ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 312 ดูแลแขก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 312 ดูแลแขก

เมื่อแม่สื่อมา เถาฮูหยินก็รีบนั่งรถม้าและเร่งเดินทางไปจวนแม่ทัพใหญ่ทันที

ที่จริงไม่ต้องรีบเช่นนี้ อย่างน้อยก็รอคำตัดสินโทษของแม่ทัพใหญ่ลั่วก่อนแล้วค่อยคุยก็ได้ หากเป็นโทษหนักส่งผลกระทบต่อครอบครัว แน่นอนว่าเรื่องงานแต่งย่อมต้องยุติลง

ทว่าปลายเดือนนี้ก็คือวันแต่งงานแล้ว หากไม่รีบถอนหมั้นก็คงต้องแต่งคุณหนูใหญ่ลั่วเข้าเรือน

หญิงที่ออกเรือนแล้วย่อมไม่ต้องรับโทษด้วย ถึงครานั้นแม้จวนแม่ทัพใหญ่พังทลาย พวกเขาก็ต้องจำใจยอมรับลูกสะใภ้คนนี้

แต่ลูกสะใภ้คนโตของจวนเถา จะให้บุตรสาวของขุนนางผู้มีความผิดมาเป็นได้อย่างไร

ไม่เห็นเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับจวนฉางชุนโหวและจวนผู้อาวุโสหลินเมื่อครั้นจวนเจิ้นหนานอ๋องได้รับโทษหรือ

ครานั้นสกุลเถาอยู่ต่างถิ่น กลับเมืองหลวงแล้วได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ นางยังรู้สึกหวาดกลัว

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น คุณชายรองจวนผู้อาวุโสหลินท่านนั้นเป็นอัจฉริยะผู้เลื่องชื่อ แต่กลับต้องกลายเป็นสามัญชนตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะมีมารดาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรสาวของกบฏคนหนึ่งหรอกหรือ

แม้ท่านแม่ของเขาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ตราบาปนี้ก็จะไม่มีวันลบทิ้งได้

นางไม่อยากให้หลานในอนาคตต้องแบกรับเรื่องเหล่านี้หรอกนะ

การแต่งงานนี้ไม่ว่าจวนลั่วจะยินยอมหรือไม่ก็ต้องถอน!

ในดวงตาของเถาฮูหยินมีเพียงความเยือกเย็น

รถม้าหยุดลง ถึงจวนแม่ทัพใหญ่แล้ว

ตอนที่ลั่วเซิงได้รับรายงาน นางกำลังคุยกับลั่วเฉิน เมื่อได้ยินดังนั้นก็วางจอกชาลง “ข้าไปเจอเถาฮูหยินก่อน”

ลั่วเฉินลุกขึ้นตาม “ข้าไปด้วย”

“เจ้าอย่าเปิดเผยหน้าเลย”

ลั่วเฉินชะงัก ขมวดคิ้วถาม “เพราะเหตุใดเล่า”

ครานั้นยังบอกว่าเขาเป็นผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวของจวนลั่ว ท่านพ่อไม่อยู่ต้องให้เขาดูแลครอบครัว เหตุใดพอเจอปัญหาจริงๆ แล้วกลับเห็นเขาเป็นเด็กและไล่เขาไปข้างหลังเล่า

“ข้ารับมือกับสตรีได้ดีกว่า โดยเฉพาะสตรีที่มาก่อปัญหา”

ลั่วเซิงพูดอย่างสงบ ในหัวของลั่วเฉินมีภาพๆ หนึ่งแวบผ่าน หญิงสาวที่ดูบอบบางสู้กับฮูหยินสูงศักดิ์และสง่างาม คนหนึ่งข่วนหน้าคนหนึ่งเละอีกคนดึงทึ้งผมของอีกคน…

เด็กหนุ่มสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ท่านพี่พูดถูก”

ลั่วเซิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เดินไปที่เรือนรับรองด้านหน้า และส่งโค่วเอ๋อร์ไปส่งข่าวให้ลั่วอิง

ลั่วฉิงและลั่วเย่ว์ยังอยู่กับลั่วอิง

เมื่อได้ยินคำรายงานของโค่วเอ๋อร์ ลั่วฉิงก็ขมวดคิ้วพูดว่า “พี่ใหญ่อย่าไปเลย ให้น้องสามคุยกับเถาฮูหยินก็พอ”

ลั่วเย่ว์พยักหน้าตาม “นั่นน่ะสิ ถึงอย่างไรพี่ใหญ่ก็ฟังพี่สาม ไม่จำเป็นต้องไปหรอก”

ให้พี่ใหญ่เห็นว่าที่แม่ยายมาถอนหมั้น มีแต่จะทำให้ยิ่งเสียใจ

โค่วเอ๋อร์รีบอธิบายว่า “คุณหนูบอกว่าคุณหนูใหญ่คือคนที่เกี่ยวข้อง แม้จะไม่สามารถคุยกับอีกฝ่ายโดยตรงได้ แต่แอบฟังข้างหลังฉากกั้นก็ได้นี่เจ้าคะ”

ลั่วอิงและลั่วเย่ว์มองไปที่ลั่วอิง

ลั่วอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด นางลุกขึ้นยืน “ได้ ข้าจะไป”

“พี่ใหญ่ ข้าไปเป็นเพื่อนพี่” ลั่วเย่ว์เดินมาคล้องแขนลั่วอิง

ลั่วฉิงก็ลุกขึ้นเช่นกัน

สามพี่น้องรีบเดินมาถึงเรือนรับรอง พวกนางซ่อนตัวอยู่ข้างหลังฉากกั้นลายดอกไม้บานสี่ฤดู จากนั้นก็ได้ยินใครบางคนรายงานว่า “เถาฮูหยินมาแล้ว”

ดวงตาของลั่วอิงสั่นไหวเล็กน้อย นางกำผ้าเช็ดหน้าแน่นโดยไม่รู้ตัว

ลั่วเย่ว์แอบมองผ่านช่องว่างของฉากกั้นอย่างกล้าหาญ

ม่านประตูที่เปิดออกมีสตรีจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา สตรีที่อยู่ข้างหน้าสุดมีอายุราวสี่สิบ สวมชุดลวดลายดอกไม้สีม่วงเข้มและเสื้อคลุมสีพื้น

ลั่วเย่ว์จำได้ว่านี่คือเถาฮูหยิน

หลายปีก่อนตอนที่จวนเถามาขอหมั้นหมายที่จวนลั่ว เถาฮูหยินมาด้วยตนเอง

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ลั่วเย่ว์ก็รู้สึกโมโห นางกลอกตาใส่ผ่านฉากกั้น

คนที่มาประจบคือจวนเถา คนที่จะสลัดออกก็คือจวนเถาเช่นกัน พี่สามพูดถูก คนแบบนี้แต่งด้วยไม่ได้หรอก

คำพูดของพี่สามมีเหตุผลมากขึ้นทุกที

ขณะที่หญิงสาวกำลังคิดเช่นนี้ สายตาของนางก็มองไปที่ลั่วเซิงเงียบๆ

ลั่วเซิงนั่งบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย มองเถาฮูหยินที่เดินเข้ามาด้วยสายตาเยือกเย็น นางไม่ได้ลุกขึ้น

เถาฮูหยินรู้สึกได้ถึงการถูกละเลยอย่างชัดเจน สีหน้าอดขรึมลงไม่ได้

นี่มันโอหังเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่านางคือผู้อาวุโส แม้จะวัยเดียวกัน ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก จะละเลยเช่นนี้ได้อย่างไร

“ท่านก็คือเถาฮูหยินหรือ” สายตาของหญิงสาวกวาดมองไปมาระหว่างเถาฮูหยินและแม่สื่อ สุดท้ายก็ถามแม่สื่อ

แม่สื่อตกตะลึง นางอดจับใบหน้าตนเองไม่ได้

นางดูสาวและสูงศักดิ์เช่นนี้เลยหรือ

หลังฉากกั้น ลั่วเย่ว์เกือบหลุดหัวเราะออกมา แต่นางรีบปิดปากไว้

ลั่วฉิงเองก็อดยกมุมปากขึ้นไม่ได้

ลั่วอิงอยากหัวเราะ แต่ก็รู้สึกอึดอัด สุดท้ายนางเพียงยิ้มหยันน้อยๆ

เถาฮูหยินโมโหแทบจะหงายหลัง นางถามเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูลั่วต้อนรับแขกเช่นนี้หรือ”

ลั่วเซิงน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่า “ข้าไม่เคยเจอเถาฮูหยิน ถึงอย่างไรก็ต้องมั่นใจก่อนว่าเถาฮูหยินคือท่านไหน ข้าถึงจะปฏิบัติด้วยอย่างแขกได้ จะให้ข้ายิ้มต้อนรับแม่สื่อคงไม่ได้หรอก ท่านคิดว่าใช่หรือไม่ เถาฮูหยิน”

เถาฮูหยินยังไม่สามารถเรียกสติคืนจากความอับอายที่ถูกจำผิดได้ นางอดย้อนถามอย่างโมโหไม่ได้ “คงเป็นเพราะไม่มีใครในจวนลั่วสั่งสอนเรื่องมารยาท คุณหนูลั่วจึงไม่รู้จักแยะแยะจากเสื้อผ้าหน้าผม”

ลั่วเซิงยิ้ม “ดูแค่ภายนอกไม่ดีหรอกเจ้าค่ะ นั่นมันเรียกว่าตาสุนัขมองคนต่ำ”

“เจ้า…”

ลั่วเซิงขัดจังหวะอารมณ์โกรธของเถาฮูหยินด้วยสีหน้าหมดความอดทน “เอาล่ะ ตอนนี้ข้ารู้แล้ว เถาฮูหยินมาขอถอนหมั้นใช่หรือไม่ หากไม่อยากคุย ข้าจะส่งแขกแล้ว”

เถาฮูหยินที่เพลิงแห่งความเดือดดาลแผดเผาขึ้นมาถึงลำคอรู้สึกจุกจนหน้าดำหน้าแดง ผ่านไปนานกว่าจะพูดว่า “ย่อมต้องคุย”

ลั่วเซิงมองนางอย่างเกียจคร้าน น้ำเสียงเจือความไม่พอใจ “ในเมื่อมาคุยเรื่องถอนหมั้น แล้วยังเห็นตนเองเป็นแขกสำคัญ? เถาฮูหยินมีแต่จะทำให้เสียเวลาโดยแท้”

“คุณหนูลั่ว เจ้าอย่าได้เกินไปนัก!”

ลั่วเซิงยกจอกชาขึ้น “ส่งแขก”

หงโต้วผายมือออก “เถาฮูหยิน เชิญเจ้าค่ะ”

เถาฮูหยินโมโหจนตัวสั่น “คุณหนูลั่ว เจ้าคิดว่างานแต่งงานนี้ไม่ต้องยุติตามที่จวนเจ้าต้องการได้หรือ”

ลั่วเซิงยิ้มบาง “ท่านแม่ข้าเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาว ตอนนี้ท่านพ่อก็ติดคุก จวนแม่ทัพใหญ่ไม่มีคนที่สามารถดูแลครอบครัวได้ เถาฮูหยินจะถอนหมั้นกับใครหรือ”

เถาฮูหยินสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงสงบลงว่า “เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องข้าจะไม่พูดถึงแล้ว การแต่งงานครั้งนี้จวนเถาของเราจะต้องยกเลิกแน่นอน หากในจวนไม่มีผู้ใดตัดสินใจได้ เช่นนั้นก็เชิญผู้อาวุโสในจวนลั่วมาเถอะ”

การถอนหมั้นตอนนี้สามารถแบ่งได้เป็นสองสถานการณ์ หากฝ่ายหญิงเป็นผู้ขอถอนหมั้น ต้องได้รับการลงโทษ เป็นเรื่องยากที่จะได้รับในสิ่งที่ต้องการ ฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องรับโทษ อย่างมากที่สุดก็แค่เสียค่าสินสอดให้

ส่วนฝ่ายชายสามารถถอนหมั้นได้สองวิธี หนึ่งคือการเจรจากับฝ่ายหญิงเพื่อถอดถอนหนังสือหมั้นหมาย สองคือการขออนุมัติจากส่วนราชการโดยตรง

สองวิธีนี้เปรียบเทียบกันแล้ว วิธีแรกย่อมประหยัดเวลาและแรงมากกว่า และไม่ต้องทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย

อันที่จริงจวนเถาไม่สนใจว่าเรื่องจะใหญ่โตไปถึงส่วนราชการ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อวันแต่งงานอยู่ไม่ไกลแล้ว จะยืดเยื้อไม่ได้

ลั่วเซิงยกมือขึ้นเกี่ยวเส้นผมไปไว้ด้านหลัง ยิ้มพูดว่า “หากไม่พูดเรื่องอื่น เช่นนั้นข้าก็เป็นผู้ตัดสินใจได้”

เถาฮูหยิน “…” นางอยากจะตบนังสารเลวนี่ให้ตายจริงๆ!

เมื่อสงบอารมณ์ลงได้ครู่หนึ่ง เถาฮูหยินก็มองไปที่ผู้ดูแล

ผู้ดูแลนำหนังสือแต่งงาน จดหมายและสิ่งของต่างๆ วางเรียงกันตรงหน้าลั่วเซิง ในขณะเดียวกันสิ่งที่วางลงตรงหน้ายังมีเสื้อผ้า หมวก และรองเท้าถุงเท้าที่ลั่วอิงเย็บปักและมอบให้ตามธรรมเนียมด้วย

ลั่วเซิงมองสิ่งของที่ถูกเย็บอย่างประณีตเหล่านั้น ดวงตาเยือกเย็น

“ถอนหมั้นน่ะได้ ตามหลักแล้วสินสอดที่ส่งมาให้ก่อนหน้านี้ขอคืนไม่ได้ใช่หรือไม่”

แม้เถาฮูหยินจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็พยักหน้า “แน่นอน”

ลั่วเซิงสีหน้าจริงจัง “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง จำเป็นต้องถามให้ชัดเจน”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท