ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 274 นัดพบ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 274 นัดพบ

วันต่อมาฟ้าเพิ่งสว่าง อันกั๋วกงกำลังนอนหลับสบายก็ได้รับจดหมายที่ลูกน้องผู้ภักดียื่นมาให้

ไคหยางอ๋องนัดพบเขา

อันกั๋วกงสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

เขาและไคหยางอ๋องไม่ได้สนิทกันมากนัก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่อยาก แต่ความจริงคือท่านอ๋องท่านนั้นไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดด้วยง่าย

ตามปกติแล้ว หากไม่ได้สนิทกันแล้วเชื้อเชิญไปดื่มชาต้องเป็นเพราะมีเรื่อง ตามประสบการณ์แล้วส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องร้าย

อันกั๋วกงเร่งเดินทางมาถึงโรงน้ำชาที่นัดพบแต่เช้าด้วยการคาดเดาเช่นนี้

เขาถูกเสี่ยวเอ้อร์พาเข้าไปในห้องรับรอง คนที่นัดพบเขายังไม่มา

เมื่ออันกั๋วกงดื่มชาถึงจอกที่สอง เงาร่างสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู

เขาอดลุกขึ้นไม่ได้ เอ่ยทักทายอย่างเกรงใจว่า “ท่านอ๋อง”

เว่ยหานมองเข้าไปข้างใน สายตาหยุดอยู่ที่อันกั๋วกง

อันกั๋วกงมีอายุสี่สิบกว่า ศีรษะล้านและอ้วนท้วน ไม่ว่าจะเป็นศีรษะที่ใสแจ๋วหรือหน้าท้องที่ยื่นออกมาล้วนดึงดูดสายตาผู้คนได้ดี

เว่ยหานเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “ท่านกั๋วกงมาเร็วจริงๆ”

เขาต่างจากชายหนุ่มที่มีสีหน้าอ่อนโยนและดวงตาสุกใสยามดื่มสุราสองสามกาในมีหอสุรายิ่ง เสียงของไคหยางอ๋องที่ยืนอยู่ตรงหน้าอันกั๋วกงนั้นเยือกเย็น ชุดสีดำทั้งร่างทำให้สีหน้าของเขายิ่งเยือกเย็น

ดวงตาคู่นั้นเปรียบเสมือนดวงดาวที่จมอยู่ในแอ่งน้ำอันเยือกเย็น ทั้งเย็นชาและชัดเจน

อันกั๋วกงข่มความไม่สบายใจเอาไว้ เดินขึ้นไปต้อนรับและยิ้มให้ “ท่านอ๋องนัดพบ ข้าน้อยย่อมมิบังอาจเพิกเฉย”

ด้วยตำแหน่งแล้ว อันกั๋วกงเป็นหนึ่งในสี่กั๋วกงซึ่งเป็นขุนนางที่มีศักดิ์อันดับต้นๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าไคหยางอ๋องเขาก็ไม่กล้าถือดีขนาดนั้น

ไคหยางอ๋องไม่ใช่ท่านอ๋องธรรมดาๆ คนหนึ่ง นอกจากเขาจะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แล้ว ยังมีอิทธิพลมหาศาลต่อกองกำลังทางเหนืออีกด้วย

ทั้งสองนั่งลง อันกั๋วกงรินน้ำชาให้จอกหนึ่งแล้วยื่นไปให้ “ท่านอ๋องดื่มชา”

เว่ยหานรับจอกชามาแล้วจิบเบาๆ

“ท่านอ๋องนัดพบข้าน้อย ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ” อันกั๋วกงยิ้มถาม

เว่ยหานวางจอกชาลง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “จวนท่านมีคนผู้หนึ่งไม่ได้กลับไปทั้งคืน ท่านกั๋วกงรู้หรือไม่”

อันกั๋วกงม่านตาหดลงในทันที

มีคนๆ หนึ่งไม่ได้กลับจวนทั้งคืน?

หรือว่าเจ้ารองออกไปดื่มที่หอนางโลมอีกแล้วนะ

ไม่สิ เมื่อคืนเขายังเรียกเจ้ารองมาอบรมที่ห้องหนังสือยกหนึ่งอยู่เลย

หรือว่าจะเป็นบุตรชายคนโต?

ก็ไม่น่าจะใช่ ในเรื่องนี้แล้ววางใจเจ้าใหญ่ได้

อันกั๋วกงคิดถึงบุตรชายทั้งสองก่อนจะวางใจลง

“ข้าน้อยละอายใจ คิดไม่ออกว่าผู้ใดไม่ได้กลับมาทั้งคืน”

“สารถีท่านหนึ่งของจวนท่าน” เว่ยหานหลุบตาลงดื่มชาคำหนึ่ง เอ่ยต่อไปท่ามกลางความตกตะลึงของอันกั๋วกง “สารถีท่านนี้ของจวนท่านมีประวัติน่าสนใจ เขาไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลผู้รับใช้จวนกั๋วกง แต่คือคนที่ถูกคนของท่านช่วยไว้เมื่อแปดปีก่อนและรับเขาเข้ามาทำงานในจวน”

อันกั๋วกงยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ แต่ในใจกลับมีคลื่นซัดโหม

สารถีผู้นี้ต้องก่อเรื่องไว้แน่ๆ และไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย ไม่เช่นนั้นไคหยางอ๋องคงไม่พูดถึงอย่างไร้สาเหตุ

ไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลผู้รับใช้จวนกั๋วกง แต่ถูกเรียกเข้ามาทำงาน เจ้าคนสมควรตายคนไหนกล้าทำเรื่องแบบนี้กัน!

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอันกั๋วกง เว่ยหานก็ยิ้มเอ่ย “เห็นทีท่านกั๋วกงก็คงไม่รู้ว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของสารถีคือผู้ใด”

“คือผู้ใด” ขณะที่ถามคำถามนี้ ใบหน้าอันกั๋วกงปรากฏความอับอาย

โชคดีที่เขาศีรษะโล้นและอ้วนท้วน ดูไปแล้วเหมือนคนเป็นมิตร ถึงครานี้ก็ยังไม่เห็นปฏิกิริยารุนแรงใดๆ

“ชายาเอกของท่าน” เว่ยหานเอ่ยเสียงเย็นสั้นๆ อย่างไม่เกรงใจ

สีหน้าอันกั๋วกงเปลี่ยนไปกะทันหัน

คิดไม่ถึงว่าคือฮูหยินของเขา

ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาก็คือ จบกันแล้ว ถูกสวมเขา! ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่เขาธรรมดาด้วย ไม่เช่นนั้นเหตุใดต้องให้ไคหยางอ๋องมาตำหนิเขาเรื่องนี้เล่า

ความอับอาย ความโมโห ความสงสัย…อารมณ์มากมายโหมกระหน่ำในใจของอันกั๋วกง ทำให้เขาแทบอยากจะกระโดดขึ้นมาพุ่งตัวกลับจวนไปถามฮูหยินอันกั๋วกงให้รู้แล้วรู้รอด

แต่สุดท้ายก็ยังมีสติอยู่ อันกั๋วกงสงบอารมณ์ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ท่านอ๋องตรวจสอบได้เรื่องว่าอย่างไรบ้างหรือ”

เว่ยหานรู้สึกว่าปฏิกิริยาของอันกั๋วกงนั้นรุนแรงไปเล็กน้อยจึงมองเขานิ่ง

อันกั๋วกงจับแขนเสื้อเว่ยหานในทันที “ท่านอ๋อง ท่านมิต้องไว้หน้าข้า ไม่ว่าตรวจสอบอะไรได้โปรดบอกตามความจริง ข้า… ข้ารับไหว!”

แม้จะอับอายเพียงใดก็ดีกว่าโง่งมไปตลอดชีวิต

หากรู้เรื่องแล้ว เขาจะต้องจัดการชายหญิงสุนัขดีๆ อย่างแน่นอน!

สายตาของเว่ยหานเลื่อนลงไปมองมือที่จับแขนเสื้อของเขาไว้อย่างมีความนัย

เหมือนกับว่าอันกั๋วกงจะเข้าใจผิด

คนผู้นี้… ไม่เชื่อใจฮูหยินตนเองเช่นนี้เลยหรือ

อันกั๋วกงไม่เห็นเว่ยหานปริปากเสียที ใจก็หล่นลงไปที่ตาตุ่ม “ท่านอ๋อง โปรดบอกข้าเถอะ!”

“ท่านกั๋วกงปล่อยมือก่อน”

อันกั๋วกงตั้งสติได้ “เอ้อ”

เว่ยหานดื่มชาคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะพูดว่า “สารถีของจวนท่านเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน”

อันกั๋วกงสะดุ้งเกือบจะล้มลงจากเก้าอี้ พูดปากสั่นว่า “ท่านอ๋องโปรดพูดต่อ”

“ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แค่บุตรสาวของท่านสั่งให้สารถีท่านนี้ไปลักพาตัวหลานชายของแม่ครัวหอสุรา ต้องการฉวยโอกาสนี้สังหารแม่ครัวทิ้ง…”

“ช้าก่อน!” อันกั๋วกงอดพูดแทรกขึ้นไม่ได้ “เหตุใดจึงไปเกี่ยวโยงบุตรสาวข้าอีกเล่า”

เว่ยหานมองอันกั๋วกงอย่างประหลาดใจ “บุตรสาวของท่านคือคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้อง”

“แล้วฮูหยินข้า…”

เว่ยหานขมวดคิ้ว “ข้าแค่พูดถึงประวัติของสารถีให้ชัดเจนเท่านั้น”

อันกั๋วกงถอนหายใจโล่งอก

สองเรื่องนี้เปรียบเทียบกันแล้วเรื่องหลังย่อมเบากว่า เทียบกับการเป็นคนโดนสวมเขาแล้ว บุตรสาวก่อเรื่องย่อมดีกว่ามาก

อันกั๋วกงสงบอารมณ์ลง เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ไม่ใช่ข้าน้อยปกป้องบุตรสาว แต่ข้าน้อยคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดบุตรสาวต้องทำเช่นนี้”

บุตรสาวของเขาไม่โง่เสียหน่อย อยู่ดีไม่ว่าดีไปสังหารแม่ครัวคนอื่นเขาทำไมกัน

ไม่สิ บุตรสาวบอบบางคนหนึ่งของเขา จะคิดถึงเรื่องสังหารคนที่น่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร

ความสงสัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“ข้าเองก็คิดไม่ออก แต่ความจริงคือบุตรสาวของท่านทำเช่นนี้จริงๆ สารถีจวนท่านอยู่กับข้า…” เว่ยหานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟังคร่าวๆ เรื่องที่เสี่ยวชีถูกอีกคนหนึ่งลงมือสังหารย่อมไม่เอ่ยถึง

เอ่อ คุณหนูลั่วบอกว่าที่คุณหนูรองจูทำเช่นนี้เป็นเพราะเขาก็ไม่กล่าวถึงเช่นกัน

อันกั๋วกงได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงันไป

ซวงเอ๋อร์สั่งให้คนลักพาตัวหลานชายของผู้อื่นไป บังคับให้อีกฝ่ายออกมาที่แม่น้ำจินสุ่ยคนเดียว เมื่อเจอหน้าก็จะฆ่าทันที?

นี่คือสิ่งที่บุตรสาวร่าเริงน่ารักคนนั้นกระทำหรือ

ที่สำคัญคือ เหตุใดไคหยางอ๋องจึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เว่ยหานให้คำตอบในเวลาต่อมา “ข้ากินอาหารของมีหอสุราจนชินแล้ว ข้าไม่อยากไม่มีข้าวกินในอนาคต”

อันกั๋วกงคิดถึงไคหยางอ๋องที่ไปทานอาหารที่มีหอสุราทุกวันโดยไม่คำนึงถึงราคา และคิดถึงความเอร็ดอร่อยของอาหารหอสุราก็เชื่อในทันที

อันกั๋วกงที่ยอมรับความโหดร้ายนี้ดวงตาเบิกกว้าง

แย่แล้ว ปล่อยให้ลูกทรพีนั่นก่อเรื่องแบบนี้ นอกจากจะทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วขุ่นเคืองแล้ว ยังทำให้ไคหยางอ๋องขุ่นเคืองด้วย

หากทั้งสองคนนั้นออกโรงพร้อมกัน จวนอันกั๋วกงต้องเดินตามรอยอำมาตย์เฉินไม่ช้าก็เร็วแน่ๆ

เว่ยหานไม่สนใจสีหน้าย่ำแย่ของอันกั๋วกง เขายกจอกชาขึ้น “สารถีจวนท่านก็ไว้ที่ข้าชั่วคราว ส่วนบุตรสาวของท่าน… หวังว่าท่านกั๋วกงจะให้คำอธิบายแก่ข้าและแม่ทัพใหญ่ลั่วได้”

อันกั๋วกงค่อยๆ ลุกขึ้น พยายามรักษาความสงบพูดว่า “ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะจัดการเรื่องภายในให้ดี”

เว่ยหานยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ท่านกั๋วกงเดินทางปลอดภัย”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท