ตอนที่ 266 แคลงใจ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันทีและพึมพำว่า “หน่วยกล้าตายวัยนี้ ไม่แก่ไปหน่อยหรือ”
บุรุษจะมีร่างกายที่แข็งแรงที่สุดในช่วงอายุยี่สิบถึงสามสิบปีและเริ่มถดถอยลงหลังจากนั้น
ตามปกติแล้ว หน่วยกล้าตายจะอยู่ในช่วงวัยนี้มากที่สุด
คนอายุมากนั้นหาได้ยาก เพราะมักจะตายก่อนถึงวัยนั้น
ชายวัยกลางคนที่ตกอยู่ในความตะลึงได้ยินเสียงพึมพำของชายหนุ่ม สีหน้าอดบิดเบี้ยวไม่ได้
เขาถูกรังเกียจหรือนี่
ส่วนสตรีก็อดกระตุกริมฝีปากไม่ได้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองยังรู้จักชายตรงหน้าน้อยเกินไป
ไคหยางอ๋องไม่ได้จงใจว่าคนผู้นี้จริงๆ หรือ
คนเรือก็คือเว่ยหาน ส่วนสตรีก็คือลั่วเซิงปลอมตัวมานั่นเอง
เฉาฮวาสาวใช้หนึ่งในสี่ของท่านหญิงชิงหยางเป็นยอดฝีมือในการแปลงโฉม ครานั้นลั่วเซิงเองก็ได้เรียนรู้พื้นฐานการแปลงโฉมกับเฉาฮวาจากอาจารย์ของนางเช่นกัน
พูดได้เพียงว่าทักษะหลายๆ อย่างยังไม่ถือว่าเป็นพรสวรรค์ ที่บอกว่าเรียนแค่พื้นฐานนั้นก็แค่พื้นฐานจริงๆ
แต่ก็เพียงพอสำหรับการปลอมตัวเป็นซิ่วเย่ว์แล้ว
ซิ่วเย่ว์ปกปิดใบหน้าเดิมไว้เนื่องจากใบหน้าที่เสียโฉม อีกทั้งนางไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน ตราบใดที่พอจะมีเค้าหน้าประมาณหนึ่งก็สามารถหลอกคนอื่นได้แล้ว
สิ่งที่ผู้อื่นจำได้คือมีหอสุรามีแม่ครัวที่เสียโฉมคนหนึ่ง ส่วนแม่ครัวจะมีหน้าตาที่แท้จริงอย่างไรนั้น จะมีใครสนใจเล่า
เมื่อสวมเสื้อผ้าที่ปกติซิ่วเย่ว์ชอบใส่ เกล้าผมแบบที่ซิ่วเย่ว์เกล้าเป็นประจำ ใบหน้ามีรอยแผลเป็นสีดำคล้ำปกคลุมไว้ นั่นก็คืออาซิ่วแม่ครัวของมีหอสุราแล้ว
นี่ก็คือความมั่นใจที่ทำให้ลั่วเซิงมายังแม่น้ำจินสุ่ยแทนซิ่วเย่ว์
ส่วนไคหยางอ๋องนั้น…
ลั่วเซิงมองชายที่ขวางอยู่ข้างหน้านางอย่างลึกซึ้ง
แผ่นไหล่ผึ่งผายและเอวสอบของชายหนุ่มเพิ่งจะละทิ้งแผ่นหลังที่บอบบางของเด็กหนุ่มไป แม้จะยังไม่กว้างและหนาพอ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้สบายใจ
การตกลงให้เว่ยหานตามมาด้วย คือสิ่งที่ลั่วเซิงครุ่นคิดมาอย่างหนัก
อีกฝ่ายระบุชัดเจนว่าอนุญาตให้ซิ่วเย่ว์มาเพียงคนเดียว สถานที่นัดพบยังเป็นแม่น้ำจินสุ่ย ซึ่งขัดขวางความเป็นไปได้ในการพาผู้คนเข้ามาอย่างเปิดเผย
วิธีการทำให้อีกฝ่ายสงสัยได้น้อยที่สุดก็คือการเลือกเพื่อนคนหนึ่งปลอมตัวเป็นคนเรือพา ‘ซิ่วเย่ว์’ มา
เมื่อคำนึงถึงฝีมือการต่อสู้ ลั่วเซิงย่อมไม่จำเป็นต้องปฏิเสธไคหยางอ๋องที่สมัครใจมาเป็นเพื่อน
เขาคือพญายมที่มีใบหน้าเย็นชาซึ่งทำให้ชาวเป่ยฉีหวาดกลัว เขาคือคนที่นางสามารถเลือกได้ว่าจะรับประกันความปลอดภัยของนางได้ดีที่สุด
เว่ยหานนั่งยองๆ เอื้อมมือไปบีบคางของชายวัยกลางคนและตรวจดูอย่างละเอียด พูดเสียงราบเรียบว่า “มีฟันพิษแค่หนึ่งซี่”
ชายวัยกลางคน “…” เหตุใดจึงรู้สึกถูกดูแคลนอีกครั้งนะ
เว่ยหานกลับไม่ได้ตั้งใจจะดูแคลน เพียงแต่ว่าเขาสู้รบกับชาวฉีที่เขตแดนทางเหนือมาหลายปี ทั้งไส้ศึกและหน่วยกล้าตายนับไม่ถ้วน เคยเจอกลอุบายมาทุกรูปแบบจึงติดนิสัยระวังตัว
แต่ว่าคนๆ นี้มีฟันพิษเพียงแค่หนึ่งซี่ อายุก็ค่อนข้างมาก หน่วยกล้าตายคนนี้ไม่ผ่านคุณสมบัติเท่าไหร่จริงๆ
“ว่ามาสิ เสี่ยวชีอยู่ที่ไหน” เว่ยหานรู้ดีว่านี่คือคำถามที่บัดนี้ลั่วเซิงอยากรู้มากที่สุด เขาจึงไม่ได้ถามเรื่องอื่น
ชายวัยกลางคนปิดปากแน่น
“ไม่พูดหรือ” เว่ยหานขมวดคิ้ว
ชายวัยกลางคนมองเขา เช็ดเลือดที่มุมปาก “ตายแล้ว”
ลั่วเซิงหน้าเปลี่ยนสีในทันที “เจ้าพูดอีกครั้งซิ”
มือขนาดใหญ่ข้างหนึ่งจับมือของนางไว้ อบอุ่นทว่าหยาบกร้าน
เสียงของชายหนุ่มอบอุ่นยิ่งกว่าในค่ำคืนหนาวเย็นในปลายฤดูใบไม้ร่วง “ใจเย็นๆ เขาโกหก”
ชายวัยกลางคนชะงักงัน
เว่ยหานพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ในเมื่อเป้าหมายของพวกเจ้าคือต้องการชีวิตแม่ครัวของหอสุรา ก่อนที่จะมั่นใจว่าจะทำสำเร็จหรือไม่นั้นจะไม่ทำร้ายเสี่ยวชีแน่นอน อย่างน้อยก็จะยังไม่เอาชีวิตเขา”
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายจะยื่นเงื่อนไขบางอย่าง และยังเคยคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของซิ่วเย่ว์ แต่ทันทีที่อีกฝ่ายเจอหน้าก็จะเอาชีวิตซิ่วเย่ว์ พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร
คงไม่ใช่เพราะอิจฉากิจการของหอสุราเลยต้องการกำจัดแม่ครัวของหอสุราหรอกนะ
ลองวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลแล้ว แทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลย
มีหอสุราไม่เหมือนกับหอสุราอื่นๆ แม้รสชาติจะทำให้ผู้คนคลั่งไคล้ แต่ราคาก็ตั้งไว้สูงลิ่ว แขกที่มาทานเป็นประจำถึงอย่างไรก็มีจำกัด ไม่กระทบต่อกิจการของหอสุราอื่นๆ อยู่แล้ว
เว่ยหานมองชายวัยกลางคนนิ่ง ใบหน้านิ่งสงบ “ข้าขอแนะนำตัวเสียหน่อย ข้าคือไคหยางอ๋อง”
ชายวัยกลางคนม่านตาหดวูบ
เขาดูออกว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคือไคหยางอ๋อง
ไคหยางอ๋องผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือที่ไม่ได้เก่งกาจแค่ด้านกำลังเท่านั้น
มีเรืออีกลำหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ
ผู้ที่พายเรือเข้ามาคือสืออี้
เว่ยหานชี้ไปที่ชายวัยกลางคน พูดเสียงราบเรียบว่า “สอบปากคำเขาที”
สืออี้ประสานมือ จากนั้นก็หิ้วชายวัยกลางคนออกไปด้วยมือเดียว
เรือที่เข้ามาใกล้ค่อยๆ ไกลออกไปจากสายตาของลั่วเซิง
กระบอกไม้ไผ่วาดผ่านผิวน้ำ ทำให้เกิดระลอกคลื่น
เว่ยหานลุกขึ้น ตรวจสอบเรือลำเล็กที่ชายวัยกลางคนทิ้งไว้อย่างละเอียดรอบคอบ เขาพบเชือกป่านม้วนหนึ่ง หินก้อนหนึ่งและเสื้อผ้าที่ไม่เก่านักชุดหนึ่ง
เสื้อผ้าดูธรรมดามาก จุดประสงค์ของเชือกป่านและหินนั้นไม่ต้องพูดก็เป็นที่รู้กันว่ามีไว้สำหรับถ่วงศพ
ลั่วเซิงเข้าไปใกล้ น้ำเสียงเยือกเย็น “เห็นทีอีกฝ่ายคงหมายเอาชีวิตอาซิ่วตั้งแต่แรก”
เว่ยหานหันไปมองนาง
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงจันทร์และดวงดาว แม่น้ำเต็มไปด้วยแสงไฟ แต่สิ่งที่สว่างกว่านั้นคือดวงตาของเขา
เขามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างตั้งใจ น้ำเสียงซ่อนไว้ซึ่งพลังปลอบประโลมใจ “อย่ากังวลเลย เราจะหาเสี่ยวชีเจอแน่นอน”
ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้บอกว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ
ความเงียบที่จู่ๆ ก็ถาโถมเข้ามาทำให้บรรยากาศรอบๆ เงียบงัน
เสียงแมลงในฤดูใบไม้ร่วงที่ร้องเพลงเบาๆ ซ่อนอยู่ท่ามกลางพืชน้ำผสมผสานกับเสียงเครื่องสายและเครื่องเป่าที่อยู่ห่างไกลออกไป ทำให้เกิดเป็นเสียงบทเพลงราตรีอันเป็นเอกลักษณ์ของแม่น้ำจินสุ่ย
เว่ยหานหลุบตาลง มองมือขาวเนียนที่อยู่ข้างลำตัวของเด็กสาวอย่างลังเลครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ไม่กล้าจับ
คุณหนูลั่วจะโมโหเอา
ลั่วเซิงเพิกเฉยต่อช่วงเวลาใกล้ชิดและเงียบสงบนี้อย่างสิ้นเชิง นางมองเรือลำนั้นที่อยู่ไม่ไกลตาไม่กระพริบ
นางกำลังรอข่าวเสี่ยวชีอย่างใจจดใจจ่อ
ยี่สิบปีก่อน เสี่ยวชีที่อยู่ในผ้าห่อตัวผ่านค่ำคืนนองเลือดมา ตอนนี้หลังจากสิบสองปีผ่านไป หากเสี่ยวชีเป็นอะไรไปเพราะซิ่วเย่ว์ นางคงจะรู้สึกผิดมาก
นางรู้ดีว่า ไม่ว่าเสี่ยวชีหรือซิ่วเย่ว์ล้วนเป็นเพียงอาวุธที่ใช้ในการต่อกรกับนางเท่านั้น
เหตุครั้งนี้พุ่งเป้ามาที่นาง
“ข้าไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย” ผ่านไปนาน ลั่วเซิงถึงพึมพำขึ้น
แม้เว่ยเชียงจะสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของซิ่วเย่ว์ แต่ก็คงไม่ฆ่านางทันทีที่จับตัวได้ นี่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของอีกฝ่าย
หากจะพูดถึงคนที่คุณหนูลั่วทำให้ขัดเคืองนั้นก็มีมากถมไป หากจะแก้แค้นจริงๆ ก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะก่อเรื่องใหญ่โตกับแม่ครัวคนหนึ่ง
ครานี้เอง จู่ๆ เรือประทุนที่อยู่ไม่ไกลลำนั้นก็ขยับและมาถึงข้างหน้าทั้งสองแทบจะในเวลาเพียงพริบตา
“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” เว่ยหานถาม
สืออี้กำหมัดประสานมือ “ได้ความว่าคนผู้นี้คือสารถีของจวนอันกั๋วกงขอรับ”
จวนอันกั๋วกง?
จู่ๆ ก็มีภาพใบหน้าที่คุ้นเคยดวงหนึ่งปรากฎในหัวของลั่วเซิง นั่นก็คือจูหานซวงคุณหนูรองของจวนอันกั๋วกง
ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ นี่คือปฏิกิริยาแรกหลังจากที่นางได้ยินคำพูดของสืออี้
หลังจากนั้น นางก็ฉุกคิดได้อีกอย่างหนึ่ง
ลั่วเซิงมองเว่ยหาน ถอนหายใจในใจ สงสัยมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็เหมือนกับว่าจะรู้สาเหตุแล้ว