ตอนที่ 643 ผีเฒ่าเว่ยเสีย
ลงมืออย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซียังไม่เอ่ยวาจา เถิงเจาชิงจ้องเขาเขม็งก่อน เอ่ยเสียน่าฟัง เจ้าทำได้เจ้าก็ทำเองเสียสิ
เหนียนโหย่วเหวยที่ถูกเมิน “?”
เขาเอ่ยผิดแล้วหรือ
ฉินหลิวซีเอ่ย “มีสัญญาฟ้าดินปกป้อง จะแตะต้องเขา ข้าต้องได้รับโทษ”
เหนียนโหย่วเหวยส่งเสียงอ่าขึ้นมา
เว่ยเสียที่อยู่ในร่างกายเหลยหมิงผยองอยู่ในใจ
ไม่ผิด เขากับเหลยหมิงถือว่าทำสัญญาด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย สัญญาฟ้าดินนี้เมื่อทำแล้ว เท่ากับว่าเหลยหมิงยอมถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา รวมถึงร่างกายและจิตวิญญาณ
ดังคำกล่าวที่ว่าวาจาที่ดีโน้มน้าวให้คนตายได้ ความเมตตาไม่สามารถช่วยชีวิตคนได้ เหลยหมิงยินยอมทำสัญญากับเขา สวรรค์จะว่าอะไรเขาได้
ตอนนี้เขาเป็นเหลยหมิงได้อย่างแท้จริง ฉินหลิวซีคิดสังหารเขาเท่ากับสังหารสิ่งมีชีวิต จะต้องได้รับกรรม
ฉินหลิวซีมองท่าทางหยิ่งผยองของเขา มือเท้าคันยุบยิบ เอ่ย “เจ้าอย่าได้ลำพองใจเกินไปนัก สัญญาทำได้ก็ยกเลิกได้”
เว่ยเสียนิ่งค้าง สีหน้านิ่งมองนาง เอ่ย “เจ้าจะยุ่งเรื่องคนอื่นให้ได้หรือ เจ้าคิดให้ดีเถิด เจ้าสังหารข้า เท่ากับสังหารสิ่งมีชีวิต”
“หากเป็นคนที่สร้างบาปกรรมหนักหนาข้าจะไม่ยุ่ง ทว่าเหลยหมิงไม่ใช่” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “หากเหลยหมิงไม่ได้สติว่าเจ้าหลอก ก็คงไม่ขอความช่วยเหลือจากสหายตอนที่เขามีสติ”
เว่ยเสียส่งเสียงหยัน “เขาหาคนมาช่วยก็สมดังปรารถนาแล้วหรือ ทำสัญญาแล้ว ไหนเลยเขาจะตัดสินใจได้ เป็นข้าช่วยเขาทำข้อสอบ เขาจึงมีชื่อในการประกาศผล แถมยังอยู่ในอันดับต้นๆ ทำไมหรือ สอบได้แล้วคิดอยากทำลายข้อตกลงยึดอำนาจกลับคืนอย่างนั้นหรือ โลกใบนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ เพียงนี้ ลืมบุญคุณ ฝันไปเถิด ไม่มีข้า เขาก็คงสอบตก”
“เจ้าเหลวไหล บุตรชายข้าจะสอบตกได้อย่างไรในเมื่อเขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก เป็นเจ้าที่ใช้วาจามารหรือคำลวงหลอกล่อให้บุตรชายของข้าทำสัญญาอะไรนั่น เจ้ามันปีศาจร้าย จิตใจชั่วช้ายิ่งนัก” นายหญิงใหญ่เหลยฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง จับมือเหนียนโหย่วเหวยประคองตนเองขึ้นมา ชี้หน้าเว่ยเสียพลางก่นด่า หันไปขอร้องฉินหลิวซี “ไต้ซือ รีบร่ายมนต์จัดการกับมารร้ายนี้เถิด เงินมากมายเพียงใดพวกเราก็ให้ได้”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ เอ่ย “มีสัญญาฟ้าดินปกป้อง หากดึงดันสังหาร คนที่ตายคือร่างกายของเหลยหมิง”
นายหญิงผู้เฒ่าเหลยฟังแล้ว ใบหน้าซีดขาวขึ้นมาทันใด
เว่ยเสียเอ่ย “ก่อนที่เขาจะสอบ นอนไม่หลับทั้งคืน กังวลว่าเป็นเรื่องยากหากต้องรับหน้าที่ยิ่งใหญ่ สติของเขากลายเป็นเชือกที่ขึงจนตึง เพียงปล่อยเบาๆ เขาก็ล้มได้ สภาพเช่นนี้หากไม่มีข้าสอบแทน เขาเข้าสู่สนามสอบก็คงทำอะไรออกมาไม่ได้ คงสอบตกเป็นครั้งที่สี่”
ฉินหลิวซีไม่เอ่ยปากทว่าในใจกลับเห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าเหลยหมิงกลัวจะสอบตกอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นจึงได้เป็นกังวลก่อนการสอบ สภาพเขาเป็นเช่นนี้หากเข้าสอบจะแสดงทักษะที่แท้จริงของเขาออกมาได้อย่างไร แสดงออกมาไม่ได้จะสอบได้ได้อย่างไร
เหลยหมิงจิตใจแตกสลาย เว่ยเสียจึงใช้ประโยชน์จากมันได้
ความจริงชัดเจนเป็นเช่นนี้
เว่ยเสียไม่สนใจที่จะเล่าที่มาที่ไปของตนรวมไปถึงข้อตกลงกับเหลยหมิง
เดิมเขาเป็นผีที่ตายมาแล้วนับร้อยปี ในสมัยของพวกเขา บุรุษชนชั้นขุนนางนิยมปักดอกไม้ทาแป้ง เขากำเนิดมาในครอบครัวชนชั้นสูง
เมื่อครั้งที่เขาเสียชีวิตเขาเพิ่งอายุเพียงยี่สิบสอง ที่บังเอิญก็คือเขาตายอยู่ในสนามสอบ เมื่อเขียนตัวอักษรตัวสุดท้ายในบทความเสร็จพลันเสียชีวิตด้วยหลอดเลือดหัวใจตีบขึ้นมากะทันหัน
เว่ยเสียเป็นคุณชายตระกูลชนชั้นขุนนาง มีความสามารถ เขายังเป็นทั่นฮวาที่เป็นที่นิยมในการสอบครั้งนั้น ทว่ากลับตายในสนามสอบ กระดาษคำตอบของเขาแม้จะทำเสร็จแล้วทว่าไม่ได้ส่ง เพราะกระดาษเสียหายจากการเปื้อนเลือด
อย่างไรก็ตามกระดาษคำตอบและกลยุทธ์ของเขาได้รับการเผยแพร่ออกไป ทุกคนต่างยกย่องกลยุทธ์และทฤษฎีที่ยอดเยี่ยมของเขา แม้แต่ผู้ตรวจข้อสอบก็ยังยกย่องเขา ถ้าเขาไม่ตายและกระดาษคำตอบยังอยู่ เขาคงมีรายชื่อติดอันดับแล้ว
มีคนเสียดายและมีคนยินดี เว่ยเสียที่ควรจะมีชื่อในอันดับตายจากไปแล้ว ตำแหน่งที่เดิมควรเป็นของเขาก็ว่างแล้ว พวกเขาเองก็จะมีโอกาสเพิ่มอีกหนึ่งมิใช่หรือ
คนที่ไม่พอใจและรู้สึกแค้นเคืองมีเพียงตระกูลเว่ยและตัวเว่ยเสียเอง ตอนที่ฝังเขาตระกูลเว่ยฝังกระดาษคำตอบและเครื่องเขียนของเขาไปพร้อมกัน ความไม่พอใจและยึดติดของเว่ยเสียทำให้ดวงวิญญาณของเขาสิงอยู่ในพู่กันทำข้อสอบเล่มนั้นโดยไม่ตั้งใจ
พู่กันทำข้อสอบนั้นทำขึ้นด้วยขนหมาป่าสีขาว ตัวพู่กันทำจากไม้หลิ่ว ครึ่งบนของพู่กันยังสลักอักษรคาถาอย่างประณีต
ฉินหลิวซีฟังมาถึงตรงนี้ เอ่ย “พู่กันทำข้อสอบนั้นคือเครื่องรางหรือ”
เว่ยเสียพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถูกแล้ว แม้ข้าจะอยู่ในตระกูลชนชั้นขุนนาง ทว่ายังเป็นลูกหลานเต๋าอีกด้วย ข้ามีวาสนากับเต๋า ข้าถือว่าตัวข้าเป็นบรรพบุรุษของลัทธิเต๋า”
ฉินหลิวซีนิ่งอึ้ง
อยากตีคน ไม่สิ ตีผี
มิน่าเขาถึงรู้จักสัญญาฟ้าดิน ที่แท้ก็เป็นลูกหลานตระกูลลูกศิษย์ลัทธิเต๋า คิดว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงศึกษาตำราเต๋ามามากมาย
เว่ยเสียเอ่ยต่อ “วิญญาณของข้าสิงอยู่ในพู่กัน ถูกฝังอยู่ในหลุมศพไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่เห็นความผันแปรของโลก วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า จนค่อยๆ สูญเสียความนึกคิด กระทั่งหลับสนิทไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พู่กันของข้าก็ถูกโจรปล้นสุสานขายไปแล้ว”
“เป็นเหลยหมิงซื้อแล้วหรือ”
“ใช่” เว่ยเสียมองไปยังเหล่านายหญิงผู้เฒ่าเหลย เอ่ยว่า “เหลยหมิงสอบตกติดต่อกันสามครั้ง เกิดความรู้สึกสงสัยตนเองอยู่ในใจ ความสามารถทางวรรณกรรมของเขาเป็นที่ยอมรับ ทว่ากลับไม่มีความมั่นใจในตนเอง พวกเจ้าคาดหวังต่อเขาสูงยิ่ง เกียรติและความอับอายของตระกูลเหลยฝากเอาไว้ที่ตัวเขาทั้งสิ้น ความกดดันมากมายไม่ต้องบอกก็รู้ได้”
นายหญิงผู้เฒ่าเหลยและหวงซื่อฟังอยู่เงียบๆ สีหน้าสับสน
บุรุษสร้างบารมี ตระกูลใดไม่ใช่เช่นนี้ หรือพวกนางผิดไปแล้วหรือ
“ถึงแม้บุรุษจะเป็นกระดูกสันหลังของครอบครัว ต้องเฝ้าพากเพียรร่ำเรียน สร้างชื่อเสียงให้ตระกูล เปลี่ยนพื้นเพของตระกูล นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขาไม่ผิด แต่เหลยหมิงมุ่งมั่นเกินกว่าจะประสบความสำเร็จ สำหรับความมั่นใจที่มีไม่มากพอ กังวลกับความสูญเสีย จิตใจว้าวุ่น จึงเกิดสัญญานี้ขึ้นมา”
เว่ยเสียเอ่ยเสียงเย็น “ข้าถามย้ำเขาว่าเขายอมมอบทุกอย่างเพื่อแลกกับการมีชื่อติดอันดับ เขาบอกเขายอมทุกอย่าง ข้าจึงได้ทำสัญญา”
“อย่างไรเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าหลังทำสัญญาแล้วเจ้าจะได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ” ฉินหลิวซีเอ่ย
เว่ยเสียเอ่ย “นั่นเป็นเขาที่โง่”
“อย่างไรเจ้าก็หลอกเขา”
เว่ยเสียสะอึก “หากเขาไม่คิดมุ่งมั่นอยากได้ตำแหน่งนี้ ข้าก็คงหลอกเขาไม่ได้ เขามีความโลภเกี่ยวอะไรกับข้า”
ฉินหลิวซีส่งเสียงเหอะขึ้นมา
เหนียนโหย่วเหวยเอ่ยถามโดยไม่รู้อะไร “เช่นนั้นกระดาษคำตอบของพี่เหลย เจ้าทำทั้งหมดเลยหรือ”
นี่ นี่ไม่ใช่การฉ้อโกงหรอกหรือ
เพียงการฉ้อโกงที่ชาญฉลาดไม่มีผู้ใดสังเกตได้ ไม่ใช่การรั่วไหลของข้อสอบ แต่เป็นการสอบแทนอย่างไร้ที่ติ
เว่ยเสียเอ่ยเสียงเรียบ “ก็ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างไรข้าก็ตายมาหลายร้อยปี ไหนเลยจะรู้ถึงสุนทรียภาพและความชอบของเหล่าบัณฑิตในแผ่นดินนี้กัน ดังนั้นบทกวีเป็นเขาที่เขียนเอง ส่วนใหญ่ข้าเขียนในด้านกลยุทธ์ กลยุทธ์ในสมองของเขา มีมากมายทว่าไม่ได้เรื่อง มีเป็นกองทว่าไร้เนื้อหา ไหนเลยจะเป็นที่เตะตาผู้ตรวจข้อสอบกันเล่า โชคดีที่ก่อนหน้านั้นข้าได้ไปดูตำราและประวัติศาสตร์ของต้าเฟิง และไปโรงน้ำชาฟังวิถีชีวิตของผู้คนจึงเขียนกลยุทธ์ที่เหมาะสมออกมาได้ หากมีเวลามากพอข้าคงเขียนได้ดียิ่งกว่านี้ แต่สอบผ่านได้ก็เพียงพอแล้ว”
เหนียนโหย่วเหวยไม่รู้ว่าจะเอ่ยสิ่งใด มิน่าเล่าเหลยหมิงจึงมักไปฟังความรู้อยู่ข้างนอกบ่อยครั้ง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ฉินหลิวซี “เป็นความจริงที่มีมุมมองความงามไม่เหมือนกัน ตอนนี้บุรุษไม่นิยมปักปิ่นและทาแป้งราวกับผีที่ตายไปแล้วเช่นนี้แล้ว”
เว่ยเสีย “…”
เจ้าให้ความสำคัญผิดจุดหรือไม่