ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 267 หาย

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 267 หาย

ช่วงนี้จูหานซวงไปที่มีหอสุราเป็นประจำ สายตาก็มักจะเกาะติดไคหยางอ๋อง เรื่องนี้ลั่วเซิงดูออกชัดเจน

รวมถึงทุกครั้งเวลาที่เจอกันหลังจากที่กลับมาจากทางใต้ อีกฝ่ายจะพูดเหน็บแนมเจาะจงที่นาง ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณหนูลั่วปลดเข็มขัดไคหยางอ๋อง

คุณหนูรองจูชอบไคหยางอ๋อง ชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เดิมนางก็ไม่ได้คิดอะไร ใครจะชอบใคร ใครจะมีใจให้ใคร นี่คือตัวเลือกและอิสระของทุกคน

แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงคือ จูหานซวงจะทำลายชีวิตผู้อื่นเพียงเพราะความอิจฉา

หากเรื่องนี้จูหานซวงเป็นผู้บงการจริงๆ เช่นนั้นนางคงไม่อาจทำเหมือนว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กสาวไม่ประสาเพียงยิ้มแล้วปล่อยผ่านไปได้

“เสี่ยวชีเล่า” แม้เว่ยหานรู้สึกว่าสายตาที่ลั่วเซิงมองเขาแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เขาถามคำถามที่สำคัญที่สุดในยามนี้

“เขาบอกว่าซ่อนเสี่ยวชีไว้บนเรือร้างลำหนึ่งที่จอดอยู่ริมฝั่งขอรับ” สืออี้ตอบ

“ให้เขานำทาง” เว่ยหานข้ามไปที่เรือประทุนที่สืออี้อยู่ หันหลังไปยื่นมือให้ลั่วเซิง

ลั่วเซิงเมินมือข้างนั้น นางลงเรือไปได้อย่างมั่นคง

เว่ยหานหดมือกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองไปที่ชายวัยกลางคนซึ่งอยู่ใต้หลังคาเรือ

ชายวัยกลางคนดูไม่มีบาดแผลภายนอก สีหน้ากลับซีดเผือดราวกับผี เหมือนกับถูกจับขึ้นมาจากน้ำเย็นจัดในฤดูหนาว

ลั่วเซิงอดมองสืออี้ไม่ได้

นางยังจำตอนที่อยู่ฐานล่าสัตว์เป่ยเหอได้ องครักษ์ประจำตัวของไคหยางอ๋องคนนี้ซื่อตรงและสุภาพเพียงใด ตอนที่ทุกคนตั้งวงกันกินข้าว แม้แต่เนื้อกวางที่ถูกย่างจนส่งกลิ่นหอมก็ไม่สามารถทำให้เขาวอกแวกได้

ที่แท้เขาไม่ใช่คนซื่อตรง แต่อ่อนน้อมถ่อมตนต่างหาก

“เรืออยู่ที่ไหน” เว่ยหานถาม

ชายวัยกลางคนหนังตากระตุก ชี้นิ้วออกไปอย่างยากลำบาก “อยู่ริมฝั่งตรงข้ามของบึงอ้อนี้”

เมื่อมองไป เห็นเงาเลือนรางริมฝั่ง มีเรืออยู่ที่นั่น

สืออี้พายเรือไปทางนั้น

“เจ้าคือสารถีของจวนอันกั๋วกงหรือ”

ชายวัยกลางคนพยักหน้า

เว่ยหานยิ้มน้อยๆ “แค่สารถีคนหนึ่งต้องซ่อนพิษไว้ในฟันด้วยหรือ”

หากสารถีของจวนอันกั๋วกงมีความสามารถเพียงครึ่งหนึ่งของหน่วยกล้าตาย เช่นนั้นจวนอันกั๋วกงก็คงน่าสนใจไม่เบา

ที่บอกว่าครึ่งหนึ่งของหน่วยกล้าตาย เพราะว่าเว่ยหานพบว่าคนผู้นี้ยอมแพ้ต่อการสอบสวนเร็วกว่าหน่วยกล้าตายที่แท้จริงมาก ดูเหมือนเป็นหน่วยกล้าตายที่ไม่ผ่านเกณฑ์และถูกทอดทิ้ง หรือไม่เขาก็ห่างไกลจากชีวิตแบบนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้เขาสูญเสียทักษะไป

“ก่อนจะเป็นสารถี เจ้าทำอะไรหรือ”

ชายวัยกลางคนทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา

เว่ยหานมองเขา น้ำเสียงราบเรียบ “ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว”

ชายวัยกลางคนสีหน้าพลันเปลี่ยน คิ้วข้างหนึ่งกระตุกอย่างไม่รู้ตัว

ในที่สุดเขาก็ปริปาก “ก่อนหน้านี้ข้าเป็นจอมยุทธ์พเนจรผู้หนึ่ง…”

เว่ยหานหลุดหัวเราะออกมา “จอมยุทธ์พเนจรไม่ได้เป็นอย่างเจ้า เห็นทีการสอบปากคำเมื่อครู่นี้จะยังไม่พอ”

ชายวัยกลางคนสีหน้าเปลี่ยน ในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับสายตาหยอกเย้าของอีกฝ่าย เอ่ยอย่างยากลำบากว่า “ข้าเคยเป็นนักฆ่า เมื่อแปดปีก่อนข้าออกปฏิบัติภารกิจแล้วบาดเจ็บหนัก ถูกคนของจวนอันกั๋วกงช่วยเอาไว้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย แต่มาเป็นสารถีของจวนอันกั๋วกง”

“ผู้ที่สั่งให้เจ้าลักพาตัวเสี่ยวชีและฆ่าแม่ครัวก็คือคนที่เคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ตอนนั้นหรือ” จู่ๆ ลั่วเซิงก็เอ่ยถามขึ้น

ชายวัยกลางคนปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ใช่!”

ลั่วเซิงสบตาเว่ยหาน

เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ปกป้องผู้มีพระคุณ

“เช่นนั้นคือใคร” ลั่วเซิงถามต่อ

ชายวัยกลางคนหลุบตาลง พูดออกมาว่า “คุณหนูรองของจวนอันกั๋วกง”

ลั่วเซิงยิ้มหยัน “นางจริงๆ ด้วย”

เว่ยหานอดมองนางไม่ได้ คิดในใจว่าลั่วเซิงฉลาดเพียงนี้ นางคงเดาได้ว่าคือคุณหนูรองของจวนอันกั๋วกงนานแล้ว

คุณหนูรองจวนอันกั๋วกง

เว่ยหานพยายามคิด สถานการณ์บางอย่างแวบผ่านในหัว

คิดออกแล้ว วันนั้นดื่มสุราเสร็จออกมาจากหอสุราเจอเด็กสาวมาถามว่าเขาซื้อดอกพุดตานจากที่ไหน

หญิงสาวคนนั้นแนะนำตัวเอง บอกว่านางคือคุณหนูรองของจวนอันกั๋วกง

ตอนนั้นก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของคุณหนูรองผู้นั้นแปลกๆ…

“ท่านอ๋องเองก็เดาออกแล้วใช่หรือไม่”

เว่ยหานลังเลครู่หนึ่ง

อันที่จริงเขาเดาไม่ออก

แม้พฤติกรรมและวาจาของเด็กสาวจะดูประหลาด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดออกทันทีว่านางจะคร่าชีวิตผู้อื่น

ทว่าคุณหนูลั่วเดาได้ตั้งนานแล้ว หากเขาปฏิเสธ…เหมือนกับว่าจะดูโง่เขลาอยู่บ้าง

ลั่วเซิงมองความลังเลของเว่ยหานเป็นการยอมรับ นางเม้มปากเล็กน้อย ถามชายวัยกลางคนว่า “คุณหนูรองจูเล่า รอข่าวของเจ้าอยู่ที่จวนกั๋วกงหรือ”

ชายวัยกลางคนพยักหน้า

ลั่วเซิงยิ้มหยัน “เห็นที ผู้ที่ช่วยเจ้าไว้ท่านนั้นของจวนอันกั๋วกงคงมีสถานะไม่ธรรมดา”

ลั่วเซิงเก็บรายละเอียดสีหน้าทุกอย่างของชายวัยกลางคนไว้ เบ้ปากพูดว่า “คงไม่ใช่อันกั๋วกงหรือฮูหยินจวนอันกั๋วกงหรอกนะ”

หากผู้ที่ช่วยชีวิตชายวัยกลางคนไว้เป็นเพียงคนใช้ของจวนอันกั๋วกง ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่คนใช้ที่เป็นที่ไว้ใจของจวนอันกั๋วกงจะมอบหมายงานสารถีให้ แต่การทำให้คุณหนูรองจูสังเกตเห็นสารถีและความสามารถของเขา สถานะของผู้ที่ช่วยชีวิตคนผู้นี้ไว้เกรงว่าก็คงไม่ธรรมดา

ชายวัยกลางคนไม่ได้ตอบคำถามของลั่วเซิง

ลั่วเซิงยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก “เจ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเสี่ยวชี”

ขณะที่พูดเช่นนี้ เรือก็เข้าฝั่งแล้ว

ริมฝั่งแม่น้ำมีเรือจำนวนหนึ่งจอดอยู่ มีทั้งลำใหญ่และลำเล็ก อาศัยแสงสลัวๆ จะเห็นได้ว่าเรือเหล่านั้นล้วนเป็นเรือที่ถูกทิ้งร้าง และตัวเรือบางส่วนก็ผุพังไปแล้ว

“ลำไหน” เว่ยหานปริปากถาม

ชายวัยกลางคนชี้ไป “เรือประทุนที่ใหญ่ที่สุดลำนั้น”

“ดูเขาดีๆ” เว่ยหานสั่งสืออี้แล้วลงจากเรือ

ลั่วเซิงยกกระโปรงขึ้นแล้วเดินตามไป

เว่ยหานเหลือบมองนาง

“ข้าไปด้วย”

เว่ยหานพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “ระวังลื่น”

ชายฝั่งเปียกแฉะและเป็นโคลน เหยียบไปแล้วรู้สึกนิ่ม ชวนให้หัวใจเต้นตึกตัก

เว่ยหานถือตะเกียงน้ำมัน ส่องไปที่เรือลำนั้น

ตัวเรือมีรอยด่าง กลิ่นอับชื้นและผุพังลอยมาเตะจมูก

ตามที่ชายวัยกลางคนพูด เสี่ยวชีอยู่ข้างในนี้

เว่ยหานไม่ได้รีบร้อนเข้าไปในเรือ แต่อาศัยแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันสอดส่องอย่างพินิจพิเคราะห์ เมื่อสายตาหยุดอยู่ที่บริเวณหนึ่งของท้องเรือ สายตาของเขาก็จ้องนิ่ง

ตัดสินจากประสบการณ์แล้ว นั่นคือรอยเลือดที่แห้งไปแล้ว

“รอข้าที่นี่” เว่ยหานเอ่ยจบก็รีบมุดเข้าไปใต้หลังคา

ห้องใต้หลังคานั้นไม่มีสิ่งของกองขวางจึงดูว่างเปล่าอย่างยิ่ง

พื้นเรือมีเชือกตกอยู่และยังมีรอยเลือดกองหนึ่ง

เว่ยหานหยิบเชือกขึ้นมาดูแล้วออกไป

“เสี่ยวชีไม่อยู่ข้างในหรือ” แม้ลั่วเซิงรออยู่ข้างนอกไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน แต่ก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี

เว่ยหานส่ายศีรษะ “เสี่ยวชีไม่อยู่ ข้างในมีเชือกที่ถูกตัดขาดและรอยเลือด”

ลั่วเซิงสีหน้าพลันเปลี่ยน รับตะเกียงน้ำมันจากมือเว่ยหานเดินเข้าไปตรวจดูห้องใต้หลังคา

รอยเลือดบนพื้นเรือน่าตกใจเป็นพิเศษ

มือที่ถือตะเกียงน้ำมันสั่นคลอน ลั่วเซิงรีบเดินกลับไปคว้าคอเสื้อของชายวัยกลางคนแล้วถามว่า “เสี่ยวชีเล่า ไหนบอกว่าซ่อนเขาไว้ที่นี่ เหตุใดตอนนี้ข้างในมีเพียงรอยเลือด ไม่มีคน”

ชายวัยกลางคนสีหน้าตื่นตะลึงอย่างมิอาจปกปิดได้ “ไม่มีทาง ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงข้าคนเดียว ข้าเป็นคนป้อนยาสลบให้เสี่ยวชีแล้วมัดเขาไว้ที่นี่…”

ลั่วเซิงได้ยินดังนั้น มือที่คว้าคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ก็คลายออกอย่างกะทันหันและล้วงเข้าไปในเสื้อของเขา

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท