆ ข้าจะให้เงินเจ้าเอง…” เสียงของสตรีดูไม่สบายใจเล็กน้อย แต่พยายามแสร้งเป็นสงบนิ่ง

เรือลำหนึ่งค่อยๆ เข้ามาใกล้

“ขึ้นมา”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ สตรีก็มองไปที่เรือที่เข้ามาใกล้ทันที

ผู้พายเรือสวมหมวกฟางปิดใบหน้าเหมือนกับคนเรือส่วนใหญ่ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้า

ฟังจากเสียงแล้วน่าจะเป็นชายหนุ่มวัยกลางคน

สตรีลังเลครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแล้วยัดเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งใส่มือของเด็กหนุ่มผู้พายเรือ

เรือทั้งสองลำอยู่ห่างกันเพียงสองชุ่น

สตรีก้มศีรษะก้าวเท้าข้ามไปยังเรือที่เข้ามาใกล้ลำนี้

ชายหนุ่มผู้พายเรือดูสงสัยเล็กน้อย เขาไม่ได้จากไปในทันที

คนๆ นั้นพูดเสียงเย็นชาว่า “นี่คือเมียข้า ข้ามารับนาง เจ้าอย่าแส่ไม่เข้าเรื่องเลย”

คนเรือได้ยินก็พายเรือจากไป

สตรียืนที่หัวเรือ ถามอย่างร้อนรนว่า “เสี่ยวชีเล่า”

นี่เป็นเรือที่ไม่มีหลังคา ทำให้เห็นได้ชัดว่าบนเรือไม่มีบุคคลที่สาม

เสี่ยวชีไม่ได้อยู่ที่นี่

“อย่าพูดมาก” ชายวัยกลางคนพายเรือไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดูแล้วง่ายดายมาก

แม่น้ำจินสุ่ยกว้างขวางมาก โคมไฟของเรือสำราญนับไม่ถ้วนทำให้แม่น้ำทั้งสายสว่างราวกับกลางวัน สวยงามอย่างยิ่ง

แต่มีแสงก็ต้องมีเงา มิหนำซ้ำนี่ก็เป็นเวลากลางคืนอยู่แล้ว

ข้างหน้าเป็นบึงต้นอ้อเล็กๆ

ดอกกกสีขาว กิ่งก้านสีทอง เพิ่มสีสันให้แม่น้ำจินสุ่ยอันงดงาม

เรือที่มาทางนี้ยามค่ำคืนนั้นมีไม่มาก

ชายวัยกลางคนหยุดพายเรือ มองไปที่สตรีเงียบๆ ขณะที่ความมืดเข้าปกคลุม

“เจ้าคือแม่ครัวของมีหอสุราหรือ”

เสียงของชายหนุ่มนุ่มนวลและทุ้มต่ำ ฟังดูน่าขนลุกอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่ออยู่ข้างบึงต้นอ้อในตอนกลางคืน

สตรีพยักหน้า “ข้าเอง เสี่ยวชีเล่า เจ้าซ่อนเสี่ยวชีไว้ที่ไหน”

จู่ๆ ชายหนุ่มก็เดินไปข้างหน้าสองก้าว

เรือลำเล็กโคลงเคลงเพราะการขยับตัวอย่างกะทันหันของเขา โคลงเคลงจนน่าตกใจ

“ข้ามาที่นี่คนเดียวตามที่เขียนไว้ในจดหมายแล้ว เจ้ารีบส่งเสี่ยวชีคืนมา!” สตรีมองชายวัยกลางคนที่เข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าร้อนใจ “เจ้าต้องการเงินใช่หรือไม่ เจ้าต้องการเท่าไรข้าจะให้ ขอเพียงเจ้าปล่อยเสี่ยวชี…”

หมวกฟางที่ชายวัยกลางคนใส่ปิดบังหน้าตาของเขาไว้ จากมุมมองของสตรีแล้วนางเห็นเพียงริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยของอีกฝ่าย

เย็นชาและไร้หัวใจ

“เสี่ยวชีอยู่ที่ไหน…” จู่ๆ ชายวัยกลางคนก็ยกกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมาฟาดลงไปบนศีรษะของสตรีอย่างรุนแรง “เจ้าไม่ต้องรู้หรอก”

กระบอกไม้ไผ่ที่ถูกเหวี่ยงอย่างรวดเร็วพาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ลมแรงจู่โจม

สตรียืนอยู่ที่หัวเรือ ราวกับชะงักงันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางขยับตัวไม่ได้เลย

เสียงตุบดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องอุทาน

เสียงดนตรี เสียงหัวเราะและเสียงตะโกนขายของบนแม่น้ำจินสุ่ยดังอยู่ตลอดเวลา เสียงร้องอุทานนี้ถูกกลบไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายใดๆ

เรือโคลงเคลงเล็กน้อย มีคนๆ หนึ่งกระโดดขึ้นมา

ชายวัยกลางคนนั่งคุกเข่า มือข้างหนึ่งจับแขนที่เจ็บไว้และมองผู้มาเยือนด้วยความตกใจ

เขาก็คือชายหนุ่มพายเรือคนนั้น

ชายหนุ่มที่สวมหมวกฟางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ กระบอกไม้ไผ่ที่ชายวันกลางคนใช้ตีอยู่ในมือของเขา

หัวเรือค่อยๆ จมลงไปในน้ำ

สตรีรีบเดินไปที่หางเรือ ความสมดุลของเรือจึงค่อยๆ กลับมา

“ตกใจหรือ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม น้ำเสียงอ่อนโยนและมั่นคง ต่างจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง

สตรีส่ายศีรษะและเดินไปยืนข้างหลังชายหนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ

ทั้งสองมองไปที่ชายวัยกลางคนที่ล้มนั่งอยู่บนเรือ

หมวกฟางของชายวัยกลางคนร่วงลงไปแล้ว เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง

เขาเป็นผู้ชายที่ธรรมดาอย่างยิ่ง ดูแล้วอายุสามสิบกว่าปี สายตากลับเฉียบแหลมอย่างยิ่ง

ชายวัยกลางคนที่เดิมคิดจะใช้กระบอกไม้ไผ่ทำร้ายสตรีและผลักนางลงไปในแม่น้ำเพื่อทำลายร่องรอยมองชายหนุ่มและสตรี รู้ตัวว่าตกหลุมพรางแล้ว เขาพยายามหนีด้วยการกระโดดลงไปในน้ำ

บัดนี้ผิวน้ำยังคงมีระลอกคลื่น เกิดขึ้นจากกระบอกไม้ไผ่ที่หลุดมือตกลงไปในน้ำตอนที่ชายวัยกลางคนถูกจู่โจมกะทันหัน

กระบอกไม้ไผ่อันเยือกเย็นแตะลงบนคอของเขา

“หากคิดจะขยับตัวอีก ข้าจะเอาชีวิตเจ้า” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นชา

คำพูดนี้ราวกับเตือนชายวัยกลางคนให้ได้สติ

ในขณะที่สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย หินลูกหนึ่งก็ยิงเข้ามา

ชายวัยกลางคนอ้าปากกระอักเลือดออกมา สิ่งที่ถูกคายออกมาด้วยคือฟันซี่หนึ่ง

ชายหนุ่มเดินมา หยิบฟันเปื้อนเลือดด้วยผ้าเช็ดหน้าแล้วมองดูฟันข้างตะเกียงน้ำมันบนเรือ

เสียงของเขายังคงสงบ แต่คำพูดที่พูดออกมากลับน่าตกใจ “ในฟันซ่อนพิษไว้ เจ้าคือหน่วยกล้าตาย?”

ชายวัยกลางคนมองชายหนุ่มที่อยู่ใกล้แต่กลับมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเพราะหมวกฟางที่บดบังไว้ราวกับเห็นผีร้ายก็ไม่ปาน

ไม่ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ผีร้าย

ฉวยโอกาสจู่โจมเขาตอนที่เขาทำร้ายสตรีนางนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เมื่อครู่นี้เขาเตรียมจะกัดฟันที่มียาพิษเพื่อฆ่าตัวตาย ก้อนหินที่พุ่งมานั้นกลับทำให้ฟันซี่นั้นหลุดออกมาพอดี

นี่มันคือสิ่งที่คนธรรมดาคนหนึ่งทำได้หรือ

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท