ตอนที่ 270 คุ้นตา
“ข้าน้อยเดาว่าเด็กหนุ่มที่กระโดดลงแม่น้ำน่าจะเป็นเสี่ยวชีก็เลยกระโดดลงไปช่วยเขา ครานั้นน้ำไหลเชี่ยว เพียงพริบตาก็ไม่เห็นร่องรอยของเด็กหนุ่มแล้ว ข้าน้อยจึงว่ายออกไปกว่าร้อยจั้งตามหาอยู่นานก็เห็นเด็กหนุ่มถูกซัดขึ้นฝั่ง ข้าน้อยคิดว่าเขาคงไม่ไหวแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังมีลมหายใจก็เลยตระเตรียมทุกอย่างแล้วมารายงานขอรับ”
ลั่วเซิงตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น
“เสี่ยวชีบาดเจ็บตรงไหน”
“หัวไหล่ขอรับ” สือหั่วยืนประสานมือไว้ข้างล่าง ตอบอย่างละเอียดว่า “เป็นแผลจากดาบ แผลลึกมาก แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตแต่ก็คงเสียเลือดไปมาก ซ้ำร้ายยังตกน้ำ อาการเลยค่อนข้างแย่…”
เว่ยหานเหลือบมองสือหั่ว
อธิบายละเอียดขนาดนี้ ต้องการให้คุณหนูลั่วเป็นห่วงหรือ
สือหั่วหุบปากในทันที อดชายตามองลั่วเซิงเพราะความสงสัยไม่ได้
ได้ยินน้องสามพูดถึงคุณหนูลั่วมานานแล้ว ว่ากันว่านางเป็นคนในดวงใจของนายท่าน
เดิมเขาไม่เชื่อเรื่องนี้ ถึงอย่างไรน้องสามก็ไม่เคยเชื่อถือได้สักครั้ง หากน้องสี่เป็นคนพูดยังพอเชื่อได้บ้าง
ทว่าดูจากวันนี้ ในที่สุดก็เชื่อน้องสามได้สักครั้งเสียที
นายท่านใส่ใจคุณหนูลั่วจริงๆ
“คนที่กระโดดลงไปตามเสี่ยวชีเล่า” ลั่วเซิงถามขึ้นอีกครั้ง
สือหั่วหลุบตาลงพูดว่า “ครานั้นเราแยกย้ายกันไปตามหาคน ตอนที่เสี่ยวชีกระโดดลงแม่น้ำมีเพียงข้าอยู่ที่นั่นคนเดียว ไม่มีเวลาสนใจคนๆ นั้นขอรับ”
แม่น้ำจินสุ่ยไม่เล็ก ท้ายที่สุดแล้วกำลังคนที่สามารถหาคนได้นั้นก็มีจำกัด
แม้จวนไคหยางอ๋องจะมีทหาร แต่การใช้กำลังจำนวนมากหาคน ผู้ที่ตื่นตระหนกก็คงไม่ได้มีเพียงสามัญชนแล้ว
ลั่วเซิงยืนฟังเงียบๆ จับถุงเงินที่ผูกไว้บริเวณเอวเบาๆ
ในถุงเงินมีขวานไม้ท้อขนาดเล็กเล่มหนึ่ง
คนที่กระโดดตามเสี่ยวชีลงไปคือผู้ใดกันนะ
บาดแผลจากดาบบนไหล่ของเสี่ยวชี บอกได้ว่าคนๆ นั้นเป็นศัตรูไม่ใช่มิตร
ลั่วเซิงมองไปยังประตูที่ปิดแน่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แม้ตอนที่เสี่ยวชีถูกพบจะยังมีลมหายใจ แต่ก็เสียเลือดมากซ้ำยังตกน้ำ เขาจะไม่เป็นอะไรจริงๆหรือ
ด้านข้างมีคนเข้ามาใกล้
“อย่ากังวลเกินไปเลย มีหมอเทวดารักษา เสี่ยวชีต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ลั่วเซิงหันไปมองชายที่ยืนอยู่ข้างกาย
เว่ยหานพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าตรวจสอบมาแล้ว หลายปีมานี้ตราบใดที่หมอเทวดาตกลงว่าจะช่วยรักษา ผู้ป่วยล้วนมีชีวิตอยู่ต่อ”
ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ
ทั้งสองยืนอยู่ที่ชานระเบียงด้านนอก ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดประตูก็เปิดออก
“หมอเทวดา เสี่ยวชีเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
มองดูผู้คนที่ล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็ว หมอเทวดาหลี่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เสียเลือดมากไปเล็กน้อย หลังจากนี้ให้เขากินอาหารย่อยง่ายและบำรุงเลือดให้มากและเปลี่ยนยาให้ตรงเวลา”
ซิ่วเย่ว์โล่งอก มองลั่วเซิงแล้วเผยรอยยิ้มออกมา “คุณหนู เสี่ยวชีไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ!”
หมอเทวดาหลี่มองซิ่วเย่ว์พลางขมวดคิ้ว นานๆ ทีจะพูดเสริมว่า “เจ้าวางใจ เด็กๆ เต็มไปด้วยพลังสามารถฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บสาหัสได้เร็วกว่าผู้ใหญ่”
ซิ่วเย่ว์ตกตะลึงกับการสนทนาอย่างกะทันหันของหมอเทวดาหลี่
หมอเทวดาหลี่ที่ลือกันว่าไม่ไว้หน้าแม้แต่เชื้อพระวงศ์อย่างไคหยางอ๋องและผิงหนานอ๋องกลับมาสนทนากับแม่ครัวตัวน้อยๆ คนหนึ่งอย่างนาง?
จะให้บอกว่าประหลาดใจกับการได้รับความสำคัญอย่างไม่คาดฝันคงไม่ได้ ถึงอย่างไรในฐานะที่เป็นสาวใช้ของท่านหญิง ความหยิ่งในศักดิ์ศรีย่อมมี แต่ประหลาดใจน่ะเป็นเรื่องจริง
“ขอบคุณหมอเทวดาหลี่เจ้าค่ะ” หลังจากซิ่วเย่ว์ประหลาดใจแล้วก็รีบเอ่ยขอบคุณ
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า “ข้าฝังเข็มให้เขาแล้ว ประเดี๋ยวน่าจะตื่นขึ้นมาได้ช่วงสั้นๆ พวกเจ้าเข้าไปดูได้แล้ว”
ลั่วเซิงและซิ่วเย่ว์เดินเข้าไปพร้อมกัน
เว่ยหานตามเข้าไปเงียบๆ
มองดูประตูห้องที่ปิดลงอีกครั้ง หมอเทวดาหลี่ที่ลูบเครายืนอยู่ที่ระเบียง สายตาเต็มไปด้วยความดูแคลน
ไคหยางอ๋องเจ้าหุ่นไม้นี่ไม่มองตนเองเป็นคนนอกเลยหรือ เห็นนังหนูสกุลลั่วเข้าไปก็เดินตามเข้าไปด้วย
คนหนุ่มสาวนี่นะ…
ไม่รู้ว่าหมอเทวดาหลี่คิดถึงเรื่องอะไร เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังจากไปไกล
ในห้องตกแต่งเรียบง่าย มีตั่งตัวเตี้ยวางชิดผนัง เสี่ยวชีนอนอยู่บนนั้น
บางทีอาจเป็นเพราะเสียเลือดมากเกินไป เด็กหนุ่มที่มีผิวค่อนข้างดำคล้ำบัดนี้จึงดูขาวซีดไม่น้อย ดูอ่อนแอและน่าสงสาร
ซิ่วเย่ว์ซับหางตาเบาๆ เรียกเสียงเบาว่า “เสี่ยวชี…”
ขนตาของเด็กหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
สิ่งที่เขาเห็นเป็นสิ่งแรกคือใบหน้าที่แสดงความเป็นห่วงของซิ่วเย่ว์
เด็กหนุ่มกะพริบตา สายตาที่เลือนรางเริ่มชัดเจน “ท่านอา?”
“เสี่ยวชี เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” ซิ่วเย่ว์จับมือของเสี่ยวชีไว้
มือของเด็กหนุ่มเย็นเล็กน้อย ทำให้ซิ่วเย่ว์ไม่สบายใจ
“ท่านอา เหตุใดท่านจึงร้องไห้เล่า” เสี่ยวชีมองซิ่วเย่ว์ที่ดวงตาแดงก่ำก็ฉีกยิ้มพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร ท่านอา ข้าหิวแล้ว…”
ขณะที่กำลังพูดใบหน้าของเขาก็เหยเกเพราะบาดแผล
เจ็บน่ะก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ ลืมตายังไม่ค่อยได้ แต่ว่าเมื่อก่อนเขาบาดเจ็บบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
จะให้ท่านอาเป็นห่วงไม่ได้
ขณะที่เสี่ยวชีคิดเช่นนี้ จู่ๆ ก็เห็นว่าลั่วเซิงเองก็อยู่ที่นี่ด้วย
“เป็นอย่างไรบ้าง” ลั่วเซิงถามด้วยความสงบ
“ไม่เป็นไรขอรับ…”
“ต้องบอกมาตามตรง แบบนี้หมอจะได้รักษาอาการของเจ้าได้”
“เจ็บเล็กน้อย ไหล่เจ็บ ปวดหัวด้วย เหมือนกับว่าขยับร่างกายไม่ค่อยได้…” เสี่ยวชีพูดเสร็จก็รีบปลอบซิ่วเย่ว์ “ท่านอาอย่ากังวลเลย เมื่อก่อนข้าบาดเจ็บก็ล้วนหายเร็วมาก ครั้งนี้ก็ไม่เป็นไรขอรับ”
“เสี่ยวชี เล่าเรื่องหลังจากที่เจ้าออกจากสถานศึกษาให้ฟังหน่อยได้หรือไม่”
เสี่ยวชีขมวดคิ้วย้อนคิด
อาจจะเป็นเพราะเพิ่งฟื้น สมองยังสับสนเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นว่า “ตอนบ่ายข้าวิ่งไปห้องน้ำหลายครั้ง พบว่ากระดาษชำระที่เอามาไม่พอก็เลยขอลาอาจารย์กลับมาหอสุรา ใครจะไปรู้ว่าออกจากโรงเรียนได้ไม่นานก็ถูกคนถามทางคนหนึ่งลักพาตัว ตื่นมาอีกที ข้าก็พบว่าตนเองถูกมัดไว้บนเรือลำหนึ่ง ในปากยังถูกยัดด้วยของบางอย่างทำให้ข้าพูดไม่ได้ ดีที่ตอนที่คนๆ นั้นลงมือข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงซ่อนมีดแกะสลักที่ติดตัวไว้ในมือ…”
พูดถึงตรงนี้ เสี่ยวชีก็หัวเราะแหะๆ “เถ้าแก่ ท่านอา ข้าฉลาดใช่หรือไม่”
เว่ยหานที่ถูกเมินเฉย “…”
“เสี่ยวชีของเราฉลาดจริงๆ” ซิ่วเย่ว์ขยี้ศีรษะของเสี่ยวชี พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แล้วจากนั้นเล่า”
“ข้ามองออกไปข้างนอกจากช่องหลังคาเรือ พบว่าฟ้ามืดแล้ว คิดว่าพี่ใหญ่ไม่เจอข้าคงร้อนใจแน่ๆ ข้าก็เลยใช้มีดแกะสลักตัดเชือกที่มัดมือทั้งคู่ออก จากนั้นจู่ๆ ข้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เบามาก ม่านของเรือประทุนถูกเปิดออก มีคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา…” สีหน้าของเสี่ยวชีดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ซิ่วเย่ว์ปลอบประโลมด้วยการตบหลังมือของเขาเบาๆ “เสี่ยวชีไม่ต้องกลัว เจ้าปลอดภัยแล้ว”
เสี่ยวชีสงบอารมณ์ลงเล็กน้อย พูดต่อไปว่า “คนๆ นั้นมองข้า จากนั้นก็ชักดาบสั้นออกมาตวัดมาที่คอของข้า ชั่วจังหวะนั้นข้าตัดเชือกขาดพอดีก็เลยหลบสุดชีวิตและฉวยโอกาสตอนที่เขาตกใจผลักเขาและวิ่งออกไป ข้าได้ยินเสียงว่าเขาไล่ตามมาข้างหลัง ครานั้นข้าคิดเพียงแต่จะหนีคนผู้นี้ไปให้ไกล จนวิ่งลงไปในน้ำ…”
แค่ฟังแบบนี้ก็รับรู้ถึงความผิดหวังและความหวาดกลัวของเด็กหนุ่มได้
ลั่วเซิงสบตาซิ่วเย่ว์ รู้สึกผิดอย่างมิอาจปิดบังได้
ซิ่วเย่ว์พูดปลอบประโลมว่า “เสี่ยวชี ไม่ต้องคิดมากแล้ว เจ้านอนก่อนเถอะ มันผ่านไปแล้ว”
เสี่ยวชีพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนจะหลับตาลง ทว่าจู่ๆ ก็พลันลืมตาขึ้น พูดอย่างลังเลว่า “เถ้าแก่ ท่านอา ผู้ที่จะสังหารข้าคนนั้น ข้าเห็นแล้วคุ้นตามากเลยขอรับ…”