บทที่ 562 ศักยภาพ
บทที่ 562 ศักยภาพ
ณ เวลานี้ ที่บ้านของเหม่ยลี่ได้เริ่มทำเรื่องนั้นแล้ว
หลังจากเจรจาเรื่องสินสอดแล้ว ครอบครัวของชายที่มาสู่ขอก็พาครอบครัวมาลากตัวเด็กสาวไปทันที
พวกเขาลากเหม่ยลี่ให้ไปด้วยกันกับพวกเขา
เหม่ยลี่ขัดขืน ถึงจะตายก็ไม่ยอมไป ดวงตาคู่นั้นที่ถูกอาบไปด้วยน้ำตาฉายชัดถึงความหวาดกลัว
เธอเกาะกรอบประตูไว้แน่นพร้อมร้องไห้เสียงดัง แล้วเอ่ยออกมาว่า “ไม่! หนูไม่อยากแต่งงาน!”
เธอมองพ่อแม่ของตน ก่อนวิงวอนขอร้องว่า “พ่อคะ แม่คะ ช่วยหนูด้วย!”
ผู้ชายที่เธอเรียกว่าพ่อนั้นดูเหมือนจะมึนเมาอยู่เล็กน้อย เขามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเย็นชา
แววตาของผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขานั้นเผยให้เห็นว่าไม่ได้ใจแข็งพอ เธอมองสามีอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ทว่าก็ไม่หันศีรษะหนี
เธอยังแต่งงานกับสามีคนนี้ก็เพราะครอบครัวของตัวเองบังคับ โดยแลกกับข้าวเปลือกสิบกิโลกรัม จากนั้นจึงอุทิศตนให้กับสามี เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกัน
ลูกชายคนโตของพวกเขาไม่เพียงแต่เมินเฉยต่อคำร้องขอความช่วยเหลือของน้องสาว แต่เขายังช่วยแกะมือของเธอที่เกาะกับขอบประตูออกอีกด้วย
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและความใฝ่ฝันถึงเรื่องที่จะได้แต่งเจ้าสาวเข้าบ้านในอนาคต สำหรับชายหนุ่มแล้ว น้องสาวของเขาก็เป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นเพียงเท่านั้น
กรอบประตูอันเปราะบาง ซึ่งทำจากไม้ไผ่ถูกเหม่ยลี่จับไว้แน่น ราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอ
แต่ถึงอย่างไร สาวน้อยร่างผอมบางย่อมไม่สามารถเอาชนะชายร่างใหญ่ถึงสองสามคนได้ พวกเขาทั้งแกะมือ กอดเอว หรือกระทั่งอุ้มเธอขึ้นราวกับเป็นผักปลา พวกเขาอุ้มเธอแล้วพาออกไป
ถึงกระนั้น เหม่ยลี่ก็ยังคงดิ้นรนสุดชีวิต “ช่วยด้วย! หนูไม่อยากแต่งงาน! หนูสามารถหาเงินได้! หนูจะหาเงินจำนวนมากมาให้พี่ชายแต่งภรรยา! อย่าขายหนูออกไปเลยนะ!”
เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นเมื่อได้ยินเสียงความวุ่นวายจึงออกมาดู
พวกเขามองดูเด็กสาวตัวน้อยที่ร้องไห้แทบจะขาดใจ และเลือกที่จะมองดูอยู่ข้าง ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะไม่มีใครคิดว่าการทำเช่นนี้คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ความยากจนและการขาดการศึกษาส่งผลให้เกิดอาชญากรรมร่วมกันโดยไม่รู้ตัว
ผู้คนที่นี่ตั้งแต่เด็กผู้ชายจนถึงผู้ชาย ได้รับการปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นด้วยความคิดที่ว่าผู้หญิงเป็นเบี้ยล่างของผู้ชาย และผู้หญิงสามารถนำมาใช้ซื้อ ขาย และแลกเปลี่ยนได้
พวกเขาได้รับอนุญาตให้คิดและกระทำเช่นนี้
โศกนาฏกรรมและความเลวร้ายที่เกิดกับเด็กสาวคนแล้วคนเล่า วนเวียนซ้ำรอยจนเป็นวัฏฏะ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการพยายามดิ้นรนของเหม่ยลี่ต่อหน้าคนเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนมดแดงคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่*[1] เสียงแรงเปล่าโดยสิ้นเชิง
เสื้อผ้าของเธอขาดวิ่นจากการดิ้นรนต่อสู้ เผยให้เห็นขาอันผอมแห้งที่แกว่งไปมาในอากาศ และไหล่ของเด็กหญิงที่สัมผัสกับอากาศ ทว่ากลับไม่มีใครสนใจ
เธอปล่อยให้น้ำตาไหลอาบใบหน้าที่ไม่ประสาของตน พลางมองขึ้นไปบนท้องนภาสีคราม พร้อมนึกถึงคุณครูเซี่ยผู้อ่อนโยนของตัวเอง
เธอคิดว่าในชีวิตนี้ของตัวเอง เธอคงไม่สามารถออกจากภูเขาและออกไปเห็นโลกภายนอกได้เหมือนที่คุณครูเซี่ยเคยกล่าวบอกไว้
เด็กสาวพึมพำด้วยความสิ้นหวัง “คุณครูเซี่ย หนูขอโทษ…”
“หยุดนะ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดดังขึ้นไม่ไกลนัก
เหม่ยลี่พลันรู้สึกได้ว่าคนที่อุ้มเธออยู่หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องสนใจเธอ ไปซะ!”
“พวกคุณปล่อยเธอนะ!”
เสียงที่คุ้นเคยดังก้องอยู่หูของเหม่ยลี่ ราวกับว่าจากที่เธอกำลังจะลงนรกก็ได้ขึ้นสวรรค์โดยพลัน
เด็กสาวหันศีรษะมองไปและพบว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังวิ่งมาจากคันนาด้วยใบหน้ากังวล พร้อมกับเถียนกุ้ยฟางซึ่งตามมาข้างหลัง
เธออุทานด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ “คุณครูเซี่ย!”
ทันทีที่เห็นเซี่ยชิงหยวน ร่างกายที่อ่อนล้าของเธอก็พลันถูกเติมเต็มด้วยพละกำลัง และกลับมาดิ้นรนอย่างหนักอีกครั้ง
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ที่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ซึ่งดูกระดากอายคนหนึ่งถูกชายหลายคนลากออกไป เสื้อผ้าของเธอก็กระเซอะกระเซิงและขาดวิ่นราวกับว่าเธอเป็นสัตว์ ดวงตาที่โกรธเกรี้ยวของหญิงสาวก็แทบจะระเบิดออกมาในทันทีทันใด
เธอและเถียนกุ้ยฟางรีบก้าวไปข้างหน้า แล้วออกแรงผลักผู้ชายพวกนั้นออกไปเพื่อช่วยเหล่ยลี่
เซี่ยชิงหยวนรวบรวมเสื้อผ้าของเหม่ยลี่ขึ้นมา ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เหม่ยลี่ เธอเป็นอะไรไหม?”
น้ำตาขนาดเท่าเม็ดถั่วร่วงหล่นจากดวงตาของเหม่ยลี่ เด็กสาวส่ายหัว พร้อมระงับความกลัวภายในของเธอไว้ แล้วเอ่ยเสียงสะอื้น “คุณครูเซี่ย ครูมาช่วยหนูแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนปาดน้ำตาออกจากแก้มของเด็กน้อย พลางพยักหน้า “ใช่จ้ะ คุณครูเซี่ยมาช่วยเธอแล้ว”
หญิงสาวดึงตัวให้เหม่ยลี่ไปอยู่ข้างหลังเพื่อปกป้องเธอ จากนั้นจึงจ้องมองไปยังผู้ชายสองสามคน “พวกคุณจะพาเหม่ยลี่ไปไม่ได้”
ผู้ชายที่เป็นหัวหน้านั้นคือผู้ชายที่เหม่ยลี่ต้องแต่งงานด้วยเร็ว ๆ นี้ อายุของเขาอยู่ในช่วงยี่สิบถึงสามสิบปี สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร รูปร่างอ้วนเตี้ย
เขาเผยให้เห็นฟันสีเหลืองขนาดใหญ่เต็มปาก พร้อมมองเซี่ยชิงหยวนด้วยรอยยิ้ม “ไม่ให้พาเธอไป อย่างนั้นผมพาคุณไปก็ได้”
เอ่ยจบ เขาก็ยื่นมือมาทางเซี่ยชิงหยวน
เหม่ยลี่ซึ่งอยู่ด้านหลังเซี่ยชิงหยวนตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “อย่าแตะต้องคุณครูเซี่ยของฉันนะ!”
เอ่ยแล้วก็รีบวิ่งออกมาทันที
เซี่ยชิงหยวนรั้งเหม่ยลี่เอาไว้ ก่อนจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว โดยจับข้อมือของชายคนนั้น จากนั้นบิดไปข้างหลังของเขา ทำให้ชายคนนั้นก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น
เซี่ยชิงหยวนนั้นดวงตาเฉียบคมและคล่องแคล่วว่องไว หญิงสาวยกขาขึ้นแล้วเตะไปที่เข่าของชายคนนั้นทันที
ชายคนนั้นกินความเจ็บปวดเข้าไปเต็มคำ จนต้องคุกเข่าลงตรงหน้าเซี่ยชิงหยวน จะลุกก็ไม่สามารถลุกขึ้นได้
ชายอีกคนที่เหลือซึ่งเดินทางมากับชายสองคนก่อนหน้าตื่นตะลึงจนลืมโต้ตอบไปชั่วขณะ
ชายอ้วนเตี้ยนั้นยังคงถูกเซี่ยชิงหยวนจับเอาไว้ เขาเจ็บปวดเสียจนต้องกัดฟัน “เร็วเข้า ยืนเหม่ออะไรอยู่ได้!”
ชายที่เหลืออยู่คนสุดท้ายอุทานว่า “อ้อ” ก่อนจะเอื้อมมือไปหาเซี่ยชิงหยวนอย่างละล้าละลัง ทำท่าทางเหมือนจะเข้ามาจับเธอ
เซี่ยชิงหยวนไม่แม้แต่จะกะพริบตา หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง แล้วยกเท้าอีกข้างของเธอออกไปเตะที่เอวของเขา
ชายคนนั้นส่งเสียงร้อง “โอ๊ย!” เขาถูกเซี่ยชิงหยวนเตะลงไปในนาโดยตรง หน้าคะมำกินโคลนเสียเต็มปาก
เถียนกุ้ยฟางพลันกลืนน้ำลายด้วยความกลัว พร้อมปรบมือ “น้องชิงหยวน เธอแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”
เซี่ยชิงหยวนชักเท้าของเธอกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ก่อนจะปล่อยชายร่างอ้วนเตี้ย “ฉันฝึกฝนตลอดทุกครั้งที่มีเวลาค่ะ”
ในชาติที่แล้ว เธอติดตามปี่เหลาซานไปทั่วโลก จึงได้พบปะผู้คนทุกประเภท มีทั้งคนที่เป็นมิตรมีความสนใจคล้ายกัน แล้วก็มีพวกที่จิตใจเลวทรามต่ำช้าด้วยเช่นกัน
ปี่เหลาซานเองพอมีวิชามวยอยู่บ้าง จึงสอนให้เธอ
ต่อมา ทั้งสองคนไปพำนักอยู่ม่อเป่ยเป็นระยะเวลานาน และบังเอิญพบกับพระภิกษุขี้เมาซึ่งมีวิชากังฟู เซี่ยชิงหยวนจึงฝากตัวเป็นศิษย์ แล้วเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากเขา
เดิมทีในชีวิตนี้ เซี่ยชิงหยวนเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เมื่อเสิ่นอี้โจวเดินทางมายังอำเภอรุ่ย หญิงสาวจึงฝึกฝนมันอีกครั้ง
เมื่อเธอมีเวลา เธอก็เรียนรู้โดยการประมือตัวเองกับหน่วยรักษาความปลอดภัยเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ของตัวเอง
ก่อนจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือใคร หญิงสาวจะชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวังก่อนเสมอ
รู้ทั้งรู้ว่าตนนั้นไม่มีความสามารถ แต่ทว่าก็ยังดึงดันไปทำเรื่องนั้น นี่เรียกว่าทัศนคติที่เปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจแต่ไม่เจียมตัว
เธอมีความสามารถ มีเงิน และอำนาจให้พึ่งพาได้ การบดขยี้คู่ต่อสู้ให้แตกพ่ายยับเยินเช่นนี้เรียกว่าศักยภาพ
การยื่นมือเข้าไปช่วยผู้ที่อ่อนแอ จึงเป็นเพียงเรื่องง่ายจนแทบไม่ต้องออกแรง
เธอมองดูพ่อแม่ของเหม่ยลี่ที่กำลังวิ่งลงมาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนเอ่ยเบา ๆ ว่า “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นคุณครูของเหม่ยลี่ เซี่ยชิงหยวนค่ะ”
[1] มดแดงคิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ หมายถึงคนที่มีความสามารถน้อยนิด แต่คิดทำการใหญ่ ไม่เจียมตัว