ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 248 ชัดเจนทุกสิ่ง-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 248 ชัดเจนทุกสิ่ง-2

“ใช่ ตี๋เหว่ยไท่แพ้แล้ว!”

เซียวจินข่านกล่าวยอมรับตรงๆ

“คาดไม่ถึง…คนพิลึกเช่นเสิ่นชิงชิวจะร้ายกาจถึงเพียงนี้!”

หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจ

รู้สึกว่าการสร้างสรรค์ไม่รู้จบจะพิศวงเกินไปจริงๆ

ไม่ต้องกล่าวถึงศึกษาตามลำดับ

แม้แต่การครุ่นคิดในทิศทางนี้ยังทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้า

จากมุมมองนี้ จริงอยู่ที่เซียวจินข่านเป็นบุตรแห่งสวรรค์

ไม่เช่นนั้นจะสามารถเข้าใจความลึกลับซับซ้อนของสวรรค์ได้อย่างไร

“เสิ่นชิงชิวก็หาได้ชนะไม่”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

ทันทีที่เอ่ยคำนี้ กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งตกอยู่ในภวังค์สับสนไม่รู้จบอีกครั้ง

คนหนึ่งพ่ายแพ้

คนหนึ่งไม่ชนะ

ก็หมายความว่าทั้งสองคนล้วนไม่ชนะหรือ

นั่นก็หมายความว่าบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่ายเลยหรือ

ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งพลันมองโลกในแง่ร้ายเล็กน้อย

เขาไม่อยากให้เสิ่นชิงชิวพ่ายแพ้

แต่เขาก็ไม่อยากให้ตี๋เหว่ยไท่พ่ายแพ้เช่นกัน

เพราะเขามักจะทำในสิ่งที่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกประหลาดใจเสมอ

ทว่าสำหรับตี๋เหว่ยไท่

กลับเป็นมุมมองของกรมสอบสวนกลาง

ไม่สนว่าร่างกายจะสกปรก หรือจิตใจสกปรก

หอทรงปัญญาในตอนนี้ อย่างน้อยภายนอกก็ดูเงียบสงบ

แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับตี๋เหว่ยไท่

รูปแบบทั้งหมดนี้จะพังทลายสิ้น

จะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้าก็ไม่มีผู้ได้ล่วงรู้

แต่สุดท้ายจะไม่มีทางพัฒนาไปในทิศทางที่กรมสอบสวนวาดหวังไว้

ยิ่งกว่านั้น ยิ่งใหญ่เพียงแห่งเดียวสู้มังกรสองตัวช่วงชิงกันไม่ได้

หอทรงปัญญาที่ไร้ตี๋เหว่ยไท่

จะเอาชนะหอทรงภูมิได้อย่างไร

ดังนั้นเขาพ่ายแพ้ได้ แต่จะตายไม่ได้

สามารถแก่ชราลงได้ แต่ก็ต้องทะเยอทะยานด้วยเช่นกัน

ในโลกนี้ผมหงอกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่หากกระบี่ของผู้กล้ายังกลายเป็นเถ้าถ่าน เช่นนั้นก็ไม่มีวันได้มันกลับคืนมา

……………………

เมื่อเทียบกับหลิวรุ่ยอิ่งที่ได้ยินเรื่องราวจากปากเซียวจิ่นข่าน

จิ่วซานปั้นยืนอยู่สถานที่ห่างจากทั้งสองคนนี้หลายสิบจั้ง

ผู้ที่เสพติดสุราโปรดปรานกระบี่จะยอมแพ้การปะทะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไร

ไม่มีความชอบและความเกลียดชัง

ต่อให้ก่อนหน้านี้ตี๋เหว่ยไท่จะเคยทำผิดต่อเขา

เขาก็ไม่มีอคติใดๆ ต่อตี๋เหว่ยไท่

ในสายตาของเขา เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์สองคนที่ไม่มีใครเทียบเทียมกำลังต่อสู้เอาเป็นเอาตาย

พู่กันของตี๋เหว่ยไท่สั้นมาก

จุดที่เขียนก็เล็กมากเช่นกัน

แต่ยิ่งอาวุธสั้นเท่าใด ก็ยิ่งเหนือความคาดหมายมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งจุดเล็กเท่าใด ก็ยิ่งคม โดดเด่นยิ่งกว่า

ในทางตรงกันข้าม

กระบี่ของเสิ่นชิงชิวธรรมดากว่ามาก

อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำให้จิ่วซานปั้นรู้สึกอัศจรรย์แต่อย่างใด

แต่เขาก็ยังคงไม่ผ่อนคลายแม้เพียงชั่วครู่

เขายังคงจ้องปลายกระบี่ของเสิ่นชิงชิวเขม็ง

เพราะเขาเข้าใจ บ่อยครั้งที่กระบวนกระบี่ร้ายกาจมากเท่าใด ในช่วงเริ่มต้นจะดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง

แต่ทันทีที่ปลายกระบี่สัมผัสกับปลายพู่กัน

จิ่วซานปั้นจึงรู้ว่าตนประเมินต่ำไป

ทั้งประเมินตี๋เหว่ยไท่ต่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังประเมินเสิ่นชิงชิวต่ำไปเช่นกัน

เขาประเมินทุกสิ่งต่ำไป

ตี๋เหว่ยไท่กระอักเลือดย้อมปกคอเสื้อเป็นสีแดงฉาน

ร่องรอยพู่กันในมือหายไปนานแล้ว

จิ่วซานปั้นเห็นเขากุมหน้าอก หอบหายใจกระชั้น

ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว

พลังธาตุในร่างกายเหมือนจะยุ่งเหยิง

เดิมทีเผชิญหน้ากับศัตรูก็ไม่เอื้ออำนวย ยามนี้กลับกลายเป็นมีดเล่มเล็กตัดเส้นลมปราณและอินหยางสองขั้ว

ทุกครั้งที่หายใจ

ล้วนทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย

แต่เขาไม่อาจหยุดกลางคัน

ไม่เพียงแต่ไม่หยุดกลางคัน ตรงกันข้ามยิ่งหอบหายใจกระชั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาต้องการยืดตัวให้ตรง

แม้ว่าทุกการเคลื่อนไหวในยามนี้ ประหนึ่งลูกศรนับหมื่นแทงทะลุหัวใจ

แต่เขาก็ยังต้องการยืดหลังให้ตรง!

เพราะเขาคือตี๋เหว่ยไท่

เป็นประมุขหอทรงปัญญา

เป็นบรมครูในใต้หล้า

ร่างกายตายวิญญาณไม่ดับสูญ มรรคไม่มีวันสลายไป!

เขาพ่ายแพ้ได้

แต่เขาจะล้มลงไม่ได้เด็ดขาด

ส่วนเสิ่นชิงชิวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

กลับนอนแผ่อยู่บนพื้น

แสงสีเงินทั่วพื้นตรงหน้า

มันคือเศษกระบี่ยาวแตกละเอียด

ตอนนี้ดูราวกับแสงจันทร์ที่กระจายเป็นเสี่ยงๆ

มือขวาของเสิ่นชิงชิวโชกเลือด

ใต้ข้อมือไม่เหลือรูปร่างลักษณะใดๆ ให้บรรยาย

หากไม่มีสิ่งใดเหนือความคาดหมายละก็ เขาไร้หนทางจะหยิบกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง

ชั่วชีวิตนี้ก็กระจ่างชัดเจนเช่นนี้

ฉะนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมา

มือกระบี่ที่สูญเสียกระบี่และสูญเสียมือที่ใช้กระบี่

เขายังต้องลุกขึ้นมาเพื่อสิ่งใดหรือ

ไม่จำเป็น

ดังนั้นเขาจึงนอนแผ่หลาเช่นนี้

ศอกขวายันพื้น

ถ่ายเทน้ำหนักกายบนนั้น ทำให้ร่างกายท่อนบนเอนเอียงไปในมุมแปลกๆ

แน่นอนว่าร่างกายของเขาสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลา

ทุกครั้งที่จิ่วซานปั้นรู้สึกว่าเขากำลังจะล้มลงแต่ก็ยังดึงตนเองกลับมาในวินาทีสุดท้ายอีกครั้ง

ทั้งสองคน หนึ่งยืน หนึ่งนอน

ตรงข้ามกัน

ตี๋เหว่ยไท่ถอยหลังไปหลายก้าว

พบเสาต้นหนึ่งอยู่หน้าประตู

เอนพิงบนนั้นอย่างแรงเสียงดัง ‘ตึง!’

“ฮ่าๆๆ!”

ทันใดนั้นเสิ่นชิงชิวหัวเราะเสียงดังลั่น

ตี๋เหว่ยไท่ก็หัวเราะตาม

ไม่ใช่ซ้ำเติม แต่เป็นความสุขจากใจ

“ท่าทางของเจ้าช่างไม่น่ามองจริงๆ”

เสิ่นชิงชิวกล่าว

“อย่างน้อยข้าก็ยังยืนอยู่ ส่วนเจ้าลุกไม่ขึ้นแล้ว”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

เสิ่นชิงชิวหมายจะโบกมือ

แต่สุดท้ายก็ยกแขนไม่ขึ้น

เขาสามารถยืนขึ้นได้

แต่เขารู้สึกว่าไม่จำเป็น

เพราะเขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์สิ่งใดให้ชาวโลกเห็น ทั้งยังไร้ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ให้ปฏิบัติ

หากการตายของตี๋เหว่ยไท่ต้องแบกทั้งหอทรงปัญญา

เช่นนั้นเสิ่นชิงชิวสามคำนี้ คงเป็นทั้งยุทธภพ

หากไม่รู้ว่ายุทธภพควรจะเป็นอย่างไรละก็ เพียงมองเสิ่นชิงชิวก็จะรู้

ฟังเรื่องราวในวัยเยาว์ของเขาแล้วดูทุกย่างก้าวที่เขาเคยไป

สุดท้ายพลันเปลี่ยนฉากเป็นตาเฒ่านอนแผ่หลาอยู่บนพื้น

เมื่อรวมฉากแล้วฉากเล่าเข้าด้วยกัน จึงเป็นสิ่งที่ยุทธภพควรจะเป็น

จากความองอาจทะยานฟ้า จนสุดท้ายจำต้องชะลอและหยุดพัก

จากนั้นในตอนท้ายที่สุดก็ฝืนสูดลมหายใจด้วยจิตใจที่ซื่อตรงอีกครั้ง

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงแสงสว่างลวงตาในจิตใจเท่านั้น

ความอาจหาญหยุดพักได้

แต่แสงสว่างลวงตาไม่เคยหยุดพัก

สิ่งที่จอมยุทธ์กระทำล้วนเป็นสิ่งที่ไร้ความละอาย

แต่ยุทธภพที่แท้จริง ไหนเลยจะมีผู้คนสมบูรณ์แบบมากมายถึงเพียงนั้น

เสิ่นชิงชิวไร้ซึ่งความละอายมาแต่ไหนแต่ไร

แต่เขากลับกล้ายอมรับว่าตนเคยกระทำหลายสิ่งที่ไร้ความละอาย

กำปั้นแกร่งของผู้ใด ดาบคมกริบของผู้ใด ปลายกระบี่แม่นยำของผู้ใด

ผู้นั้นจึงจะมีหลักการ

เดิมทีในยุทธภพก็เป็นเช่นนี้

เมื่อเปรียบเทียบกับอุบายล่อลวงในวิหารอารามเหล่านั้น

ในทางตรงกันข้ามมันง่ายกว่ามากโข

สิ่งที่ต่างออกไปคือ

ตี๋เหว่ยไท่ฝืนใจมาโดยตลอด

ทว่าเสิ่นชิงชิวไม่เคยฝืน

“เจ้าหนุ่ม! เข้ามาอีกหน่อย!”

จู่ๆ เสิ่นชิงชิวก็หันศีรษะไปทางจิ่วซานปั้นและกล่าว

ในน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความห้าวหาญทรงพลัง

ไม่ว่ากระบี่จะแหลกหรือไม่ มือจะอยู่หรือไม่ ร่างกายจะตั้งตรงหรือไม่

แต่แก่นแท้จิตใจไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!

จิ่วซานปั้นไม่รู้ว่าเหตุใดเสิ่นชิงชิวจึงเรียกตน

แต่เสียงของเขา ประกอบกับฉากวีรอาจหาญตรงหน้าเช่นนี้ มีพลังน่าดึงดูดที่ไม่ธรรมดา

ทำให้จิ่วซานปั้นจำต้องเดินหน้าต่อไป

“ขอข้าดูกระบี่ของเจ้าหน่อย!”

เสิ่นชิงชิวกล่าว

จิ่วซานปั้นยื่นกระบี่ในมือส่งให้

เสิ่นชิงชิวไม่ได้ใช้มือรับกระบี่

ทว่าอ้าปากและใช้ฟันงับด้ามกระบี่

สะบัดศีรษะ

ทำให้กระบี่ชิงเอ๋อออกจากฝัก

“กระบี่ชั้นยอด…กระบี่ชั้นยอดจริงๆ…กระบี่ตระกูลโอวยอดเยี่ยมเช่นเคย!”

เสิ่นชิงชิวกัดกระบี่ กล่าวเสียงคลุมเครือ

ตี๋เหว่ยไท่มองอยู่ด้านข้างนิ่งๆ

แต่เขาแหงนศีรษะขึ้นมอง

ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

เสิ่นชิงชิวเสียบกระบี่ของจิ่วซานปั้นคืนสู่ฝัก

“เจ้าหนุ่ม! เจ้ามีกระบี่เล่มนี้ ทว่าข้ามีกระบี่สามพัน เจ้าคิดว่าผู้ใดร้ายกาจยิ่งกว่า”

เสิ่นชิงชิวถาม

“ข้า!”

จิ่วซานปั้นกล่าวอย่างไม่ลังเล

“เพราะเหตุใด”

เสิ่นชิงชิวตะลึงกับคำตอบอย่างรวดเร็วเช่นนี้ของจิ่วซานปั้นอยู่นานทีเดียว

“เพราะไม่ว่าท่านจะมีกระบี่เท่าใด ข้าสามารถทำลายมันได้ด้วยกระบี่นี้!”

จิ่วซานปั้นกล่าว

จับกระบี่ที่กอดไว้ในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกหลายส่วน

“เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดวิชากระบี่สามพันนี้ให้แก่เจ้า เจ้าก็มีกระบี่สามพันหนึ่งเล่ม เช่นนี้ก็ไร้ศัตรูต่อกรในใต้หล้าแล้วไม่ใช่หรือ”

เสิ่นชิงชิวถาม

“ไม่จำเป็น”

คำตอบของจิ่วซานปั้นยังปราดเปรื่องดังเดิม

“เหตุใดไม่ต้องการเล่า”

เสิ่นชิงชิวขมวดคิ้ว

“กระบี่สามพันของท่านยังถูกกระบี่ของข้าทำลายทิ้งในคราเดียว กระบี่เช่นนั้น ข้าเอามาแล้วจะมีประโยชน์อันใด”

จิ่วซานปั้นกล่าว

เสิ่นชิงชิวหลุดหัวเราะ

เขายันมือซ้ายกับพื้น ฝืนลุกขึ้นยืน

“ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นก็ช่วยข้าหาแหล่งที่พึ่งสุดท้ายดีๆ เถิด ขอร้องละ!”

เสิ่นชิงชิวกล่าว

ทันทีที่สิ้นเสียง

เขาพยายามยกแขนซ้าย

เอื้อมมือซ้ายไปคว้าบนด้ามกระบี่ของจิ่วซานปั้น

…………………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท