ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 302 เข้าเยี่ยม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 302 เข้าเยี่ยม

เจ้าหนูคงไม่คิดว่าผู้มาเยือนจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ มันจึงถูกเตะเข้าจังๆ ร่างที่อ้วนท้วนกลิ้งหลุนๆ ก่อนจะวิ่งหายออกไปไม่เหลือแม้แต่เงาอย่างรวดเร็ว

หลินเถิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

ลั่วเซิงเงยหน้ามองเขา “คุณชายใหญ่หลิน?”

หลินเถิงคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีสติมั่นคงมาโดยตลอด แต่วินาทีนี้ยังคงต้องการอยู่เงียบๆ สักหน่อย

ไม่ได้หมายความว่าเขากลัวหนู แต่เขาไม่คิดว่าเด็กสาวจะไม่กลัวหนูถึงเพียงนี้ต่างหาก!

ลองคิดดูหากภรรยาในอนาคตของเขาน้ำตาไหลพรากแล้วจู่ๆ ก็หยุดลงเหมือนสั่งได้ ทั้งยังยกเท้าเตะหนูเหมือนอย่างคุณหนูลั่ว…

หลินเถิงไม่กล้าคิดต่อไป รู้สึกถึงเพียงกดดันขึ้นไม่น้อย

“คุณหนูลั่ว เชิญด้านนี้” ชายหนุ่มที่จัดการกับความรู้สึกตัวเองได้แล้วก็เดินตรงไปด้านหน้าด้วยความเคร่งขรึม

ลั่วเซิงมองตรงไปข้างหน้าพลางเดินตามไป

ปลายจมูกเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น เสียงร้องคร่ำครวญชวนขนหัวลุกก็ดังขึ้นเป็นระยะ

การเดินอยู่ในสถานที่ที่มืดมิดเช่นนี้ราวกับออกห่างจากโลกมนุษย์ เดินไปยังโลกหลังความตายทีละก้าว

ลั่วเซิงรู้สึกหายใจไม่คล่องเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ถอยหนี

หลินเถิงที่เดินนำหน้าหยุดฝีเท้าลง นางก็หยุดตามและมองเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วผ่านลูกกรง

แม่ทัพใหญ่ลั่วนั่งอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ไร้ซึ่งความสดใสที่เคยมีในอดีต

“ท่านพ่อ” ลั่วเซิงตะโกนเรียก

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินเสียงตะโกนเรียก เขารีบดีดตัวลุกขึ้นในทันที ใบหน้าที่เฉยชาเผยความประหลาดใจออกมา “เซิงเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร?”

“ข้าไม่วางใจจึงมาขอเยี่ยมท่าน”

แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้ว “ไร้สาระ ที่นี่เป็นสถานที่ที่แม่นางน้อยคนหนึ่งอย่างเจ้าควรเข้ามางั้นหรือ? รีบกลับไปเสีย!”

“แม้แต่แม่น้ำจินสุ่ย ลูกก็เคยไปมาแล้ว การมาเยี่ยมท่านในคุกจะเป็นอะไรไป” ลั่วเซิงถามกลับด้วยความหนักแน่น

หลินเถิง ‘?’

แม่น้ำจินสุ่ยคือแม่น้ำจินสุ่ยแห่งนั้นที่เขาเคยไปเพราะต้องสืบคดีใช่หรือไม่

แม่น้ำจินสุ่ยสายนั้นที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นแป้งชาดของสตรีและบรรยากาศครึกครื้นแห่งนั้นน่ะหรือ

เมื่อแม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินก็คิดว่าใช่ สีหน้าที่กังวลพลันคลายลง “ได้พบแล้วก็ตามคุณชายใหญ่หลินออกไปเถอะ”

“ข้าอยากคุยกับท่านพ่อ”

ลั่วเซิงไม่รอให้แม่ทัพใหญ่ลั่วตกปากรับคำ นางมองไปที่หลินเถิง “คุณชายใหญ่หลินออกไปก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”

หลินเถิงไม่ได้ตอบรับในทันที สีหน้าเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น

“ข้าจะยืนพูดอยู่ตรงนี้ บนตัวข้าก็ไม่มีอาวุธแหลมคมที่สามารถช่วยแหกคุกได้” ราวกับกลัวว่าหลินเถิงจะไม่เชื่อ ลั่วเซิงจึงยกมือปลดสายรัดเสื้อคลุมออกทันที

เสื้อคลุมสีเขียวถูกถอดออกอย่างคล่องแคล่ว นางยังยกมือขึ้นเพื่อปลดปิ่นปักผมของตนออกด้วย

“เชิญคุณหนูลั่วตามสบาย” หลินเถิงเอ่ยอย่างรวดเร็วพลางหนีเตลิดออกไปทันที

ลั่วเซิงวางมือที่ถือปิ่นลง

แม่ทัพใหญ่ลั่วถอนหายใจ “เซิงเอ๋อร์ ต่อไปอย่าเอาแต่ใจแบบนี้อีกนะ”

เหตุใดถึงถอดได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้เล่า ดูสิว่าทำให้ชายหนุ่มตกใจเข้าเสียแล้ว

หลินเถิงที่สาวเท้าเดินออกไปไกลด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เมื่อถึงหัวโค้งจึงหยุดฝีเท้าลงและหันกลับไปมองเงาร่างในชุดสีเรียบร่างนั้น

เขาไม่ถือสาที่จะอำนวยความสะดวกให้คุณหนูลั่วให้พวกเขาสองพ่อลูกได้พูดคุยกัน แต่ด้วยหน้าที่จึงจำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตสายตา

ไม่หลีกทางให้ก็คงไม่ได้ เพราะพอไม่ได้ดั่งใจคุณหนูลั่วก็ถอดชุดคลุมออก…

เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ หลินเถิงก็เกิดอยากจะหันหลังให้ขึ้นมาทันที

ลั่วเซิงหันกลับไปมอง เมื่อเห็นว่าห่างจากหลินเถิงได้ช่วงหนึ่งจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อ ปีนั้นท่านแอบปล่อยตัวบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋องไปโดยพลการหรือเจ้าคะ”

ลั่วเซิงหัวเราะ “ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องปิดบังข้าหรอกเจ้าค่ะ หลักการที่ว่าหากรังคว่ำ ไข่ก็ยากจะอยู่รอดท่านคงเข้าใจมากกว่าข้า ตอนนี้คนในบ้านล้วนจิตใจหวาดหวั่น ใครก็ไม่อาจรู้ว่าเหตุใดถึงเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ท่านพ่อควรทำให้ข้ารู้สึกมั่นใจจะได้ไม่ถึงขั้นถูกผู้อื่นฆ่าแกงเอาได้”

“เซิงเอ๋อร์…” แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาวที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมืออย่างอ้ำอึ้ง เอ่ยพึมพำว่า “เจ้าโตแล้ว”

ลั่วเซิงถอนหายใจในใจเมื่อได้ฟังเช่นนี้

เสียงถอนหายใจนี้เพื่อแม่ทัพใหญ่ลั่วและคุณหนูลั่ว

คุณหนูลั่วจะเอาแต่ใจแค่ไหน จะไม่เชื่อฟังอย่างไร แต่ก็เป็นบุตรสาวสุดที่รักของแม่ทัพใหญ่ลั่ว

แต่นางไม่ใช่

“ด้านนอกมีข่าวลือแพร่ไปแล้วหรือไม่” แม่ทัพใหญ่ลั่วถาม

“เมื่อคืนไม่มีใครมาดื่มสุราที่หอสุราเลยเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินก็ยิ้มขื่น “ข่าวแพร่ไปไวจริงๆ”

“เช่นนั้นท่านได้ปล่อยตัวบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋องไปอย่างที่นายอำเภอหลิวชิงฟ้องร้องหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ใช่แน่นอน!” แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยอย่างเด็ดขาด จากนั้นก็ถามว่า “เซิงเอ๋อร์รู้แม้กระทั่งคนที่ฟ้องร้องพ่อด้วยงั้นหรือ”

ตามหลักการไม่ควรเป็นเช่นนั้น

“ไคหยางอ๋องบอกลูกเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วเลิกคิ้ว

ไม่คาดคิดเลยว่าในตอนที่ทุกคนหลบเลี่ยงตระกูลลั่วด้วยความหวาดผวา ไคหยางอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้น

เมื่อก่อนเขาคิดมาตลอดว่าไคหยางอ๋องไม่ได้เรื่อง ตอนนี้ดูแล้วกลับเป็นคนที่ยึดถือน้ำใจคนหนึ่ง

นิสัยของผู้ชายคนหนึ่งเป็นอย่างไร ต้องดูในเวลาเช่นนี้

แม่ทัพใหญ่ลั่วนึกถึงตระกูลสวี่และตระกูลหลินขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ปีนั้นที่ท่านหญิงหวาหยางบุตรสาวคนโตของเจิ้นหนานอ๋องแต่งงานเข้าตระกูลสวี่จวนฉางชุนโหว ท่านหญิงอู่หยางบุตรสาวคนรองก็แต่งเข้าสำนักศึกษาหลวงของตระกูลหลิน

แม้ว่าท่านหญิงทั้งสองสิ้นชีพไปแล้ว แต่ความรู้สึกก่อนตายคงต่างกันโดยสิ้นเชิง

“ท่านพ่อ” เมื่อสังเกตเห็นว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วเหม่อลอย ลั่วเซิงจึงเอ่ยเรียก

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้สติกลับมาพลางลอบสบถเบาๆ

เขาจะคิดถึงเรื่องไม่เป็นมงคลในอดีตไปทำไมกัน เพราะไคหยางอ๋องนั่นแหละที่เป็นตัวการ!

“ท่านพ่อ นายอำเภอตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวกล้าฟ้องร้องท่าน ต้องมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังใช่ไหมเจ้าคะ ท่านพ่อเดาว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วจมอยู่ในความเงียบ

นับตั้งแต่ถูกจับตัวจนถึงตอนนี้ เขาคิดมากมายหลายเรื่อง แน่นอนว่าต้องคาดเดาถึงผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังด้วย

เพียงแต่บางอย่างก็ไม่ควรเอ่ยออกมาตามอำเภอใจ

แม้ว่าบุตรสาวจะรู้ความแล้ว แต่นางก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต่อหน้าคนที่สามารถลงมือทำร้ายนางได้ การพูดออกมามีแต่จะทำให้นางหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิม

เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วนิ่งเงียบ ลั่วเซิงก็เหลือบมองหลินเถิงด้วยหางตาแล้วพูดด้วยเสียงที่เบายิ่งขึ้นกว่าเดิม “หรือว่าเป็นฮ่องเต้?”

แววตาของแม่ทัพใหญ่ลั่วหดลงทันที น้ำเสียงแฝงความดุดันอยู่หลายส่วน “อย่าพูดเหลวไหล!”

“ท่านพ่อ…” น้ำเสียงของลั่วเซิงอ่อนลง แฝงไปด้วยความน้อยใจ

สายตาเด็ดขาดของแม่ทัพใหญ่ลั่วผ่อนคลายลง เมื่อมองสำรวจบุตรสาวอย่างละเอียดจึงพบว่าหางตาของนางแดงเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งร้องไห้มา

เซิงเอ๋อร์ร้องไห้งั้นหรือ

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

เขาอ้าปาก คำปลอบโยนที่อยากจะพูดนั้นกลับพูดไม่ออก

เขาคือเสาหลักของคนในบ้าน ตอนนี้เขาเข้ามาอยู่ในนี้ คำปลอบใจของเขาคงอ่อนแอไร้กำลังเต็มที

“ไม่ใช่ฝ่าบาทหรอก” แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดเสียงเบา

ม่านตาของลั่วเซิงสั่นไหว เอ่ยเสียงเบาว่า “แต่ฝ่าบาทไม่เชื่อใจท่านพ่อแล้ว… ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วนิ่งเงียบอยู่นานพลางพยักหน้าน้อยๆ

ความเชื่อใจระหว่างฮ่องเต้และขุนนางย่อมเกิดรอยร้าวอย่างแน่นอนจึงได้มอบคดีนี้ให้ซานฝ่าซือสามแห่งพิพากษา

ตำแหน่งผู้บัญชาการขององครักษ์จิ่นหลินไม่ใช่ว่าเป็นง่าย เคยมีคนกล่าวโทษเขา ฮ่องเต้ถึงขั้นไม่ได้เอาข้อพิพาทมาหารือด้วยซ้ำก็ตัดศีรษะคนผู้นั้นเสียแล้ว

“เซิงเอ๋อร์ รับปากพ่อสองเรื่อง”

“เจ้าค่ะ”

“ตอนนี้ผิงลี่คงกำลังดูแลองครักษ์จิ่นหลิน เจ้าอย่าเผชิญหน้ากับเขาและอย่าเข้าใกล้เขามากจนเกินไป”

แววตาของลั่วเซิงสั่นไหวเล็กน้อย นางพยักหน้า “ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

ดูท่าทางว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วจะเริ่มสงสัยในตัวผิงลี่ขึ้นมาแล้ว

“เรื่องที่สอง หากพ่อออกไปไม่ได้แล้วจริงๆ เมื่อจวนลั่วต้องประสบกับความยากลำบากให้เจ้าไปหาไคหยางอ๋องเสีย ขอร้องให้เขาคุ้มครองเจ้าไม่ว่าจะด้วยสถานะอะไรก็ตาม”

เขาเพียงหวังว่า เมื่อเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น จะมีใครสักคนที่เต็มใจทำในสิ่งที่เขาเคยทำและปล่อยให้ลูกสาวสุดที่รักของเขามีชีวิตรอดต่อไป

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท