ตอนที่ 291 การแต่งงาน
วันเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหล มีหอสุราคล้ายจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก เพียงแค่มีห่านขาวต้าไป๋ ผู้น่าเกรงขามเพิ่มขึ้นมาในลานด้านหลังตัวหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้เขาเสียใจก็คือ หลังจากนั้นไม่มีโอกาสได้เข้าไปลานด้านหลัง แม้ว่าจะอาศัยข้ออ้างท้องเสียก็ถูกคนของหอสุราปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ยังคงขวางความกระตือรือร้นที่เขาจะมาหอสุราไม่ได้
อาหารและสุราที่นี่ไม่เพียงอร่อย แต่ยังมีคนที่ทำให้เขาคิดถึงยากจะลืมเลือนอยู่ด้วย
คิดถึงยากจะลืมเลือน ทว่ากลับยากจะเอ่ยออกมา
เว่ยเฟิงรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติอยู่บ้าง
วันนั้นเขาเห็นอย่างละเอียด นั่นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งชัดๆ แม้ว่าจะรูปโฉมงดงามก็ไม่ใช่เด็กสาว แต่เขาดันลืมท่าทางเงยหน้าขึ้นมา แย้มรอยยิ้มเผชิญหน้ากับแสงตะวันของเด็กหนุ่มไม่ได้
ดูเหมือนเขาจะหวั่นไหวเสียแล้ว คนที่หวั่นไหวด้วยกลับเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
เว่ยเฟิงกลัดกลุ้มใจมาก ถึงขั้นโมโหเว่ยเชียงมากยิ่งขึ้น
หากเขาไม่ใช่ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ แต่เป็นคุณชายรองผู้สูงศักดิ์และไร้กังวลแห่งจวนผิงหนานอ๋องคนหนึ่ง แม้ว่าชอบผู้ชายคนหนึ่งแล้วจะอย่างไร
คณิกาชายสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ เดิมก็อธิบายได้ว่า คนที่ชอบแบบนี้มีไม่น้อย
หรือว่าหากเขาเป็นผิงหนานอ๋องแล้ว หลังจากแต่งพระชายาเอกก็จะมีใครมาควบคุมเขาได้อีก
แต่เขาดันเป็นซื่อจื่อ หากมีเรื่องซุบซิบลือออกไปว่าเขาชมชอบผู้ชาย ด่านแรกที่ผ่านไม่ได้ก็คือบิดามารดา
ร่ำสุราลงท้องให้หนำใจเพื่อคลายความกลัดกลุ้ม แต่กลับยิ่งกลุ้มใจยิ่งกว่าเดิม
เว่ยเฟิงยิ้มเยาะ บีบจอกสุรา
แรกเริ่ม กระทั่งดื่มสุราจอกหนึ่ง ยังต้องฟังข้ารับใช้เหล่านั้นพร่ำบ่น จนกระทั่งวันนั้นเขาสั่งสุราและอาหารให้หลายคนนั้นโต๊ะหนึ่ง หูถึงได้สงบเงียบลง
เว่ยเฟิงยกจอกสุรา ชำเลืองมองนาง “เจ้ามาทำอะไร”
นับตั้งแต่ที่ทะเลาะกันจนแตกหักในครั้งที่แล้ว ระหว่างพวกเขาสองพี่น้องก็มีช่องว่าง ความสนิทสนมในอดีตคล้ายจะย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
“พี่ถึงกับยังดื่มสุรา! เสด็จแม่ไม่ได้บอกว่า ไม่อนุญาตให้ท่านร่ำสุรา ก่อเรื่องข้างนอกหรือ” เมื่อเหลือบเห็นจอกสุราในมือเว่ยเฟิง เว่ยเหวินก็สีหน้าเย็นชากว่าเดิม
เว่ยเฟิงเงยหน้ายั่วยุ ดื่มสุราในจอกสุราหมดรวดเดียว พลางเยาะเย้ย “ข้าผ่านวัยสวมกวาน[1]มาแล้ว จะดื่มสุรายังต้องถูกน้องสาวควบคุมด้วยหรือ”
เว่ยเหวินลอบสูดลมหายใจ เพื่อให้ใจเย็นลง “พี่รอง ท่านรู้ชัดๆ ว่านี่คือความต้องการของเสด็จแม่”
เว่ยเฟิงหัวเราะเหอะๆ “เช่นนั้นเจ้าก็ไปบอกเสด็จแม่สิ”
“ท่าน…” เว่ยเหวินโมโหจนเลือดลมชะงัก
นางจะให้เสด็จแม่รู้เรื่องท่าทางเกเรของพี่รองได้อย่างไร
นับตั้งแต่วันนั้นที่พี่รองเถียงเสด็จแม่ สุขภาพของเสด็จแม่ก็ยิ่งย่ำแย่ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับเสด็จแม่ เสด็จพ่อที่กระวนกระวายใจก็จะเกิดเรื่องด้วย แบบนี้จวนผิงหนานอ๋องก็จบสิ้นแล้ว
เว่ยเหวินไม่กล้าจินตนาการสภาพการณ์ที่มีพี่ชายเช่นนี้สืบทอดจวนผิงหนานอ๋องเลยจริงๆ
เว่ยเหวินผ่อนคลายอารมณ์ แล้วเอ่ยเรียบๆ “พี่รอง เสด็จแม่ต้องการพบท่าน กลับจวนกับข้าเถอะ”
เว่ยเฟิงวางจอกสุราลงบนโต๊ะ “ไปสิ”
สองพี่น้องนิ่งเงียบตลอดทางจนกลับไปถึงจวนผิงหนานอ๋อง
เว่ยเหวินถึงได้เอ่ยว่า “พี่รอง ท่านไปอาบน้ำก่อนเถอะแล้วค่อยไปพบเสด็จแม่”
เว่ยเฟิงหลุดหัวเราะ “ได้ น้องสาวคิดได้รอบคอบจริงๆ”
เว่ยเหวินกัดริมฝีปาก โมโหจนมือสั่นระริก
เมื่อก่อนพี่รองรักและทะนุถนอมนางมากชัดๆ เคยพูดจาเช่นนี้กับนางเสียที่ไหน
สรุปว่าเหตุใดถึงได้กลายเป็นแบบนี้ เพราะว่าพี่รองหาเรื่องพี่ใหญ่ ถูกเสด็จแม่ประณามแล้วไม่พอใจหรือ
แต่เดิมเรื่องนี้พี่รองก็ทำไม่ถูก
พี่ใหญ่อยู่ในวังก็ประหนึ่งเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ[2] พี่รองช่วยไม่ได้ก็ช่างเถอะ ยังจะถ่วงความเจริญอีก เสด็จแม่อบรมสองสามประโยคแล้วอย่างไร
เว่ยเหวินคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงไม่พอใจในตัวเว่ยเฟิงมากยิ่งขึ้น
เว่ยเฟิงบ้วนปากล้างหน้าแล้วไปพบพระชายาผิงหนานอ๋อง
“เจ้าไปไหนมาหรือ” พระชายาผิงหนานอ๋องนั่งนิ่งอยู่บนตั่ง ถามเรียบๆ
“ไปนั่งที่มีหอสุรามาขอรับ”
เดิมเว่ยเฟิงไม่อยากพูด แต่คิดได้ว่า อย่างไรก็ปิดบังเรื่องนี้ไม่ได้จึงยอมรับเสียเลย
เมื่อได้ยินเว่ยเฟิงพูดเช่นนี้ อารมณ์ของพระชายาผิงหนานอ๋องก็ผ่อนคลายเล็กน้อย
เจ้าลูกเลวคนนี้ยังไม่ถึงขั้นไร้ทางเยียวยา อย่างน้อยก็ไม่ได้โกหก
หลายวันมานี้บุตรชายมักจะวิ่งแจ้นไปที่มีหอสุรา แน่นอนว่านางรู้
“ข้าเคยบอกว่า ไม่ให้ร่ำสุราและก่อเรื่องข้างนอกอีก”
เว่ยเฟิงสายตาเย็นชา “กินข้าวก็ไม่ได้หรือขอรับเสด็จแม่ ข้าจะอายุยี่สิบเอ็ดในเร็วๆ นี้ เป็นผู้ใหญ่นานแล้ว”
“ผู้ใหญ่หรือ” พระชายาผิงหนานอ๋องต่อหัวข้อสนทนานี้พอดี นางเอ่ยเรียบๆ “บุรุษที่แต่งงาน ก่อร่างสร้างตัว ยังไม่นับว่าเป็นผู้ใหญ่”
เว่ยเฟิงใจกระตุก
วาจานี้ของเสด็จแม่หมายความว่าอะไร
พระชายาผิงหนานอ๋องดื่มชา มองเว่ยเฟิงอย่างลึกซึ้ง “พรุ่งนี้แม่จะไปอธิษฐานขอพรให้เสด็จพ่อของเจ้าที่วัดต้าฝู เจ้าก็ไปเป็นเพื่อนแม่แล้วกัน”
สัญชาตญาณของเว่ยเฟิงบอกว่าผิดปกติ
วัดต้าฝูเป็นวัดที่ตระกูลสูงศักดิ์มักจะไป ในอดีตเสด็จแม่ไปจุดธูปบูชาล้วนให้เว่ยเหวินไปเป็นเพื่อน ทำไมจู่ๆ ครั้งนี้ถึงต้องการให้เขาไปเป็นเพื่อน?
“พรุ่งนี้ลูกมีธุระต้องไปข้างนอก ไม่สู้เสด็จแม่ให้น้องสาวไปเป็นเพื่อนเถอะขอรับ”
พระชายาผิงหนานอ๋องหน้าบึ้งตึง “ให้เจ้าไปจุดธูปบูชาเป็นเพื่อนแม่ เจ้าไม่ยินยอมหรือ”
เว่ยเฟิงเบ้ปาก
แน่นอนว่าเขาไม่ยินยอม มีเวลานี้ไปนั่งโรงน้ำชาเยื้องมีหอสุราไม่ดีกว่าหรือ
ไม่แน่ว่าจะสามารถได้พบกับเด็กหนุ่มคนนั้น
เขาสอบถามจนรู้แล้วว่า เด็กหนุ่มคนนั้นมีชื่อที่ไพเราะมาก นามฟู่เสวี่ย
เทือกเขาสูงปกคลุมไปด้วยหิมะขาว แสงหิมะส่องท้องนภาทางใต้เป็นประกายสว่างไสว
คนไร้ความสามารถเช่นคุณหนูลั่วถึงกับสามารถตั้งชื่อสง่างามแบบนี้ให้กับนายบำเรอได้ก็นับว่าหาได้ยาก
พระชายาผิงหนานอ๋องเห็นเว่ยเฟิงมีท่าทางไม่เต็มใจยิ่งก็ครุ่นคิด ตัดสินใจกล่าววาจาให้ชัดเจน “พรุ่งนี้ฮูหยินของรองเจ้ากรมราชรถหวังจะพาหลานสาวไปด้วย”
เว่ยเฟิงตะลึง “เหตุใดเสด็จแม่ถึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะขอรับ”
พระชายาผิงหนานอ๋องเอ่ยเรียบๆ “เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว ก็ควรจะลงหลักปักฐานได้แล้ว แม้ว่าตระกูลรองเจ้ากรมราชรถหวังจะธรรมดา แต่ตอนนี้จวนอ๋องไม่ต้องการฐานะตระกูลของลูกสะใภ้มาเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[3]อีก ความประพฤติดีสำคัญที่สุด หลายวันมานี้ข้าได้สอบถามอย่างละเอียดแล้วว่า คุณหนูใหญ่ตระกูลหวังเป็นคุณหนูที่มีความประพฤติและคุณธรรมโดดเด่น รอพรุ่งนี้พาเจ้าไปเห็นสักครา หากเห็นแล้วรู้สึกพอใจก็กำหนดการแต่งงานของเจ้าได้เลย”
สภาพเช่นนี้ของบุตรชาย หากสู่ขอลูกสะใภ้ตระกูลสูงศักดิ์ นิสัยหยิ่งยโสเข้ามา ความรู้สึกไม่ลงรอยกันนั้นไม่ใช่เรื่องดีงาม ไม่สู้เลือกสตรีที่จริงใจและอ่อนโยนมาเปลี่ยนนิสัยไม่ดีของเขาให้เข้าที่เข้าทางดีกว่า
แม้ว่าคุณหนูใหญ่หวังจะเกิดในตระกูลไม่สูงนักและใช้ชีวิตอยู่ในกำมือแม่เลี้ยง นางกลับรู้สึกพอใจ
เคยถูกแม่เลี้ยงทรมานมา ความดีเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้จิตใจของเด็กสาวผู้นั้นอบอุ่นได้ หลังจากนี้จะได้เต็มใจเคารพมารดาสามีเช่นนางและเอาใจใส่เฟิงเอ๋อร์
เว่ยเฟิงสีหน้าเปลี่ยน โพล่งออกมา “ข้าไม่ยินยอม!”
พระชายาผิงหนานอ๋องถูกปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงของเว่ยเฟิงทำให้ตะลึงจึงขมวดคิ้วจ้องเขา “เพราะเหตุใด รังเกียจที่ตระกูลหวังต่ำกว่าหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ”
“เช่นนั้นเคยเจอคุณหนูใหญ่หวังแล้วและไม่พอใจในรูปโฉมของนางหรือ”
“ไม่เคยเจอขอรับ”
พระชายาผิงหนานอ๋องน้ำเสียงเฉียบขาดขึ้นมา “เช่นนั้นเจ้าบอกมาว่าสิว่าเหตุใดจึงไม่ยินยอม”
บุรุษอายุยี่สิบปี ตอนนี้ยังไม่เคยมีสาวใช้ห้องข้าง ไหนเลยจะมีต่อต้านการแต่งภรรยาเช่นนี้
โดยปกติ เมื่อได้ยินเรื่องพวกนี้ไม่ควรจะเขินอายหรือรอคอยหรือ
ภายใต้การพินิจมองของพระชายาผิงหนานอ๋อง เว่ยเฟิงคิดเหตุผลที่เหมาะสมไม่ออกไปชั่วขณะ ทำได้แค่เอ่ยว่า “ลูกไม่อยากแต่งภรรยาเร็วแบบนี้ขอรับ”
พระชายาผิงหนานอ๋องเม้มปาก จ้องบุตรชายตาไม่กะพริบ
ไม่อยากแต่งภรรยา หรือว่ามีคนในใจที่ไม่สามารถพาไปแนะนำให้ผู้คนรู้จักได้
พระชายาผิงหนานอ๋องนึกถึง หลายวันมานี้ที่เว่ยเฟิงชอบวิ่งแจ้นไปที่มีหอสุราแล้ว จิตใจก็พลันหนักอึ้ง
[1] วัยสวมกวาน หมายถึง เด็กชายจีนเมื่อมีอายุครบ 20 ปีเต็ม ก็จะมีพิธีสวมกวาน ซึ่งกวานจะเป็นเครื่องประดับชั้นสูงของจีนในสมัยโบราณ โดยเอาไว้ใช้ครอบศีรษะที่บ่งบอกถึง เกียรติยศบรรดาศักดิ์ของบุคคล
[2] เดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ หมายถึง ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมาก
[3] เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่จำเป็น