ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 321 ปัญหา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 321 ปัญหา

อากาศหนาวขึ้นแล้ว กำแพงสูงตระหง่านของจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วกลายเป็นสีดำเพราะความหนาวเย็น ดูรกร้างและโดดเดี่ยว

สถานที่ที่ฝูงชนเดินกันขวักไขว่ในอดีตกลายเป็นที่ที่เงียบเหงา จากนั้นเป็นต้นมา ผู้คนที่เดินผ่านไปมาล้วนเดินอ้อมโดยสัญชาติญาณ

แม่ทัพใหญ่ลั่วยังคงติดอยู่ในคุกกรมยุติธรรมจนถึงบัดนี้ กรณีการปล่อยตัวบุตรชายของเจิ้นหนานอ๋องโดยพลการของแม่ทัพใหญ่ลั่วและการวางยาแม่ทัพใหญ่ลั่วยังอยู่ระหว่างการสอบสวน

ไม่ว่าจะถูกตัดสินโทษเมื่อไร ในสายตาของทุกคนจวนแม่ทัพใหญ่ก็จบสิ้นลงเหมือนกับอากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อยๆ

ผักเน่าที่ถูกโยนไปที่ประตูใหญ่สีแดงของจวนลั่วเริ่มทำความสะอาดไม่ทัน ผู้คนที่เคยถูกองครักษ์จิ่นหลินกดขี่ในที่สุดก็สบโอกาสระบายอารมณ์

หอสุราที่ยังคงส่งกลิ่นหอมเย้ายวนกลับสะกิดความคิดของใครบางคน

เว่ยเหวินนั่งอยู่ในโรงน้ำชาเยื้องหอสุราแห่งหนึ่ง นางกำลังดื่มชา สายตากลับหยุดอยู่ที่ธงสุราสีเขียวที่ปลิวไปกับสายลม

กลิ่นหอมจางๆ เริ่มลอยมา

นางรู้ว่ามีหอสุรากำลังเริ่มต้มน้ำแกงแล้ว

หม้อไฟเนื้อแพะ หม้อไฟลูกชิ้นปลา หม้อไฟผักกาดดองกับเนื้อหมู… เพราะมีน้ำแกงที่ต้มอย่างพิถีพิถันเหล่านี้ รสชาติจึงอร่อยเป็นพิเศษ

ตั้งแต่ที่จวนแม่ทัพใหญ่ลั่วเกิดเรื่อง มีหอสุราก็เงียบเหงาลงไปมาก ช่วงนี้เพิ่งจะเริ่มมีแขกกลับมาบ้าง

หลังจากที่พี่รองของนางอดทนได้มาระยะหนึ่งในช่วงเริ่มแรกแล้วก็มาที่นี่แทบทุกวัน

ก็แค่หม้อไฟที่มีวัตถุดิบธรรมดาๆ เท่านั้น เอร็ดอร่อยได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ

หลังจากที่นางสงสัยแล้ว เมื่อวานพี่รองนำหม้อไฟลูกชิ้นปลาจากมีหอสุรากลับจวน…

เพียงแค่คิดถึงครานั้น เหมือนกับว่าต่อมรับรสจะถูกเปิด

เว่ยเหวินดื่มชาคำหนึ่ง ข่มความอยากอาหารที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มองไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

ในที่สุด คนที่นางรอมาตลอดปรากฏกายขึ้นแล้ว

เว่ยเหวินลุกขึ้นทันที นางรีบเดินออกจากโรงน้ำชา

“หอสุราของเรายังไม่เปิดขอรับ” คุณชายสามเซิ่งขวางนางไว้

เว่ยเหวินขมวดคิ้วมองเขา แววตาแฝงความดูแคลน

คนๆ นี้น่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของลั่วเซิง

ช่างเป็นคนไม่รู้จักประมาณตนจริงๆ

จวนแม่ทัพใหญ่จะจบเห่อยู่แล้ว ถึงครานั้นไม่รู้ว่าจะพัวพันผู้คนเท่าไร ไม่รีบขีดเส้นให้ชัด ยังทึ่มเป็นเสี่ยวเอ้อร์อยู่ที่นี่

“ข้าไม่ได้มากินอาหาร ข้ามาหาคุณหนูลั่ว”

“เช่นนั้นโปรดรอสักครู่” คุณชายสามเซิ่งวางไม้กวาดแล้ววิ่งเข้าไป

เว่ยเหวินยิ้มหยัน เดินเข้าไปในห้องโถงอย่างไม่แยแส

“น้องลั่ว มีคนมาหาเจ้า…”

ลั่วเซิงที่เพิ่งถอดชุดคลุมออกเห็นเว่ยเหวินที่เดินตามเข้ามาแล้ว

“คารวะท่านหญิง” ลั่วเซิงย่อเข่าเล็กน้อย

เว่ยเหวินหลุบมองเด็กสาวที่คารวะนางอย่างพินิจพิเคราะห์ พูดเสียงราบเรียบว่า “คุณหนูลั่วมิต้องมากพิธี”

ลั่วเซิงนั่งตัวตรง “ท่านหญิงมีธุระอะไรหรือ”

ชั่วขณะหนึ่งเว่ยเหวินรู้สึกผิดหวังและไม่พอใจ

นางกำลังพอใจกับความรู้สึกที่ลั่วเซิงย่อเข่าให้นาง

น่าเสียดายที่เป็นแค่การทักทายเท่านั้น

แต่ว่าในอีกไม่นาน ก็คงไม่ใช่แค่ทักทายแล้ว

นางตั้งตารอการมาถึงของวันนั้นอย่างยิ่ง

ลั่วเซิงมองเว่ยเหวินด้วยสายตาเย็นชาก็ยกมุมปากเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าท่านหญิงน้อยคนนี้กำลังฝันกลางวันอะไร ดูหมกมุ่นอย่างยิ่ง

เว่ยเหวินเก็บความคิด ยกมือขึ้นจัดผมเล็กน้อย พูดอย่างสงวนท่าทีว่า “วันนี้มาหาคุณหนูลั่ว เพราะมีคำร้องขอที่ไม่เหมาะสม”

“คำร้องขอที่ไม่เหมาะสม?” ลั่วเซิงเลิกคิ้ว

นางไม่ชอบคำนี้เลย

ปกติคนที่พูดเช่นนี้ คำร้องขอมักจะทำให้ลำบากใจหรือไม่พอใจ

ในเมื่อเช่นนี้ เหตุใดจึงขอร้อง

“ท่านหญิงโปรดพูดมาตรงๆ”

“ข้าอยากยืมตัวแม่ครัวหอสุรา”

ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ผู้ดูแลหญิงที่กำลังพลิกหนังสือบัญชี สือเยี่ยนที่กำลังเช็ดโต๊ะ หงโต้วที่กำลังแทะเมล็ดแตงโม… ไม่ว่าใครที่อยู่ในห้องโถงล้วนหยุดชะงักลงด้วยสีหน้าตะลึงงัน

มีเพียงลั่วเซิงที่สีหน้าดังเดิม นางถามว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของท่านหญิง ท่านหญิงโปรดพูดให้ชัดเจนกว่านี้ได้หรือไม่”

เว่ยเหวินยิ้ม “เรื่องเป็นเช่นนี้ เสด็จแม่ข้าไม่เจริญอาหารมาตลอด เมื่อคืนหลังจากได้กินหม้อไฟที่ซื้อกลับไปจากหอสุรา ท่านก็เจริญอาหารขึ้นมาก ข้าจึงอยากจะขอยืมตัวแม่ครัวหอสุราไปทำอาหารให้ท่านแม่ข้าที่จวนอ๋อง…”

หงโต้วเขวี้ยงเปลือกเมล็ดแตงโม “มาขอยืมตัวแม่ครัวหอสุราแบบนี้ได้ด้วยหรือ”

เว่ยเหวินหน้าเย็นชา ไม่มองหงโต้วแม้แต่น้อย “คุณหนูลั่ว เราสองคนคุยกัน ถึงคราวสาวใช้พูดแทรกตั้งแต่เมื่อใด”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “ท่านหญิงจะถือสาสาวใช้คนหนึ่งไปไย พูดต่อเถอะ”

มองริมฝีปากที่โค้งเล็กน้อยของลั่วเซิง เว่ยเหวินยิ้มหยันในใจ

เป็นไปตามคาดจริงๆ ไม่มีแม่ทัพใหญ่ลั่วหนุนหลัง ลั่วเซิงจะกล้าโอหังกำเริบเสิบสานหรือ

“คุณหนูลั่ว อย่าเข้าใจผิด แค่เชิญแม่ครัวไปยามเที่ยง ไม่มีผลต่อการเปิดร้านหอสุราในยามกลางคืน คุณหนูลั่วโปรดเห็นใจ เห็นแก่ความกตัญญูที่ข้ามีต่อเสด็จแม่”

ลั่วเซิงเงียบ จู่ๆ ก็หัวเราะ

“คุณหนูลั่ว หัวเราะอะไรหรือ” เว่ยเหวินรู้สึกได้ถึงความเย่อหยิ่งในเสียงหัวเราะนี้

“ข้าหัวเราะความคิดที่ไม่เหมือนใครของท่านหญิง ความกตัญญูของท่านที่มีต่อพระชายา เหตุใดต้องให้ผู้อื่นเห็นใจ ความกตัญญูเช่นนี้ราวกับจะโดนลดคุณค่าลงไปหน่อยหรือไม่”

เว่ยเหวินคิดไม่ถึงว่าลั่วเซิงจะพูดจาน่าเกลียดเช่นนี้ ใบหน้านางปกคลุมด้วยความเยือกเย็นทันที “หมายความว่า คุณหนูลั่ว ไม่ให้ยืม?”

“ขออภัย แม่ครัวไม่ให้ใครยืมทั้งสิ้น”

“คุณหนูลั่ว การช่วยเหลือผู้อื่นคือการช่วยเหลือตนเอง” เว่ยเหวินพูดอย่างมีความนัย

ลั่วเซิงหน้าขรึมลงเล็กน้อย “ท่านหญิงกำลังข่มขู่ข้าหรือ วันนี้จวนอ๋องยืมตัวแม่ครัวยามเที่ยง พรุ่งนี้จวนกั๋วกงยืมตัวแม่ครัวยามเย็น เมื่อมีกรณียกเว้นเช่นนี้แล้ว หอสุราของเรายังต้องเปิดอีกหรือ”

เว่ยเหวินไม่ทันปริปาก ลั่วเซิงก็พูดต่อไปว่า “ท่านหญิงต้องการแสดงความกตัญญูต่อเสด็จแม่ก็พาท่านมากิน หรือไม่ก็ซื้อกลับไปให้ท่านกิน เหตุใดต้องยืมแม่ครัวของข้าด้วย”

เว่ยเหวินข่มไฟโทสะ พูดเสียงเย็นชาว่า “ข้าเคยพูดแล้ว เสด็จแม่ข้าสุขภาพไม่ดี ไม่สะดวกที่จะออกมา ส่วนซื้ออาหารกลับไปในฤดูหนาวก็ทำให้รสชาติอาหารเสีย วิธีเดียวที่จะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายคือการเชิญแม่ครัวมาทำอาหารในจวน”

“เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายของท่านหญิง แต่กลับลำบากผู้อื่น” ลั่วเซิงชี้ไปที่ประตู “หากท่านหญิงไม่ได้มากินอาหารก็เชิญกลับเถอะ ขออภัยที่ไม่ออกไปส่ง”

“คุณหนูลั่ว เจ้าไม่ไว้หน้ากันเลย ต้องเด็ดขาดเช่นนี้เลยหรือ”

“ผู้ที่ทำให้เด็ดขาดคือท่านหญิงชัดๆ” ลั่วเซิงยกมือขึ้นเกี่ยวเส้นผม

เว่ยเหวินมองลงไป เห็นกำไลงดงามบนข้อมือของเด็กสาว

นั่นคือกำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีของนาง

คลื่นแห่งโทสะบังเกิดขึ้น

เสด็จพ่อถูกลอบสังหาร ขอให้หมอเทวดาช่วยรักษา ลั่วเซิงถือโอกาสขอกำไลของนางไป

นางจำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทนให้กำไลนางเพื่อเสด็จพ่อ

บัดนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วติดคุก นางมายืมตัวแม่ครัว เหตุใดลั่วเซิงจึงไม่สนใจ ไม่เห็นนางผู้เป็นท่านหญิงคนนี้ในสายตานะ

หึๆ ลั่วเซิงคงไม่ได้คิดว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริงหรอกนะ คิดว่าเสด็จอาเล็กชอบนางจริงๆ งั้นหรือ

แม้จะเป็นเช่นนี้จริงๆ แต่ช่วงนี้เสด็จอาเล็กก็ไม่อยู่เมืองหลวง

ครานี้ นางต้องสั่งสอนนังสารเลวสกุลลั่วนี่ให้ได้

“คุณหนูลั่วใจแข็งนัก ข้าขอลา!” เว่ยเหวินมองลั่วเซิง เดินสะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง

คุณชายสามเซิ่งก้าวเข้ามา มิอาจปิดบังความกังวลได้ “น้องลั่ว เจ้าทำให้ท่านหญิงขัดเคืองหรือไม่”

ลั่วเซิงยิ้ม ปลายนิ้วลูบผ่านกำไลทองบนข้อมือ “ก็ขัดเคืองตั้งนานแล้วมิใช่หรือ”

“นางจะมาหาเรื่องหรือไม่”

ลั่วเซิงยิ้ม “ไม่ต้องกลัว ข้านี่แหละปัญหา”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท