ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 522 คุณหมอเย่ คุณนี่เยี่ยมจริงๆ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 522 คุณหมอเย่ คุณนี่เยี่ยมจริงๆ

ตอนที่ 522 คุณหมอเย่ คุณนี่เยี่ยมจริงๆ

ในขณะที่ทั้งสองกำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น คุณแม่เซี่ยก็เดินออกมา และเมื่อไม่เห็นเซี่ยอวี่ นางจึงถามว่า “ลินดา แล้วเซี่ยอวี่ไม่มาด้วยเหรอ?”

“คุณป้า หล่อนบอกว่าจะไปบอกลาเย่ไป๋ จึงให้ฉันล่วงหน้ามาที่นี่ก่อน แล้วหล่อนจะตามมาเร็วๆ นี้ค่ะ”

แน่นอนว่าคำตอบของลินดาทำให้คุณแม่เซี่ยรู้สึกพอใจมาก

“ทำถูกต้องแล้ว ก่อนออกเดินทางควรแจ้งแฟนตัวก่อน”

คุณแม่เซี่ยรู้สึกยินดีมากๆ ที่สุดท้ายแล้วลูกสาวของตนก็หัดเรียนรู้ที่จะตกหลุมรักและรักเป็น

ยิ่งเห็นได้ชัดว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของหล่อนกับเย่ไป๋เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และงานวิวาห์ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม

กลับกลายเป็นว่าคนกลุ่มหนึ่งนั่งรอในห้องได้สักพักแล้ว คุณแม่เซี่ยจึงต้องปลอบใจลินดาและเจียงอวี่เฟยว่าอย่ากังวลไปเลย

ในความเป็นจริงแล้วคุณแม่เซี่ยหวังว่าลูกสาวจะได้อยู่กับลูกเขยต่ออีกสักพัก

เมื่อใกล้เวลา 09.00 น. จึงมีเสียงรถจักรยานยนต์ดังเข้ามาใกล้หน้าประตู

“เซี่ยอวี่กลับมาแล้ว”

เมื่อคุณแม่เซี่ยได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ของลูกเขย นางก็เดินออกไปต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง

เย่ไป๋และเซี่ยอวี่เดินผ่านประตูเข้ามาดังคาด

คุณแม่เซี่ยมองต้อนรับเย่ไป๋ด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “เสี่ยวเย่ ทำไมเธอยังต้องมาส่งหล่อนเองล่ะ? จะไปทำงานสายหรือเปล่า”

เย่ไป๋กล่าวว่า “ไม่สายเลยครับคุณป้า”

ทันทีที่เซี่ยอวี่เดินเข้ามาในลานบ้าน นัยน์ตาคู่งามก็ไหวระริกด้วยความรู้สึกผิด ไม่กล้ามองแม่เฒ่าด้วยซ้ำ

ทว่าคุณแม่เซี่ยไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของลูกสาวเลย นางเดินมาหาพลางเอ่ยเตือนว่า “อวี่เฟยกับเซี่ยเซี่ยก็อยู่ที่นี่ทั้งคู่”

“โอ้ เข้าใจแล้วค่ะ”

ลินดาได้ยินเสียงจึงออกจากห้องโถงมาดู วันนี้หล่อนสวมชุดสีดำ และกำลังยกมือกอดอกพลางจ้องมองเซี่ยอวี่ด้วยดวงตาที่เหมือนลูกไฟลุกโชน

แน่นอนว่าเซี่ยอวี่ไม่กล้าสบตาลินดา ทำแค่ก้มหน้าลงแล้วเดินอ้อมหล่อนเข้าไปในบ้าน

สำหรับคนอื่นๆ อาจไม่สังเกตเห็นจุดสีแดงเช่นนี้ หรือคิดว่าเป็นแค่รอยยุงกัด

ทว่าในฐานะผู้เคยผ่านประสบการณ์มาแล้วเช่นเธอ เฮอะๆ…

แม้หลินเซี่ยจะมองเห็นได้ชัดเจนแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ เธอแค่ยิ้มเอ่ยว่า “อาหญิง ฉันจัดกระเป๋าให้คุณเสร็จหมดแล้วค่ะ”

“ขอบคุณนะเซี่ยเซี่ย เธอช่างมีน้ำใจจริงๆ เดี๋ยวฉันขอตัวไปแต่งหน้าก่อนนะ”

เซี่ยอวี่ไม่ได้ทักทายเจียงอวี่เฟยด้วยซ้ำ เพราะหล่อนรีบเดินกลับห้องโดยเร็วที่สุด

ลินดาเองก็สังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาที่ชัดเจนมากของเซี่ยอวี่ได้ หล่อนถอนหายใจแล้วรีบเชิญให้หลินเซี่ยไปช่วยแต่งหน้าให้เซี่ยอวี่

เพราะมีเพียงฝีมือการแต่งหน้าของหลินเซี่ยเท่านั้นที่จะปกปิดสีหน้าเหนื่อยล้านั้นได้

หลังจากนั้นลินดาจึงเหลือบมองเย่ไป๋ และในจังหวะที่เดินผ่านเขาไป หล่อนก็พูดว่า “คุณหมอเย่ คุณนี่เยี่ยมจริงๆ”

พูดจบแล้วก็เดินตามไปที่ห้องของเซี่ยอวี่พร้อมใบหน้ามืดมน

เย่ไป๋ได้แต่ยกนิ้วเขี่ยปลายจมูกด้วยความเก้อเขิน และจำเป็นต้องนั่งกับญาติผู้น้องของตน และให้คำแนะนำแก่หล่อนด้วยความเอาใจใส่

ทางด้านหลินเซี่ยใช้เวลาจดจ่ออยู่กับใบหน้าของเซี่ยอวี่นานกว่าครึ่งชั่วโมง สุดท้ายหล่อนจึงได้รูปลักษณ์ที่งดงามในอดีตกลับคืนมา

เส้นผมลอนสวย การแต่งกายคือสวมเสื้อสเวตเตอร์คอเต่าเนื้อบางและกระโปรงยาว

ช่างเป็นผู้หญิงที่สมาร์ทจริงๆ

เดิมทีเย่ไป๋และหลินเซี่ยต้องการไปส่งพวกหล่อนด้วย แต่ลินดาบอกว่าจะมีรถยนต์ของหุ้นส่วนมารับพวกหล่อน จึงไม่ต้องให้ครอบครัวไปส่ง

เมื่อทุกคนเดินมาถึงประตู รถก็มาถึงแล้วเช่นกัน หลังจากที่หลินเซี่ยเฝ้ามองพวกเซี่ยอวี่เดินขึ้นรถและรถเคลื่อนออกไปแล้ว เธอก็มองเย่ไป๋ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความนัย

เย่ไป๋รู้สึกไม่สบายใจกับสายตาของหลินเซี่ย เขากะพริบตาปริบๆ แล้วถามเธอว่า “เซี่ยเซี่ย คุณจะกลับแล้วเหรอ?”

“ใช่ค่ะ กลับแล้ว กลับตอนนี้เลย”

จากนั้นก็พากันหันไปกล่าวอำลาคุณแม่เซี่ย

ทั้งสองคนขับรถจักรยานยนต์คนละคัน และต่างก็มีงานยุ่ง

หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว จางซ่วนก็นำกลับไปจัดการที่ร้าน

หลินเซี่ยส่งเพจเจอร์ถึงเฉินเจียซิ่งเพื่อให้พวกเขามารับรูปถ่าย

เพิ่งส่งเพจเจอร์ถึงเฉินเจียซิ่งเสร็จ ก็ปรากฏร่างที่คุ้นเคยเดินผ่านเข้าประตูมา

“นายมาทำไม?”

“แค่มาดูหน่อยครับ”

เฉินเจียวั่งเดินเอามือล้วงกระเป๋าไปทั่งร้าน และเขาถามหลินเซี่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “เจียงอวี่เฟยไปเมืองเชินเฉิงด้วยเหรอ?”

“ใช่ หล่อนไม่ได้บอกนายเหรอ?”

เฉินเจียวั่งพูดโดยไม่แสดงอารมณ์ “ไม่นะครับ”

เฉินเจียวั่งรั้งอยู่ที่นั่นพักหนึ่ง และคอยถามเกี่ยวกับเจียงอวี่เฟยด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับไม่มีเป้าหมาย และเมื่อได้ยินว่าหล่อนถูกเซี่ยอวี่พาไปบันทึกรายการด้วย เขาก็พึมพำว่าดีแล้ว จากนั้นลดสายตาลงและวางแผนจะกลับออกไป

ทว่าทันทีที่เขาเดินมาถึงประตู ก็ได้พบกับเฉินเจียซิ่งและหยางหงเสีย ซึ่งในมือของทั้งสองถือถุงตาข่ายใส่ผลไม้และขนมอีกจำนวนหนึ่ง

เฉินเจียซิ่งเห็นน้องชายแล้วจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า

“เจ้าสามก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”

เฉินเจียซิ่งมองหน้าเฉินเจียวั่งและถามด้วยความสงสัย “แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ? ยังไม่ถึงเวลาที่นายจะถ่ายรูปพรีเวดดิ้งสักหน่อย”

“แต่ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าก่อกวนพี่สะใภ้ใหญ่มากนัก ระวังพี่ใหญ่จะทุบนายเข้าล่ะ”

เฉินเจียวั่งจ้องมองเฉินเจียซิ่งด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่ในขณะที่เขากำลังจะจากไป เฉินเจียซิ่งก็หยุดเขาไว้ และยืนกรานที่จะให้เขาอยู่ดูภาพพรีเวดดิ้งด้วยกัน

มิหนำซ้ำยังบอกเฉินเจียวั่งว่าควรเรียนรู้ไว้ด้วย เพราะการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งต้องอาศัยประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นภาพจะแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา

แม้เฉินเจียวั่งจะแสดงสีหน้าเหม็นสาบ แต่เขายังคงก้าวถอยหลังไปอย่างเชื่อฟัง

หลินเซี่ยไปล้างและปอกผลไม้ที่พวกเฉินเจียซิ่งนำมา จากนั้นก็ให้ทุกคนได้กินด้วยกัน

หลังจากนั้นไม่นาน จางซ่วนก็กลับมาพร้อมรูปถ่าย

เฉินเจียซิ่งเห็นแล้วจึงรีบเข้าไปทักทายเขา “ช่างภาพใหญ่ ขอบคุณที่ทำงานหนักนะครับ ผมมารอรับรูปถ่ายน่ะ”

ภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่สุดถูกอัดใส่กรอบเอาไว้ตามคำขอของพวกเขา ส่วนภาพที่เหลือถูกบรรจุในซองหนังวัว

ทันทีที่เปิดดูภาพถ่าย หยางหงเสียก็ตื่นตะลึงไปกับรูปพรีเวดดิ้งของพวกตน “ว้าว รูปพวกนี้สวยมากจริงๆ ค่ะ”

“จริงด้วย มันสวยกว่าที่ผมคาดไว้เสียอีก” เฉินเจียซิ่งก็พอใจกับรูปถ่ายของพวกตนมาก

แม้จะดูไม่สง่างามเป็นธรรมชาติเท่าของพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ แต่ก็สมกันเป็นกิ่งทองใบหยกสุดๆ

ยามมองผ่านภาพถ่ายเหล่านี้ หลินเซี่ยก็มีความเข้าใจลึกซึ้งในฝีมือการถ่ายภาพของจางซ่วนและยกนิ้วหัวแม่มือให้เขา

“ฉันอยากจะเลือกสักสองรูปเอาไว้โฆษณาร้านของเราด้วย”

หลินเซี่ยพัฒนาการขยายรูปให้มีขนาดใหญ่พิเศษได้ และมีการเลือกรูปถ่ายที่คู่ของเธอซึ่งกำลังเอาหน้าผากชนกัน จากนั้นนำไปติดนอกร้านเป็นป้ายโฆษณา

เมื่อเฉินเจียซิ่งได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด จึงรีบเสนอ “พี่สะใภ้ การโพสต์ท่าแบบนั้นมันน่าเบื่อมาก พี่เลือกภาพถ่ายของเราไปติดด้วยสิ”

“นำไปใช้ได้เหรอ?” หลินเซี่ยมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

เฉินเจียซิ่งรีบตอบ “ใช้ได้แน่นอน รูปถ่ายพวกเราสวยขนาดนี้ ถ้าเอาไปติดโฆษณาจะต้องดึงดูดลูกค้าได้ดีแน่ๆ”

เพราะเฉินเจียซิ่งคิดว่าในภาพถ่ายนี้ตัวเองหล่อไม่เบาและหยางหงเสียก็สวยไม่น้อย หากนำไปติดตั้งเป็นภาพโฆษณาข้างนอก ก็ไม่ต่างจากภาพของนักแสดงชื่อดัง

ในชาตินี้พวกเขาไม่มีโอกาสได้เป็นนักแสดงชื่อดัง การมีชื่อเสียงด้วยวิธีนี้จึงดีมากๆ เช่นกัน

หลินเซี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกนายห้ามมาเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์กับฉันทีหลังนะ”

“ฟังพี่พูดเข้าสิ เก็บค่าลิขสิทธิ์อะไรล่ะ? เราสามารถใช้รูปถ่ายคนในครอบครัวได้ตามใจชอบอยู่แล้ว”

เฉินเจียซิ่งมีน้ำใจมาก และหยางหงเสียก็เชื่อฟังเฉินเจียซิ่งทุกเรื่อง หล่อนจึงไม่พูดคัดค้านเลย

“เอาล่ะ พวกเรามาเริ่มติดตั้งกันเลยดีกว่า”

เฉินเจียซิ่งและเฉินเจียวั่งช่วยกันแขวนรูปพรีเวดดิ้งไว้บนผนังด้านนอกของร้าน

หลังจากติดตั้งแล้ว เฉินเจียซิ่งก็มองรูปถ่ายบนผนังและแสดงความพึงพอใจออกมา

ดูเหมือนนักแสดงชื่อดังจริงๆ

เขาไม่ด้อยไปกว่าพี่ใหญ่เลยสักนิด

หลังจากทำงานเสร็จแล้ว เฉินเจียซิ่งก็พูดกับหลินเซี่ยว่า “พี่สะใภ้ คือว่าพรุ่งนี้อารองและอาสะใภ้รองจะกลับบ้าน คุณปู่จึงบอกให้พี่กับพี่ใหญ่กลับไปร่วมกินมื้อเย็นด้วยกันน่ะครับ”

“พรุ่งนี้เหรอ?” หลินเซี่ยรู้สึกเกรงใจ “แต่พรุ่งนี้เราต้องไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ และอาจจะกลับถึงบ้านสายหน่อยนะ”

“พวกพี่อยากซื้อเฟอร์นิเจอร์เหรอ? งั้นผมไปด้วยสิ ผมก็อยากจะเลือกเฟอร์นิเจอร์สักสองสามชิ้นด้วย เพราะของเดิมผมขายเป็นเฟอร์นิเจอร์มือสองไปแล้ว”

เนื่องจากเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นคนเลือกเฟอร์นิเจอร์เก่าพวกนั้น หากเขาอยากเริ่มต้นใหม่ ก็ต้องซื้อของใหม่มาแทน

หลินเซี่ยตอบรับ “ได้สิ พรุ่งนี้เช้านายมาพบพวกเราที่นี่แล้วไปโรงงานเฟอร์นิเจอร์ด้วยกัน”

“ถ้างั้นพวกผมกลับก่อนนะครับ”

เมื่อเฉินเจียซิ่งและหยางหงเสียถือรูปถ่ายเตรียมออกเดินทาง เฉินเจียซิ่งก็จำเรื่องหนึ่งได้แล้วพูดว่า

“จริงสิ พ่อแม่ของผมบอกว่าหากเรามารับรูปที่นี่ ก็ให้นำรูปถ่ายของพวกพี่ไปด้วยสักรูป เพราะพวกท่านอยากแขวนไว้ที่บ้านครับ”

“ได้สิ” หลินเซี่ยไปเลือกภาพพรีเวดดิ้งของตนมาหนึ่งรูปแล้วยื่นให้เฉินเจียวั่งเพื่อนำกลับไปที่บ้าน

เพราะจางซ่วนมีฟิล์มเก็บไว้แล้ว สามารถล้างรูปใหม่ได้ตามต้องการ

หลินเซี่ยเลือกรูปถ่ายขนาด 6 นิ้วเพียงสองรูปเพื่อเอากลับบ้านไปให้เฉินเจียเหอดู ส่วนรูปอื่นๆ เก็บไว้ในร้าน แล้วค่อยนำไปไว้ที่บ้านใหม่เมื่อถึงเวลา

เฉินเจียเหอมองรูปพรีเวดดิ้งนั้นพร้อมรอยยิ้มมุมปาก เขาแสดงความพอใจออกมา และเมื่อได้ยินว่าหลินเซี่ยติดภาพถ่ายไว้ที่ประตูร้านด้วย เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก

อืม จากนี้ไปเมื่อใครก็ตามเห็นภาพนั้น ย่อมรู้ได้ทันทีว่าภรรยาของเขาเป็นดอกไม้ชื่อดังที่มีเจ้าของแล้ว

เมื่อหู่จือได้เห็นภาพถ่ายนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกสะเทือนใจพลางเอ่ย “ทำไมพวกแม่ไม่พาผมไปถ่ายด้วยล่ะครับ?”

หลินเซี่ยเห็นว่าเด็กชายทำหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธ เธอจึงอุ้มเขามาเกลี้ยกล่อมว่า “ก็วันนั้นลูกไม่อยู่ด้วย แต่ไม่เป็นไรนะ รอให้คุณยายรองกลับมาแล้ว พวกเรามาถ่ายรูปครอบครัวกันพร้อมหน้าเลยดีไหม?”

“ดีครับ” หู่จือชี้ไปที่รูปถ่ายในมือของเขาพลางเอ่ยต่อ “แล้วผมจะยืนอยู่ตรงกลางของพวกแม่ด้วย”

หลินเซี่ยก็เห็นด้วยทันที “ได้สิ ไม่มีปัญหาเลย”

จากนั้นหลินเซี่ยก็วางภาพนี้รวมไว้ในกรอบรูปขนาดใหญ่

“จริงสิ เฉินเจียซิ่งบอกว่าอารองและอาสะใภ้รองจากเมืองหนานเฉิงจะกลับมาพรุ่งนี้ และให้เรากลับไปกินข้าวที่บ้าน”

เมื่อเอ่ยถึงอารองและอาสะใภ้รอง ดวงตาของเฉินเจียเหอก็หรี่ลงและตอบอย่างไร้ชีวิตชีวา “ค่อยว่ากันทีหลัง ถ้ามีเวลาก็กลับไป”

“คุณปู่รองและคุณย่ารองกำลังกลับมาเหรอครับ?” ใบหน้าเล็กๆ ของหู่จือพลันเปลี่ยนไป อดแสดงความหวาดกลัวออกมาไม่ได้

หลินเซี่ยยกมือตบหลังของเขาเบาๆ และปลอบโยนด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัวนะ พ่อกับแม่อยู่นี่แล้วทั้งคน”

เธอก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าอารองและอาสะใภ้รองเป็นคนชั่วประเภทใด จึงสามารถทำให้หู่จือกลัวได้เช่นนี้

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อุ๊ยยย ท่าทางจะนอนไม่หลับกันนะคะทั้งหมอเย่ทั้งคุณอา นอนกันท่าไหนล่ะนั่น

ครอบครัวร้ายกาจครอบครัวนั้นจะร้ายขนาดไหนกันนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท