ตอนที่ 287 ต้าไป๋มาแล้ว
เซียวกุ้ยเฟยอึ้ง จากนั้นก็ยิ้ม “ไม่ต้องหรอกเพคะ การที่หม่อมฉันส่งคนในวังออกไปซื้อเดือนละครั้ง ก็ถือว่าเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง หากเรียกตัวเข้ามาในวังจริงๆ ถูกห้องเครื่องพวกนั้นดูแล ก็ไม่แน่ว่าจะทำรสชาติเช่นนั้นออกมาไม่ได้แล้ว”
จักรพรรดิหย่งอันยิ้มๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถอะ เพียงแต่การนำอาหารจากนอกวังเข้ามา จะประมาทไม่ได้”
เซียวกุ้ยเฟยปิดปากหัวเราะ “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ อีกอย่างนั่นเป็นหอสุราที่บุตรีของแม่ทัพใหญ่ลั่วเปิด ยังจะกล้าทำเรื่องเหลวไหลด้วยหรือเพคะ”
“ไม่ว่าจะเป็นใครเปิด สิ่งที่สมควรระวังก็ยังต้องระวัง”
เซียวกุ้ยเฟยพยักหน้ายิ้มๆ นิ้วขาวเนียนยกกาสุราขึ้นมารินใส่จอกสุราจนเต็ม “หม่อมฉันดื่มให้ฝ่าบาทเพคะ”
จักรพรรดิหย่งอันยกจอกขึ้นมาชนแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด
เรื่องที่องค์รัชทายาทกับผิงหนานอ๋องซื่อจื่อโต้เถียงกันในหอสุราแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คนจำนวนหนึ่งจับตาดูจวนผิงหนานอ๋องอย่างใกล้ชิดใหม่อีกครั้ง
องค์รัชทายาทออกจากวังไปจวนอันกั๋วกงเพื่อไว้อาลัยและแสดงความเสียใจ แต่กลับไม่ได้ถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมเยียนสองสามีภรรยาผิงหนานอ๋อง ถึงขนาดถูกผิงหนานอ๋องซื่อจื่อถามออกมาตรงๆ สามารถเห็นได้เลยว่าในใจองค์รัชทายาท น้ำหนักของจวนผิงหนานอ๋องไม่ได้สำคัญเหมือนกับที่ผู้คนคิดขนาดนั้น
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว จวนผิงหนานอ๋องก็คล้ายจะไม่ได้มีฐานะเหนือธรรมดาขนาดนั้นอีกแล้ว
คำวิพากษ์วิจารณ์นี้ลอยมาเข้าหูพระชายาผิงหนานอ๋อง ทำให้นางโมโหจนตบโต๊ะต่อหน้าเว่ยเฟิง
“ลูกสารเลว ตอนนี้ข้างนอกนั่นล้วนกำลังชมเรื่องตลกในจวนผิงหนานอ๋อง คราวนี้เจ้าพอใจแล้วสินะ?”
เว่ยเฟิงที่เผชิญหน้ากับคำถามของพระชายาผิงหนานอ๋อง ก็ไม่ยอมแพ้ เอ่ยเถียงว่า “เหตุใดเสด็จแม่จึงผลักความผิดใส่หัวข้าคนเดียว หรือว่าองค์รัชทายาทจะไม่มีความผิดสักนิดเลยกัน วันนั้นที่เขาออกจากวัง ขอแค่เอาใจใส่มาเยี่ยมท่านกับเสด็จพ่อสักนิด ข้าจะทะเลาะกับเขาต่อหน้าผู้คนได้อย่างไร…“
“พอได้แล้ว!” พระชายาผิงหนานอ๋องเอ่ยขัดเสียงเด็ดขาด แล้วจ้องเขาเขม็ง “เว่ยเฟิง เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า องค์รัชทายาทจะมีความผิดไม่ได้”
หากองค์รัชทายาทมีความผิดก็อาจจะนำพาผลลัพธ์ที่จะเกิดตามมาในภายหลังซึ่งจวนผิงหนานอ๋องไม่อาจแบกรับมาให้ เหตุใดเจ้าลูกสารเลวคนนี้ถึงไม่เข้าใจนะ
แน่นอนว่าเว่ยเฟิงไม่เข้าใจ
หรือจะกล่าวว่า เดิมเขาสามารถลองทำความเข้าใจดูได้ แต่สีหน้าที่อ่อนโยนมาตลอดในตอนนี้กลับบิดเบี้ยว และน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการกล่าวโทษของเสด็จแม่ ได้กระตุ้นความเป็นปฏิปักษ์ของเขาแทน
เขาไม่อยากจะไปทำความเข้าใจเว่ยเชียงอีก
เขาทนมาพอแล้ว!
“เหอะๆ องค์รัชทายาทไม่สามารถมีความผิดได้ เขาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ มีความรู้สึกรักลึกซึ้ง มีแต่ข้าที่ผิดไปหมด แถมยังไม่ได้เรื่อง เสด็จแม่พอใจแล้วใช่ไหมขอรับ”
“เจ้า…” พระชายาผิงหนานอ๋องขยับริมฝีปากไร้สีเลือด ลำคอมีกลิ่นคาวหวานทะลักขึ้นมาเป็นระยะ
เว่ยเหวินเดือดดาล “พี่รอง เดิมเสด็จแม่ก็สุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว ท่านต้องทำให้เสด็จแม่ตายก่อนถึงจะพอใจใช่หรือไม่”
เว่ยเฟิงยิ้มเยาะ สายตาที่มองไปทางเว่ยเหวินไร้ซึ่งการปกป้องดูแลที่พี่ชายมีให้น้องสาวเหมือนดั่งวันวาน “เว่ยเหวิน ข้าเป็นพี่รองของเจ้า ยังไม่ถึงคราวที่เจ้าจะมาสั่งสอนข้า!”
เขามองออกว่า น้องสาวคนนี้ให้ความสำคัญกับเว่ยเชียงยิ่งกว่า
ก็ถูก รอจนเว่ยเชียงสืบทอดตำแหน่งในภายภาคหน้าแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงใหญ่ เขาที่เป็นซื่อจื่อจะไปสำคัญอะไร
“เหวินเอ๋อร์สั่งสอนเจ้าไม่ได้ ข้าที่เป็นเสด็จแม่ก็ไม่ได้เช่นกันหรือ ใครก็ได้ อัญเชิญกฏตระกูล!”
เหล่าข้ารับใช้ไม่กล้าขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ
พระชายาผิงหนานอ๋องบันดาลโทสะ “ข้ายังไม่ตาย ก็สั่งพวกเจ้าไม่ได้แล้วหรือ”
ข้ารับใช้สองคนรีบส่งไม้เข้ามา
พระชายาผิงหนานอ๋องหยิบไม้ขึ้นมาแล้วฟาดลงไปบนแผ่นหลังของเว่ยเฟิง
นางเบื่ออาหารมาหลายวัน มือมีเรี่ยวแรงไม่เท่าไร เมื่อไม้กระทบเสื้อคลุมตัวหนาบนร่างเว่ยเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดเกินไปนัก
แต่ความอัปยศอดสูและโมโหในใจอยู่เหนือความเจ็บปวดทางกาย
เว่ยเฟิงคุกเข่าอยู่บนพื้น ปล่อยให้ไม้กระทบแผ่นหลังตัวเองไม้แล้วไม้เล่า นัยน์ตาที่หลุบลงต่ำคล้ายกับถูกแช่แข็ง
และเพราะเช่นนี้จึงไม่ได้เห็นท่าทางอึกๆ อักๆ อยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดของเว่ยเหวิน
พระชายาผิงหนานอ๋องตีจนเหนื่อยแล้วจึงโยนไม้ทิ้ง หอบหายใจพลางบริภาษว่า “ไสหัวกลับไปที่ห้อง แล้วไตร่ตรองให้ดีว่าเจ้าผิดตรงไหน”
รอเว่ยเฟิงจากไปแล้ว พระชายาผิงหนานอ๋องก็ยังคงโมโหจนมือสั่น
นางคิดไม่ถึงเลยว่า บุตรชายคนเล็กที่นับว่าอยู่ในโอวาท เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะหัวขบถขึ้นมาแบบนี้
หรือว่าหลายปีก่อนหน้านี้ จวนผิงหนานอ๋องจะราบรื่น ไร้อุปสรรคใดๆ เกินไป เมื่อถึงจุดสูงสุดแล้วจะเสื่อมถอย สูงสุดคืนสู่สามัญเช่นนั้นหรือ
“เสด็จแม่ ท่านอย่าโมโหอีกเลย พี่รองแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ…”
พระชายาผิงหนานอ๋องยิ้มเจื่อน ตบมือเวยเหวินเบาๆ “เหวินเอ๋อร์ มีแต่เจ้าที่ใส่ใจ เสียดายที่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนแม่ได้อีกไม่นานแล้ว”
เว่ยเหวินคล้องแขนพระชายาผิงหนานอ๋อง เอ่ยอย่างออดอ้อนว่า “ลูกไม่อยากแต่งงานเร็ว อยากอยู่เป็นเพื่อนท่านตลอดชีวิต”
ทอดสายตามองไปทั่วเมืองหลวง ไม่มีบุรุษคนไหนที่เข้าตานาง นางไม่ยินยอมแต่งงานกับคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก
โชคดีที่การแต่งงานช้ากว่าสตรีในตระกูลชาวบ้านของสตรีสูงศักดิ์ค่อยๆ กลายเป็นความนิยมจึงสามารถเป็นอิสระได้อีกสองปี
“กล่าววาจาโง่งมอะไรกัน เลือกตระกูลดีๆ ให้เจ้าสักหลายตระกูล แม่ถึงจะวางใจอย่างแท้จริง”
เว่ยเหวินหลุบตาเม้มปาก “ลูกไม่รีบ ไม่ใช่ว่ายังมีพี่รองหรอกหรือเจ้าคะ”
พระชายาผิงหนานอ๋องอึ้ง จิตใจหวั่นไหว
บางทีแต่งภรรยาให้เฟิงเอ๋อร์ อาจจะสามารถจัดการกับนิสัยเข้ากับผู้อื่นไม่ได้และรักอิสระของเขาได้
บุรุษน่ะ ไม่ว่าจะอายุมากเพียงใด ขอแค่แต่งภรรยามีบุตร ถึงจะรู้ความอย่างแท้จริง
เว่ยเฟิงย่อมไม่รู้ว่า พระชายาผิงหนานอ๋องมีความคิดที่จะให้เขาแต่งภรรยา เมื่อกลับไปถึงห้องก็เปลี่ยนเสื้อคลุมลวกๆ เดินหน้าตาบูดบึ้งออกจากจวนผิงหนานอ๋อง
ยังห่างจากเวลาฟ้ามืดอีกสักพักหนึ่ง ขอบฟ้าสีครามปรากฏสีแดงเข้มหลายสาย
สีแดงที่ไร้ซึ่งความงดงามสดใสยามพระอาทิตย์ตกดิน มีแต่จะทำให้คนที่อารมณ์ไม่ดีรู้สึกเหน็บหนาวและโศกเศร้า
เว่ยเฟิงเดินไปถึงถนนชิงซิ่งโดยไม่รู้ตัว เหม่อมองธงสีเขียวของหอสุราที่ปลิวไสวตามสายลมจากที่ไกลๆ
ข้ารับใช้ที่เปลี่ยนใหม่มีสีหน้าตื่นตกใจ “ซื่อจื่อ พระชายาเอกกำชับว่า ท่านไม่อาจมาดื่มสุราข้างนอกได้อีกแล้ว…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคหนึ่งก็ถูกเว่ยเฟิงผลักไปอีกด้าน
“ไสหัวไป!”
เขาไม่ใช่นักโทษ ไปหอสุรายังต้องถูกข้ารับใช้คนหนึ่งควบคุมด้วยหรือ
องครักษ์หลายนายที่ติดตามอยู่ด้านหลังตามขึ้นไปขวางอยู่ด้านหน้าเว่ยเฟิง
เว่ยเฟิงถลึงตามองหลายคนนั้นอย่างดุร้าย พลางเยาะเย้ย “พวกเจ้าเยี่ยมมากจริงๆ”
องครักษ์หลายนายประสานมือ “ซื่อจื่ออย่าได้ทำให้พวกบ่าวลำบากใจเลยขอรับ”
เว่ยเฟิงสูดลมหายใจลึก “ก็ได้ ข้าไม่ร่ำสุรา ข้าจะไปนั่งกินข้าวที่หอสุรา แบบนี้ได้สินะ?”
“นี่…” หลายคนอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
เว่ยเฟิงผลักคนหนึ่งให้หลบไปแล้วก้าวเท้ายาวๆ เดินไปทางมีหอสุรา
หอสุราเพิ่งจะเปิดทำการ
“ห้องส่วนตัวมีคนไหม”
“ห้องส่วนตัวยังว่างอยู่เจ้าค่ะ”
เว่ยเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “พาข้าไปห้องส่วนตัว”
“เจ้าค่ะ” หงโต้วรับคำเสียงใสแล้วนำเว่ยเฟิงขึ้นไปชั้นบน
เว่ยเฟิงทิ้งเด็กรับใช้กับองครักษ์ไว้ข้างนอกแล้วนั่งดื่มชา กินอาหารในห้องส่วนตัวคนเดียว
ห้องส่วนตัวด้านหนึ่งหันเข้าหาระเบียงทางเดิน ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างที่อยู่ติดถนน
เว่ยเฟิงกลัดกลุ้มใจจึงเดินไปทางหน้าต่างที่ติดกับถนน แล้วเปิดหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอกโดยไม่รู้ตัว
แสงสว่างกำลังดี ทำให้พื้นหินบนถนนมองดูแล้วเรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน
สายตาของเว่ยเฟิงถูกดึงดูดด้วยคนที่เดินมาอย่างรวดเร็ว
นั่นคือเด็กหนุ่มรูปงามที่แฝงไปด้วยความเยาว์วัยคนหนึ่ง บนใบหน้าประดับรอยยิ้มร่าเริงจริงใจ ขณะจ้องห่านสีขาว…ข้างกายตัวหนึ่ง?
สายตาของเว่ยเฟิงมองไปยังร่างของห่านขาว
นั่นเป็นแค่ห่านขาวที่ตัวใหญ่มากตัวหนึ่งจริงๆ เมื่อมันยื่นคอยาวก็สูงถึงครึ่งตัวคน ดูสง่าผ่าเผย ทรงพลังอย่างยิ่ง
แต่สีสะดุดตามากที่สุด คือบริเวณลำคอของห่านผูกโบสวยเอาไว้ มองดูแล้วไม่เหมือนกับห่านที่ออกไข่และกินเนื้ออย่างแท้จริง
เว่ยเฟิงรู้สึกแปลกและขบขันจึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้