ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 310 ความยาก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 310 ความยาก

บุตรสาวสี่คนของแม่ทัพใหญ่ลั่ว มีเพียงบุตรสาวคนโตลั่วอิงที่หมั้นหมายกับรองเจ้ากรมศาลต้าหลี่ตระกูลเถาเอาไว้หลายปีแล้ว

ในตอนนั้น รองเจ้ากรมเถาซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพิ่งถูกย้ายกลับมาเมืองหลวง เขาค่อนข้างปวดหัวที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่รากฐานค่อนข้างมั่นคงในเมืองหลวง เพื่อให้มีที่ยืนที่มั่นคง เมื่อรู้ว่าคุณหนูใหญ่ลั่วมีอายุเท่ากับบุตรชายคนโตของครอบครัวจึงเริ่มแสดงท่าทีอยากเกี่ยวดองด้วย

แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มีเรื่องของผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง แต่การแต่งงานคือเรื่องดีในการรวมสองตระกูลเข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองครอบครัวก็สนับสนุนซึ่งกันและกัน รองเจ้ากรมเถาเป็นฝ่ายเข้ามาสนิทสนมก็ไม่ถือเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ไม่มีสิ่งอื่นนอกจากต้องการความสำเร็จอย่างง่ายดาย อาจพูดได้ว่าเป็นข้อเสีย แต่ก็พูดได้ว่าเป็นประโยชน์อันยืนยาว

ก่อนจะตกปากรับคำ แม่ทัพใหญ่ลั่วเคยพบคุณชายใหญ่ของตระกูลเถามาก่อน ค่อนข้างพอใจในนิสัยและรูปร่างหน้าตาของคุณชายใหญ่เถา

คิดดูแล้วแม้เขามียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แต่การเป็นผู้บัญชาการขององครักษ์จิ่นหลินก็ไม่เคยเป็นงานที่น่ายินดีเลย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมอบบุตรสาวให้ตระกูลที่ใสสะอาดได้ การแต่งงานครั้งนี้จึงนับเป็นเรื่องที่ไม่เลว

นับตั้งแต่บุตรสาวสายตรงเริ่มเลี้ยงนายบำเรอ งานแต่งงานที่ไม่เลวนักก็กลายเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจอย่างมากสำหรับแม่ทัพใหญ่ลั่ว

หากกำหนดตามวันที่มีฤกษ์ดี สิ้นเดือนนี้ก็จะถึงวันออกเรือนของลั่วอิงแล้ว

แต่ในเวลานี้ ตระกูลเถากลับส่งคนมาถอนหมั้น

ระหว่างทางกลับไปยังจวนแม่ทัพใหญ่ สีหน้าของลั่วเซิงเยือกเย็น

นางยังจำท่าทางการปักสินเดิมเงียบๆ ของลั่วอิงได้

นิ่งเงียบ สงบเสงี่ยม กระทั่งความปรารถนาในชีวิตแต่งงานในอนาคตล้วนถูกเก็บงำเอาไว้ แตกต่างกับคุณหนูลั่วราวกับอยู่คนละโลก

นางยากที่จินตนาการว่าลั่วอิงจะรู้สึกอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการถอนหมั้นที่กะทันหันเช่นนี้

ผู้คนมากมายล้อมอยู่ด้านหน้าประตูจวนลั่วพลางชี้นิ้วนินทากันอย่างสนุกปาก

ลั่วเซิงเดินผ่านไป ได้ยินคำพูดไม่น่าฟังเต็มสองหู

หงโต้วโมโหจนอยากต่อยสตรีที่พูดจาแย่ๆ คนหนึ่งเสีย แต่ถูกลั่วเซิงตะโกนห้ามไว้

“คุณหนู คนเหล่านี้ปากเสียมากเลยเจ้าค่ะ ถึงกับกล้าพูดว่าสมน้ำหน้าที่คุณหนูใหญ่ถูกถอนหมั้น!”

ลั่วเซิงเหลือบมองสาวใช้ที่กำลังโกรธแค้นแล้วถามว่า “เมื่อก่อนกล้าทำเช่นนี้หรือไม่”

หงโต้วส่ายหน้า “ไม่กล้าแน่นอนเจ้าค่ะ เมื่อก่อนยังมีคนกล้าใช้ชื่อของแม่ทัพใหญ่หยุดเด็กไม่ให้ร้องไห้ตอนดึกด้วยนะเจ้าคะ ตอนนี้เห็นจวนของพวกเราลำบาก…”

“ถูกต้องแล้ว หากท่านพ่อถูกกำหนดโทษ พวกเขาไม่เพียงแต่กล้าพูดจารุนแรง แต่ยังกล้าทำสิ่งที่มากกว่านี้ด้วย พวกเขาไม่มีวันยอมจบง่ายๆ หรอก ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจึงจะถูกต้อง”

“ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม?” คำศัพท์ที่มีความยากเช่นนี้ ทดสอบความรู้ของสาวใช้ตัวน้อยมากเกินไปแล้ว

ลั่วเซิงก้าวเร็วๆ เข้าไปด้านในพลางเอ่ยทีละคำว่า “ท่านพ่อข้ายังคงเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินที่สง่างามอยู่”

มีคนรับใช้ที่ไม่คุ้นหน้าสองสามคนยืนอยู่ที่ลานบ้าน การแต่งกายไม่เหมือนคนจวนลั่ว

ลั่วเซิงกวาดตามองและเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินสาวใช้ตะโกนบอกคนด้านในว่า “คุณหนูกลับมาแล้ว!”

หญิงสวมชุดสีน้ำเงินที่เกล้าผมเป็นมวยคนหนึ่งมองไปที่ประตูอย่างอดไม่ได้ก็พบกับเด็กสาวสวมผ้าคลุมสีเขียวเข้มเดินเข้ามาอย่างว่องไวราวกับดาวตก ด้านหลังยังมีสาวใช้หน้าตางดงามสองคนตามมาด้วย

เด็กสาวปลดผ้าคลุมออกทันทีที่เข้ามาถึงด้านใน จากนั้นก็โยนไปด้านหลัง สาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กสีแดงก็รับเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว

ตั้งแต่ต้นจนจบ สองนายบ่าวไม่มีใครเงยหน้าขึ้นเลย

การกระทำคล่องแคล่วนั้นทำให้หญิงชุดสีน้ำเงินรับรู้ถึงไอสังหารสายหนึ่งที่ไม่อาจอธิบายได้จนนางลืมตอบสนองไปชั่วขณะ

เด็กสาวที่ปลดผ้าคลุมออกนั้นสวมชุดกระโปรงสีเขียวเรียบๆ ใบหน้าขาวสะอาดราวกับรูปปั้นที่สลักจากน้ำแข็ง ดวงตาสีดำเข้มกวาดมองมาอย่างเยือกเย็น

หญิงสวมชุดสีน้ำเงินเป็นผู้ดูแลตระกูลเถา แม้ว่านางค่อนข้างมีเกียรติและอำนาจในหมู่คนรับใช้จวนเถาอยู่หลายส่วน แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่คนรับใช้ การเชื่อฟังคล้อยตามและเอาอกเอาใจเจ้านายที่แข็งแกร่งแทบจะเป็นสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นเอง

ทันใดนั้นเด็กสาวที่ดูน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ก็มองมาที่นาง สัญชาติญาณทำให้นางเผยรอยยิ้มออกมา

สายตาของลั่วเซิงกวาดมองใบหน้าของหญิงที่สวมชุดสีน้ำเงินแล้วถามลั่วเฉินว่า “ตระกูลเถาส่งคนมาถอนหมั้นพี่หญิงใหญ่งั้นหรือ”

ลั่วเฉินพยักหน้า กวาดตามองหญิงสวมชุดสีน้ำเงินแวบหนึ่ง

หญิงสวมชุดสีน้ำเงินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กพลันลุกขึ้นยืน อ้าปากแนะนำตัวเอง “บ่าวคือผู้ดูแลภายในจวนเถา ได้รับคำสั่งจากฮูหยินให้มา…”

ลั่วเซิงขมวดคิ้วเอ่ยตัดบทนางทันที “คนใช้ไร้มารยาทมาจากที่ใดกัน ข้ากำลังพูดคุยกับน้องชาย มีที่ให้เจ้าพูดแทรกงั้นหรือ”

หญิงสวมชุดสีน้ำเงินอึ้งงันไป

ลั่วเซิงไม่ได้มองนางอีก เพียงถามลั่วเฉินต่อว่า “พี่หญิงใหญ่เล่า รู้ข่าวแล้วหรือไม่”

“รู้แล้ว ข้าให้พี่หญิงรองและพี่หญิงสี่ไปอยู่กับนางแล้ว”

ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปทางหญิงสวมชุดสีน้ำเงิน “เล่าเรื่องของเจ้ามาสิ”

หญิงสวมชุดสีน้ำเงินอยากสะบัดหน้ากลับไปด้วยมาดของผู้ดูแลจวนเถา แต่ด้วยภาระหน้าที่อันหนักอึ้งจึงไม่อาจเอาแต่ใจได้ ได้แต่เอ่ยด้วยความอดทนว่า “บ่าวได้รับคำสั่งจากฮูหยินให้มาคืนหนังสือหมั้นหมาย”

“อ้อ มาถอนหมั้นสินะ” ลั่วเซิงพยักหน้าเข้าใจ เหลือบมองสาวใช้ที่ยืนอยู่ในห้องอย่างเย็นชา แววตาที่นิ่งเรียบพลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายในทันที “พวกเจ้าโง่ไปแล้วหรือไร ผู้อื่นมาขอถอนหมั้น ยังให้เก้าอี้นางนั่งอีกหรือ หงโต้ว…”

หงโต้วตอบรับเสียงชัดแจ๋ว เดินเข้าไปย้ายเก้าอี้ใต้ก้นของหญิงสวมชุดสีน้ำเงินออกมา โดยไม่ลืมถ่มน้ำลายพูดว่า “ถุย เจ้าไม่คู่ควรจะนั่งเก้าอี้ในจวนของพวกเรา!”

ใบหน้าของหญิงสวมชุดสีน้ำเงินร้อนผ่าวในทันทีเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “นี่คือมารยาทในการรับแขกของจวนสูงศักดิ์งั้นหรือ”

หงโต้วถ่มน้ำลายอีกครั้ง “พวกเจ้าเป็นแขกจากตระกูลไหนกัน อย่าเพิ่งพูดเรื่องถอนหมั้นเลย ถึงจะไม่ใช่ ก็เป็นเพียงแค่คนรับใช้ แต่ทําตัวผยองเป็นแขกในจวนแม่ทัพใหญ่ได้ด้วยหรือ”

โค่วเอ๋อร์ปิดปากหัวเราะ “หงโต้ว เจ้าอาจเข้าใจผิดผู้อื่นก็เป็นได้ จวนเถาคงสั่งสอนคนรับใช้เช่นนี้ พอถึงจวนผู้อื่นก็ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนรับใช้แต่เห็นตัวเองเป็นเทพเจ้าสตรีที่สูงศักดิ์ จวนเถาจะได้ไม่เสียความน่าเกรงขาม ผู้ดูแลเถา เจ้าคิดว่าใช่หรือไม่”

หญิงสวมชุดสีน้ำเงินริมฝีปากสั่นเทา

ใครคือผู้ดูแลเถา! นางไม่ได้แซ่เถาเสียหน่อย

นี่มันไม่ใช่แล้ว เหตุใดจึงให้นังอันธพาลสองคนนี้มารุมนางเช่นนี้ ทั้งยังลามไปถึงกฎระเบียบของจวนเถาอีกด้วย

หญิงสวมชุดสีน้ำเงินขมวดคิ้วพูดว่า “จวนเถาเป็นตระกูลที่รักษากฎเกณฑ์มาโดยตลอด”

ลั่วเซิงเลิกคิ้ว ถามคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “งั้นหรือ”

“แน่นอนเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงหัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นตระกูลที่รักษากฎเกณฑ์ เหตุใดจึงส่งยายแก่อย่างเจ้ามาเพียงผู้เดียวเล่า คำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของแม่สื่อ รีบไสหัวกลับไปบอกฮูหยินเถาว่าให้นางมาที่นี่พร้อมกับแม่สื่อและหนังสือสมรสตามกฎระเบียบแล้วค่อยหารือเรื่องการถอนหมั้น!”

ในที่สุดหญิงสวมชุดสีน้ำเงินก็พูดประชดออกมาอย่างอดไม่ได้ “คุณหนูลั่ว ท่านคิดว่าจวนลั่วยังเป็นเหมือนจวนลั่วในอดีต…”

พูดยังไม่จบก็โดนตบหนึ่งฉาด

หงโต้วสะบัดมือพลางกลอกตามอง “หน้าด้านจริงๆ ตบจนมือข้าเจ็บหมดแล้ว”

“พวกท่าน พวกท่านไม่มีเหตุผลเลยสักนิด…” หญิงสวมชุดสีน้ำเงินกุมใบหน้า โมโหจนสั่นไปทั้งตัว

ลั่วเซิงหัวเราะเล็กน้อย “อย่างไรข้าก็ไม่ใช่คนที่เจรจาด้วยเหตุผลอยู่แล้ว หากเจ้ายืนหยัดจะเป็นตัวแทนจวนเถาในการเจรจากับข้าเรื่องการถอนหมั้นก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมกลับไปบอกฮูหยินเถาด้วยว่า ข้าเป็นคนใจแคบเป็นอย่างมาก หากโมโหก็ต้องการคนมาระบายอารมณ์ ครั้งหน้าหากเจอคุณชายใหญ่เถาถูกคนเปลื้องผ้าโยนทิ้งอยู่หน้าประตูโรงคณิกาชายก็อย่าได้ร้องไห้ฟูมฟายไปเล่า”

นางพูดจบก็เหลือบมองหญิงสวมชุดสีน้ำเงินพลางเอ่ยเตือนอย่างหวังดีว่า “ในเมื่อจวนสูงศักดิ์รีบร้อนจะถอนหมั้น ก่อนที่ท่านพ่อของข้าจะถูกกำหนดโทษ ข้าก็ยังพอมีเวลาทำเรื่องเล็กน้อยอยู่บ้าง”

หญิงสวมชุดสีน้ำเงินงุนงงอย่างมาก มองเด็กสาวดุร้ายด้วยใบหน้าสั่นระริก

นางคิดว่าเรื่องที่ฮูหยินให้มาจัดการนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่คิดเลยว่าจะมีความยากถึงระดับที่เลวร้ายมาก!

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท