ตอนที่ 300 ส่งอาหาร
จวนลั่วทรมานผ่านค่ำคืนนี้ไปท่ามกลางจิตใจที่ตื่นตระหนกของผู้คน
ลั่วเซิงไปหอสุราอีกแล้ว
ในช่วงเวลาที่มีดวงตานับไม่ถ้วนจับจ้องจวนแม่ทัพใหญ่ การกระทำสิ่งต่างๆ ไม่สะดวกเหมือนข้างนอก
ยกตัวอย่างเช่น การพบหน้าไคหยางอ๋อง
ไคหยางอ๋องมาที่หอสุรากับไปเยือนจวนแม่ทัพใหญ่นั้นไม่เหมือนกัน
“ท่านอ๋องตรวจพบอันใดแล้วหรือ” ลั่วเซิงยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาถ้วยหนึ่งแล้วยื่นให้บุรุษที่นั่งตรงข้าม
ตอนนี้องครักษ์จิ่นหลินถูกผิงลี่ควบคุมแล้ว ลั่วเซิงสงสัยในตัวเขา ย่อมไม่มีทางฝากความหวังไว้กับองครักษ์จิ่นหลินแน่นอน
“ผู้ที่รายงานแม่ทัพใหญ่คือนายอำเภอหลิวชิง บอกว่าพ่อค้าซึ่งเกิดที่หนานหยางพบชายวัยกลางคนที่ตำบลหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารดูแลของอำเภอหลิวชิงแล้วจำได้ว่าเขาคือองครักษ์ของเจิ้นหนานอ๋องจึงไปร้องเรียนกับนายอำเภอหลิวชิง…”
ลั่วเซิงฟังเงียบๆ พลางจำแนกเมืองและตำบลทางใต้
อำเภอหลิวชิงกับอำเภอจินซาล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของจวนจินหลิง สองอำเภอหนึ่งเหนือ หนึ่งใต้ จะบอกว่าใกล้ก็ใกล้ จะบอกว่าไกลก็ไกล
อำเภอจินซาเป็นตระกูลท่านตาของแม่นางลั่ว ตระกูลพ่อตาแม่ยายของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ในนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่นั้น นางไม่รู้แน่ชัด แต่ก็ควรค่าที่จะระวัง
ลั่วเฉินอาศัยและเติบโตในจินซามาตั้งแต่วัยเยาว์ จำนวนองครักษ์จิ่นหลินซึ่งรักษาการณ์ที่จวนจินหลิงมีมากกว่าทุกแห่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้ว การปกครองพื้นที่จินหลิงแห่งนี้จึงแข็งแกร่งยิ่งกว่า
ทว่าดันเป็นอำเภอซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของจวนจินหลิงที่ร้องเรียนแม่ทัพใหญ่ลั่ว
“แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ อย่างมากก็แค่ลงโทษท่านพ่อข้าที่จัดการเรื่องราวได้ไม่เรียบร้อย เหตุใดจึงบอกว่า ท่านพ่อข้าปล่อยบุตรชายของเจิ้นหนานอ๋องไปกัน”
เว่ยหานดื่มชาคำหนึ่งให้ริมฝีปากที่แห้งผากชุ่มชื้น “องครักษ์ยอมรับเองกับปาก”
“เป็นไปไม่ได้!” ลั่วเซิงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
ในปีนั้นแม่ทัพใหญ่ลั่วได้ช่วยชีวิตเป่าเอ๋อร์หรือลั่วเฉินตัวจริงเอาไว้จึงไม่มีความจำเป็นที่จะเสี่ยงปล่อยเด็กคนอื่นๆ ภายใต้การถูกจับจ้องอีก ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางปรากฏเรื่องน่าเวทนาอย่างการที่ทารกตกลงมากระแทกตายกลางถนนหรอก
มีความเป็นไปได้ว่าองครักษ์ผู้นั้นจะเหมือนกับหยางจุ่นที่โชคดีพาเสี่ยวชีหนีไปได้ แต่หากบอกว่า แม่ทัพใหญ่ลั่วปล่อยเป่าเอ๋อร์ตัวปลอมไปอย่างโจ่งแจ้งเพราะใจอ่อนล่ะก็ มันไม่สมเหตุสมผล
สามารถนั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินได้ แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่มีทางเป็นผู้มีจิตใจเมตตากรุณาอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเป็นบิดาที่ดีคนหนึ่งของเขา กระทั่งเป็นคนดีคนหนึ่งในบางช่วงเวลา
“คุณหนูลั่วคิดว่าองครักษ์นายนั้นพูดให้ร้ายแม่ทัพใหญ่หรือ”
ลั่วเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
บนโลกใบนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดไปกว่านางว่าใครคือเป๋าเอ๋อร์ตัวจริง องครักษ์ผู้นั้นโกหกอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ความเป็นไปได้ที่เขาโกหกมีสองแบบ หนึ่งคือหลังจากฐานะเปิดเผยก็รู้ว่าตัวเองไม่มีทางมีชีวิตรอดแล้วจึงแก้แค้นผู้นำที่ยกดาบขึ้นไปสังหารหมู่จวนเจิ้นหนานอ๋องในคืนนั้น นั่นก็คือแม่ทัพใหญ่ลั่วและยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ ถูกคนใช้ประโยชน์ กลายเป็นดาบคมเล่มหนึ่งของบางกลุ่มอิทธิพลที่ใช้จัดการกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว
และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็มีจุดหนึ่งที่ชัดเจน นางต้องช่วยแม่ทัพใหญ่ลั่วออกมาและรักษาจวนแม่ทัพใหญ่เอาไว้ให้ได้
นางเหลือบตาขึ้นจ้องนัยน์ตาดำสนิทของชายหนุ่ม พลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน”
เว่ยหานพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าก็คิดว่าเช่นนั้น”
ลั่วเซิงกำมือที่ถือถ้วยชาแน่น ถามเสียงเบาว่า “องค์ฮ่องเต้…แสดงท่าทีอันใดหรือไม่”
การหยั่งเชิงอารมณ์ยินดีและโกรธเกรี้ยวของโอรสสวรรค์เป็นข้อห้ามใหญ่
และโชคดีที่คนที่นั่งตรงข้ามนางคือไคหยางอ๋อง
บุรุษที่รับรู้ว่านางยิงธนูสังหารผิงหนานอ๋องแล้วยังนิ่งเงียบ บุรุษที่เห็นนางต้องการสร้างปัญหาให้กับองค์รัชทายาทแล้วคอยให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้ เวลานี้ ทำให้นางเลือกที่จะเชื่อใจอย่างไม่สงสัยอะไรอีก
เว่ยหานมองลั่วเซิงแวบหนึ่ง ในใจมีความรู้สึกไม่อาจหักใจ แต่กลับยังคงเอ่ยสถานการณ์ที่รู้ออกมา “ฝ่าบาทไม่ได้พบแม่ทัพใหญ่ แต่สั่งให้ซานฝ่าซือ[1]ตรวจสอบคดีนี้ร่วมกันอย่างเข้มงวด”
ลั่วเซิงยิ่งมีสีหน้าจริงจัง กำถ้วยชาแน่นโดยไม่รู้ตัว
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดิมก็เป็นขุนนางใกล้ชิดกับฝ่าบาท หลังถูกร้องเรียน ฝ่าบาทไม่แม้กระทั่งจะพบหน้า นี่เป็นการอธิบายท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อคนซึ่งมีส่วนพัวพันกับเรื่องของจวนเจิ้นหนานอ๋องว่า ยินยอมสังหารผู้บริสุทธิ์ แต่จะไม่ยอมปล่อยให้ศัตรูรอดไปได้ใช่หรือไม่
หรือความไว้วางใจที่มีต่อแม่ทัพใหญ่ลั่วนั้นปรากฏรอยร้าวนานแล้ว…
เว่ยหานมองนางเงียบๆ เห็นคิ้วนางขมวดเป็นปมแน่นยิ่งขึ้นก็อดยกมือขึ้นมาไม่ได้
เด็กสาวที่นัยน์ตาฉาบไปด้วยคลื่นแห่งความเย็นชาพลันมองมา
มือที่ยกขึ้นมาข้างนั้นจึงวางลงเงียบๆ
แม้ว่าเขาอยากจะเยียวยาความว้าวุ่นที่หว่างคิ้วแทนนาง แต่ตอนนี้กลับสงสัยว่าจะเป็นการฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นลำบากเอาเปรียบนาง
เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ คิดว่าคุณหนูลั่วก็ไม่ชอบเช่นกัน
เว่ยหานนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ามีกำลังคนจำนวนหนึ่งที่ทางใต้ เมื่อวานส่งข่าวสั่งพวกเขาให้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ภายในไม่กี่วันนี้น่าจะมีข่าวคราวเกี่ยวกับองครักษ์ผู้นั้นส่งกลับมา”
เรื่องยังไม่เรียบร้อย เดิมเขาไม่อยากพูดออกมา แต่เห็นนางเป็นแบบนี้กลับอดเปลี่ยนความคิดไม่ได้
“ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ”
เว่ยหานแย้มรอยยิ้มบางๆ “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ข้าอยากเห็นหอสุราของคุณหนูลั่วเปิดทำการต่อไป”
เขาคุ้นชินกับการเดินผ่านธงสุราสีเขียวที่โบกสะบัด มองเงาร่างคุ้นเคยที่นั่งข้างตู้คิดบัญชี ร่ำสุราและกินข้าวบนถนนชิงซิ่งทุกวัน
นี่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาซึ่งยากจะตัดขาดออกไปโดยไม่รู้ตัวนานแล้ว
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เพิ่งจะยามเช้า แต่มีหอสุราไม่เปิดทำการในเวลากลางวัน
“ท่านอ๋องรอสักประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”
“คุณหนูลั่วยังมีเรื่องอันใดหรือ”
“หงโต้ว…” ลั่วเซิงตะโกนเรียก
เว่ยหานเบนสายตาจากกล่องอาหารไปยังดวงหน้าลั่วเซิง ขณะเผยแววสงสัยออกมาหลายส่วน
“อาซิ่วทำอาหารจำนวนหนึ่ง ท่านอ๋องนำกลับไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาสงบนิ่งคู่นั้นพลันเปล่งประกายขึ้นมาราวกับแสงจันทร์ที่สาดลงบนทะเลสาบ ส่องผืนน้ำทะเลสาบให้สว่าง
มุมปากเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เขาซ่อนรอยยิ้มพลางเอ่ย “ให้ข้านำกลับไปหรือ”
“อืม” ลั่วเซิงรับคำ
ไคหยางอ๋องช่วยนางขนาดนี้ นางไม่มีอะไรที่สามารถตอบแทนได้ชั่วคราว มอบอาหารเหล่านี้ให้ก็ไม่ควรค่าให้พูดถึง
เหตุใดอีกฝ่ายถึงทำท่าราวกับเอาเปรียบนางมากขนาดนั้น?
เว่ยหานยื่นมือออกมารับกล่องอาหาร ใช้สีหน้าเคร่งขรึมปิดบังมุมปากที่โค้งขึ้น “เช่นนั้นข้าก็จะรับเอาไว้”
ลั่วเซิงมองส่งเงาร่างสีแดงสดใสเดินออกจากประตูใหญ่หอสุราไปแล้วลุกขึ้นไปยังห้องครัวด้านหลัง
ในห้องครัวด้านหลัง ซิ่วเย่ว์กำลังเหม่อลอย เมื่อเห็นลั่วเซิงเข้ามาก็พลันได้สติคืนมา
“คุณหนู…”
ลั่วเซิงเดินเข้าไป น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง “กำลังกังวลใช่หรือไม่”
ซิ่วเย่ว์อดพยักหน้าไม่ได้แล้วเอ่ยเสียงเบา “รังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก[2] บ่าวกลัวว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว ท่านกับคุณชายน้อยจะมีปัญหา…”
ลั่วเซิงยกมือตบไหล่ซิ่วเย่ว์แผ่วเบา “ไม่ต้องคิดมากเกินไปกับเรื่องที่ยังไม่มีผลลัพธ์ ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าแล้วทำเครื่องเคียงที่ถนัดสักสองสามอย่าง ข้าจะไปเยี่ยมคนผู้หนึ่ง”
ตอนใกล้เวลาอาหารกลางวัน ลั่วเซิงถือกล่องอาหารสีดำออกจากหอสุรามุ่งตรงไปยังศาลาว่าการกรมยุติธรรม
“ต้องการพบใต้เท้าเสนาบดีของพวกเราหรือ” เมื่อได้ฟังวัตถุประสงค์การมาเยือนของลั่วเซิง ทหารเฝ้าประตูก็คล้ายกับได้ฟังเรื่องขบขันอย่างยิ่ง “แม่นางน้อยไปเสียเถอะ หากยังก่อกวนอีกก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ!”
จู่ๆ ก็มีแม่นางน้อยผู้หนึ่งวิ่งมาบอกว่าต้องการพบใต้เท้าเสนาบดี เห็นใต้เท้าเสนาบดีของพวกเขาเป็นผักกาดขาวไร้ค่าที่ขายอยู่ตามถนนรึไงกัน
“ข้ามาส่งอาหารให้เสนาบดีจ้าว”
“ส่งอาหารหรือ” ทหารชำเลืองกล่องอาหารในมือลั่วเซิงแวบหนึ่งแล้วลังเลขึ้นมา
ใต้เท้าเสนาบดีชอบกินของอร่อย เขาเคยได้ยินมาเช่นกัน แต่ไม่เคยมีใครมาส่งอาหารให้ใต้เท้าเสนาบดีที่จวนเสนาบดีนี่นา
“ท่านมีความสัมพันธ์อันใดกับจวนเสนาบดี”
ตอนนี้เองที่มีเสียงชายหนุ่มดังลอยมา “คุณหนูลั่วหรือ”
[1] ซานฝ่าซือ คือสามหน่วยงานที่เกี่ยวกับกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งสามหน่วยงานนี้คือ กรมยุติธรรม (刑部) รับผิดชอบงานสืบสวนสอบสวน ศาลต้าหลี่ (大理寺) มีหน้าที่พิพากษา และสำนักตรวจการ (都察院) มีหน้าที่ตรวจสอบ หากมีคดีใหญ่จะร่วมกันพิพากษาและตรวจสอบ
[2] รังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก หมายถึง ภัยพิบัติมาเยือน ก็ไม่มีใครสามารถโชคดีหลบเลี่ยงภัยนี้ไปได้