คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 645 ถูกนักพรตหลอกได้สำเร็จ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 645 ถูกนักพรตหลอกได้สำเร็จ

เว่ยเสียยอมยกเลิกสัญญา ทำให้เหล่านายหญิงผู้เฒ่าเหลยพ่นลมหายใจออกมาได้ รู้สึกยินดีขึ้นมา

ไม่รอให้พวกเขาดีใจจนเกินไป ฉินหลิวซีสาดน้ำเย็นไปอีกถัง ภายใต้การทำสัญญาฟ้าดิน หากจะถอนสัญญาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีราคาที่ต้องจ่าย

และราคานั้น ต้องแลกด้วยอายุขัยของบิดามารดาบุตรชายบุตรสาว

นี่เป็นการลงโทษสำหรับการผิดสัญญา ยิ่งกว่านั้นยังถือเป็นข้อจำกัดอีกหนึ่งอย่าง

สัญญาฟ้าดินไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากทำก็ทำ อยากถอนก็ถอน ราคาที่ต้องจ่าย ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดจะรับไหว

เหลยหมิงและเว่ยเสียต้องการยกเลิกสัญญานี้ จำต้องใช้อายุขัยของบิดามารดาบุตรชายบุตรสาวมาชดใช้

ใบหน้าของหวงซื่อเขียวขึ้นมา มองไปยังเหลยหมิง เจ็บปวดหัวใจไม่น้อย เป็นครั้งแรกที่รู้สึกกล่าวโทษเขา

นายหญิงผู้เฒ่าเหลยกุมหน้าอก เอ่ย “เอาแค่ของข้าไม่ได้หรือ ข้าอายุปูนนี้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ไปอีกนานเพียงนั้น ใช้ของข้าเถิด”

ฉินหลิวซีเอ่ย “นี่เป็นกฎของสวรรค์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเคารพ เหมือนกับให้คำสาบานแล้วไม่สามารถปฏิบัติได้”

นายหญิงผู้เฒ่าเหลยได้ยิน ทรุดตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้ กล่าวโทษ “เขาเลอะเลือนแล้ว เลอะเลือนไปแล้วจริงๆ”

เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้พวกเขาไม่ยอมก็จำต้องทำตามสิ่งที่ฉินหลิวซีบอก

ฉินหลิวซีให้เถิงเจาพาเหนียนโหย่วเหวยไปซื้อธูปและของเซ่นไหว้ทำพิธีบอกกล่าวต่อสวรรค์ ส่วนนางถามวันเวลาเกิดของเหล่านายหญิงผู้เฒ่าเหลย เขียนลงบนกระดาษและพับให้เรียบร้อย

นางเอ่ยถามถึงวันเวลาเกิดของเว่ยเสียแล้วเขียนลงไป จากนั้นหยิบพู่กันเครื่องรางชาดแดงมาแล้วเริ่มวาดยันต์ เขียนคำรายงานต่อสวรรค์ วางเอาไว้เตรียมพร้อมใช้งาน

เว่ยเสียมองนางเขียนยันต์สำเร็จมีพลังขึ้นมาในครั้งเดียว ดวงตาวาววับขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ปีศาจน้อยมีพิษมีความสามารถหลายอย่างติดตัว

ไม่นานพวกเถิงเจาก็กลับมา เคลื่อนย้ายข้าวของเพื่อจัดโต๊ะ วางเนื้อสัตว์และผลไม้ทั้งหมดลงบนโต๊ะ สร้างโต๊ะเซ่นไหว้ขึ้นมาในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าเหลย

ฉินหลิวซีล้างทำความสะอาดมือ จุดธูปเทียน เผากระดาษสีเหลืองและสีขาว สองมือทำสัญลักษณ์ เท้าเดินไปตามตำแหน่งเจ็ดดาว ปากร่ายมนต์คาถา “ตัดศีรษะนับพัน ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้คนร้องทุกข์ไม่สิ้นสุด หมื่นเทพเจ้ารับฟัง สามโลกห้ากษัตริย์ อักษรเรียงรายครบถ้วน…ปู้ฉิวศิษย์อารามชิงผิงเชิญเทพประทับ มีคำสั่งบรรเทาความทุกข์ถอนคำสัญญาฟ้าดินแก่เว่ยเสีย เหลยหมิง…น้อมรับคำสั่ง สมบัติทั้งหลายเป็นที่พึงพอใจแก่ท่านเทียนจุน”

นางสะบัดยันต์หนึ่งแผ่นไปยังโต๊ะ มือผนึกเอาไว้ ยันต์เผาไหม้ตนเองกลางอากาศโดยไร้ไฟ ต่อมานางเผารายงานต่อสวรรค์ที่เขียนเอาไว้

“คุกเข่าลงหน้าแท่นบูชา” ฉินหลิวซีชี้ไปยังเว่ยเสีย “เจ้าต้องยินยอมถอนคำสัญญาต่อสวรรค์ด้วยตนเอง อ่านตามข้า…”

นางเอ่ยหนึ่งประโยค เว่ยเสียเอ่ยตามหนึ่งประโยค ฉินหลิวซีหยินด้ายแดงขึ้นมาหนึ่งเส้น ผูกเป็นปม ให้เขาใช้สองมือแก้ออก ราวกับการเล่นแก้ปมเชือกทั่วไป

ทำต่อเนื่องสามครั้ง

ฉินหลิวซีเผายันต์อีกครั้ง

ควันธูปเทียนค่อยๆ ลอยขึ้น

สายลมพัดผ่าน ดวงวิญญาณของเว่ยเสียหลุดออกมาจากร่างของเหลยหมิง

สัญญาฟ้าดินถูกยกเลิกแล้ว

เหลยหมิงตัวอ่อนยวบลงไปกับพื้น ในขณะเดียวกันนายหญิงใหญ่เหลยเองก็รู้สึกราวกับมีบางอย่างหายออกไปจากร่างกาย ใบหน้ามีร่องรอยเพิ่มขึ้นไม่น้อย คนทั้งคนราวกับแก่ลงไปอีกสิบปี

หวงซื่อร้องตกใจ

ฉินหลิวซีเอ่ย “นี่คืออายุขัยสิบปีที่ต้องชดใช้ จากนี้ไปทำบุญกุศลให้มาก”

หวงซื่อน้ำตาร่วงลงมา

ฉินหลิวซีหยิบเข็มเงินออกมาปักลงไปยังจุดกึ่งกลางใบหน้าของเหลยหมิง เขียนยันต์สะกดวิญญาณบนหน้าผากของเขา เหลยหมิงฟื้นขึ้นมา

“ท่านแม่ ลูกไม่รักดีเองขอรับ” สิ่งแรกที่เหลยหมิงทำหลังจากฟื้นขึ้นมาคือคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าเหลย

ครอบครัวกอดกันร้องห่มร้องไห้

เมื่อเดินออกมาจากบ้านตระกูลเหลย เหนียนโหย่วเหวยตระหนักรู้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เรื่องบางเรื่องไม่อาจบังคับได้ และไม่อาจดึงดันไปจนถึงที่สุดได้

อย่างเช่นเหลยหมิงที่ไม่ลังเลที่จะขายวิญญาณเพื่อให้ได้มาซึ่งความปรารถนาของเขา แต่สิ่งที่ต้องชดใช้คืออายุขัยของคนทั้งครอบครัวกว่าสิบปี ความสำเร็จนี้จะมีความหมายใดเล่า

ชีวิตหลังจากนี้ เหลยหมิงจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดจนไม่อาจถอนตัวขึ้นมาได้หรือไม่

เหนียนโหย่วเหวยไม่กล้าคิด หากคิดให้ดีมิสู้มีชีวิตอยู่อย่างไม่ชัดเจนต่อไปยังจะดีกว่า

“ท่านเจ้าอาวาสน้อย หลังจากนี้พี่เหลยจะทำหน้าที่โดยราบรื่นหรือไม่” เหนียนโหย่วเหวยเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “นิสัยของคนผู้นี้ หากเป็นเจ้าหน้าที่จะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก สิ่งเดียวที่ทำได้หลังจากนี้ก็คือ ทำสิ่งใดด้วยความระมัดระวัง แต่หากระวังจนเกินไปก็ไม่อาจปล่อยวางได้ ไม่อาจประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ ชีวิตนี้ของเขาคงสำเร็จไม่เกินขั้นหก อีกทั้งทำได้ไม่นาน”

เหนียนโหย่วเหวยนิ่งงัน

“นี่เป็นราคาที่เขาต้องชดใช้ ต่อให้เป็นขั้นหกก็ยังดีกว่าใครอีกหลายคน อย่างน้อยความคิดก็เปลี่ยนไปแล้ว ส่วนจะทำได้ไม่นาน ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี สั่งสอนลูกหลานให้ดีก็พอแล้ว” ฉินหลิวซีคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม เอ่ยกับเหนียนโหย่วเหวย “ดังนั้นการใช้ทางลัดไม่ใช่เรื่องง่าย ราคาที่ต้องจ่ายอาจสร้างหายนะได้ การใช้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า ลองนึกถึงพี่เหลยผู้นี้ของเจ้าบ้าง”

เหนียนโหย่วเหวยสีหน้าจริงจัง เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อยวางใจ โหย่วเหวยจะซื่อสัตย์อุทิศตนทำเพื่อราษฎร เป็นขุนนางที่ดี ทำเรื่องดี”

“เมตตายิ่งแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าไปเถิด”

เหนียนโหย่วเหวยหยิบห่อผ้าขึ้นมาส่งให้นาง “วันนี้ลำบากท่านแล้ว”

เขายังต้องกลับไปคุยกับเหลยหมิงสักหน่อย

ฉินหลิวซีรับห่อผ้ากอดเอาไว้ในอก เดินเชื่องช้าออกไปพร้อมเถิงเจา

เว่ยเสียลอยอยู่ข้างๆ นาง เอ่ย “เจ้าทำดีกับคนแซ่เหนียนผู้นี้มากกว่าคนแซ่เหลยผู้นั้นมาก”

“แน่นอน ไยข้าต้องดีกับคนโง่เช่นนั้นด้วย เขาโง่ไม่พอ ยังลากคนทั้งครอบครัวมาชดใช้ค่าโง่ของเขาอีก” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่พอใจ

“เขาถูกข้าหลอก…ไม่รู้ตัวมิใช่หรือ” เว่ยเสียลูบจมูก

ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่รู้ตัวไม่ใช่คำแก่ตัว เขาโง่ก็คือโง่ หากมีใจซื่อตรง เขาก็ไม่ลองคิดดู เกิดเจ้าไม่มีความสามารถ เข้าสอบแล้วยังสู้เขาสอบเองไม่ได้เล่า ยังถูกเจ้าหลอกให้ทำสัญญา เห็นได้ชัดว่ามีจิตใจไม่มั่นคง หากเขารู้ตัวบ้างก็อย่าได้เป็นขุนนางอยู่นานเลย เพื่อไม่เป็นความทุกข์แก่ประชาชน”

“เจ้าโกรธเพียงนี้ ไยไม่แจ้งเรื่องฉ้อโกงเล่า”

ฉินหลิวซีกลอกตามองเขา “เจ้าคิดว่าข้าว่างหรือ อีกอย่างจะบอกว่าโกงอย่างไร ผีเข้าสิงไปสอบแทนหรือ ข้าไปเอ่ยเรื่องลี้ลับที่ทำการสอบ คิดว่าน้ำลายของเหล่าบัณฑิตนั่นเป็นกลิ่นหมึก ให้พวกเขาถุยน้ำลายมาที่ข้าจึงจะพอใจหรือ”

เว่ยเสียสีหน้ารังเกียจ อายุยังน้อย ไยวาจาถึงได้เลอะเทอะเพียงนี้

“เจ้าจะทำร่างให้ข้าอย่างไร ต้องทำตามรูปลักษณ์ของข้านะ ต้องเหมือนด้วย” เว่ยเสียหมุนตัวอยู่ตรงหน้านาง

ฉินหลิวซีหน้าเบื่อหน่าย “ไม่ต้องปักดอกไม้แล้ว ตอนนี้ไม่เป็นที่นิยม”

“ไม่ได้ ปิ่นดอกไม้คือความดื้อรั้นของผู้มีปัญญา เจ้าไม่เข้าใจ” เว่ยเสียถลึงตามอง “เจ้าคิดจะกลับคำหรือ”

เขาถูกนักพรตหลอกแล้วหรือ

ฉินหลิวซีกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่ดึงเถิงเจาก้าวถอยหลังหลบก่อน ทว่าเว่ยเสียนั้นหลบไม่ทัน มีคนทะลุผ่านวิญญาณเขาไป

เว่ยเสีย “…”

ข้าเสียเปรียบนะ

“ท่านพี่ ท่านฟื้นสิ สวรรค์ โรงหมอตระกูลหลินพวกเจ้ารักษาสามีข้าจนแย่แล้ว ยังจะทำร้ายคนอีก ยังมีกฎหมายอยู่หรือไม่” หญิงคนหนึ่งวิ่งโซเซออกมา คุกเข่ากรีดร้องอยู่กับร่างชายคนหนึ่งที่ถูกโยนออกมา “ทุกคนมาดูเถิด ช่วยตัดสิน โรงหมอตระกูลหลินใจดำนี่ รักษาคนจนอาการหนักยังจะสังหารคนปิดปาก ไม่ยุติธรรมยิ่งนัก”

ฉินหลิวซีมองไปยังสีหน้าซีดเซียวสีเทาของชายบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองป้ายตรงหน้า โรงหมอตระกูลหลินหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท