ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 327 คิดให้ดี

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 327 คิดให้ดี

ลั่วเซิงหน้าขรึมลง ไม่ปกปิดความหงุดหงิดแม้แต่น้อย “ท่านหญิงจวนผิงหนานอ๋องยกพวกไปทำลายหอสุรา”

ลั่วเย่ว์ตาโตทันที “พี่สาม หอสุราไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“ไม่เป็นอะไร ข้าตบหน้าท่านหญิงไป”

สามพี่น้องสีหน้าพลันเปลี่ยน ลั่วเย่ว์อดถามไม่ได้ว่า “แล้วพี่สามรอดมาได้อย่างไร”

“ข้าเห็นสถานการณ์ผิดปกติจึงสั่งคนไปศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลินรายงานพี่ใหญ่เงียบๆ”

สามพี่น้องได้ยินดังนั้นก็โล่งอกพร้อมกัน

ยังดีที่มีพี่บุญธรรมช่วยเหลือ

จากนั้นลั่วเซิงก็พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใครจะไปรู้ว่าพี่ใหญ่จะท่าดีทีเหลว สถานการณ์ผ่อนคลายลงแล้วถึงปรากฎตัว”

ลั่วเย่ว์กระตุกมุมปาก เตือนว่า “พี่สาม ข้าคิดว่าสำนวนที่ว่าท่าดีทีเหลวใช้แบบนี้ไม่ได้นะ…”

ลั่วเซิงหรี่ตามองนาง พูดเสียงราบเรียบว่า “ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้เรื่องจริงๆ”

ลั่วเย่ว์ “…” ช่างเถอะ ไม่ทะเลาะกับพี่สามแล้ว บอกว่าท่านพี่ไม่ได้เรื่องก็ไม่ได้เรื่อง อันที่จริงนางก็คิดว่าเขาไม่ค่อยได้เรื่องเช่นกัน

ลั่วอิงแอบมองลั่วฉิง ก่อนจะถามว่า “น้องสาม แล้วปัญหาถูกแก้ไขอย่างไร”

“รัชทายาทมาพอดีจึงสั่งสอนน้องสาวที่ไม่รู้ประสาของเขา ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไปแล้ว” ลั่วเซิงยังคงแสดงสีหน้าไม่พอใจ “ตอนที่ท่านพ่อยังไม่เกิดเรื่อง องครักษ์จิ่นหลินข่าวเร็วมาก ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้พี่ใหญ่เป็นคนคุม คนที่ข้าส่งไปหายังเมินเฉยได้ ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ไม่ได้เรื่องเป็นพิเศษหรือว่าไม่ใส่ใจเป็นพิเศษกันแน่”

“พี่สาม…” ลั่วเย่ว์เรียก

ลั่วเซิงเข้าใจทันที

เห็นทีแม้แต่ลั่วเย่ว์ก็รู้ว่าระหว่างลั่วฉิงและผิงลี่มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา

จะว่าไปแล้วก็ใช่ สามพี่น้องสนิทสนมกันแต่เด็ก การแบ่งปันความลับของเด็กสาวเป็นเรื่องปกติมาก

ส่วนคุณหนูลั่ว…ถึงแม้คุณหนูลั่วจะสนิทสนมกับพี่น้องก็คงไม่สามารถแบ่งปันความลับแบบนี้ เพราะปกติแล้วผู้ชายที่คุณหนูลั่วชอบจะถูกฉุดมาทันที

“น้องสามอย่าโมโหเลย พี่ใหญ่…อาจจะมีธุระอย่างอื่นจึงล่าช้าไป…” ลั่วฉิงเอ่ยปาก ใบหน้าร้อนผ่าว

ลั่วเซิงยิ้มหยัน “ตอนที่พี่ใหญ่มาถึงก็พูดเช่นนี้”

ลั่วฉิงหน้าแดงทันที นางพูดอะไรไม่ออกอีก

ลั่วเซิงพิงเตาอุ่น นวดหว่างคิ้วเบาๆ “พี่ใหญ่ พวกท่านกลับไปเถอะ ข้าจะพักผ่อนแล้ว”

“เช่นนั้นน้องสามพักผ่อนดีๆ หากไม่ไหวจริงๆ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปหอสุราแล้ว” ลั่วอิงเสนอแนะอย่างอ่อนโยน

ลั่วเซิงยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก “หอสุราน่ะต้องไปอยู่แล้ว คงไม่มีทางที่ทุกครั้งเจอปัญหาแล้วพี่ใหญ่จะติดธุระเพิกเฉยหรอก หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าคงต้องสงสัยในความกตัญญูของพี่ใหญ่ที่มีต่อท่านพ่อแล้ว”

มองส่งสามพี่น้องออกไป ลั่วเซิงเรียกโค่วเอ๋อร์อย่างเกียจคร้าน “ปรนนิบัติข้าอาบน้ำเถอะ”

สามพี่น้องที่ออกจากเรือนเสียนอวิ๋นย่วนเดินไปข้างหน้าเงียบๆ จู่ๆ ก็ไม่มีอารมณ์พูดคุยกัน

เมื่อใกล้ถึงทางแยก ลั่วอิงก็เดินช้าลง มองลั่วฉิงแล้วพูดว่า “ก่อนออกมาลี่ว์เอ้อทำซุปเห็ดหูหนูตุ๋นพุทราไว้ น้องรอง น้องสี่จะไปนั่งเล่นที่ห้องข้าหรือไม่”

ลั่วเย่ว์ยิ้มพยักหน้า “ได้สิ”

ถึงแม้พี่ใหญ่จะพูดกับพี่รอง แต่นางอยากกินซุปเห็ดหูหนูขาวตุ๋นพุทรา

ลั่วฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ

สามพี่น้องไปเรือนปินเฟินย่วนพร้อมกัน

ถ้วยน้ำแกงเล็กๆ อันประณีตมีกลิ่นหอมของพุทรา

นอกจากลั่วเย่ว์ที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ลั่วอิงและลั่วฉิงไม่มีใครแตะน้ำแกงหวานที่วางอยู่ตรงหน้าเลย

“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกพี่ไม่กินอีก น้ำแกงจะเย็นหมดแล้ว”

ลั่วอิงถือถ้วยลายครามใบเล็กที่กำลังอุ่นไว้ในมือและเอ่ยขึ้น “น้องรอง เรื่องของเจ้าและพี่ใหญ่ ควรลองคิดดูดีๆ หรือไม่”

มือของลั่วฉิงที่จับช้อนไว้ชะงักไปเล็กน้อย แก้มของนางถูกย้อมด้วยสีแดง “พี่ใหญ่เหตุใดจึงพูดเช่นนี้… เป็นเพราะคำพูดของน้องสามหรือ”

หากเป็นเมื่อก่อน ลั่วอิงอาจจะอ้อมค้อมกว่านี้ แต่หลังจากที่ผ่านเรื่องการถอนหมั้นมา กลับทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย

ได้ยินลั่วฉิงถามเช่นนี้ นางจึงพยักหน้าตอบไปตรงๆ “ใช่ ข้าคิดว่าคำพูดของน้องสามมีเหตุผลไม่น้อย”

“น้องสามมีอคติต่อพี่ใหญ่มาโดยตลอด…” ลั่วฉิงอดโต้แย้งไม่ได้

หาใช่เพียงพี่ใหญ่คนเดียว น้องสามมีอคติต่อพี่ชายบุญธรรมคนอื่นๆ เช่นกัน

ลั่วอิงส่ายศีรษะ “นั่นมันไม่เหมือนกัน ครอบครัวของเรากำลังเผชิญกับความยากลำบาก แม้พี่ใหญ่จะกำลังช่วยเรื่องท่านพ่อจึงมาช่วยไม่ทัน แต่การดูแลพวกเราให้ดีนั้นเป็นหน้าที่ แต่เห็นได้ชัดว่าพี่ใหญ่ทำได้ไม่ดี น้องรองคิดจริงๆ หรือว่าพี่ใหญ่ติดธุระอย่างอื่นจึงล่าช้า”

ผิงลี่คือใครหรือ เขาเป็นบุตรบุญธรรมที่ท่านพ่อรับเลี้ยงมา ในอดีตเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่อยู่ตามท้องถนน จะบอกว่าท่านพ่อมอบชีวิตใหม่ให้เขาก็ไม่เกินไปนัก

แต่เมื่อน้องสามเจอปัญหา ผลงานของพี่บุญธรรมกลับไม่เป็นที่พอใจเลย

จะให้บอกว่าปวดใจเพราะความผิดหวังก็ไม่ถึงขั้นนั้น แต่นางในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ จำเป็นต้องเตือนน้องรองเล็กน้อย

สตรีล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อถลำลึกเข้าไป ดวงตาก็จะเห็นเฉพาะสิ่งที่ตนอยากเห็น หัวใจมืดบอด

นางก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ

และด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่อยากให้น้องต้องเสียเปรียบเหมือนกับนาง

คำถามของลั่วอิงทำให้ลั่วฉิงนิ่งเงียบ ปลายนิ้วลูบคลำถ้วยน้ำแกง

ลั่วเย่ว์เช็ดมุมปากเบาๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “พี่รอง ข้าคิดว่าพี่ใหญ่พูดถูก แม้พี่สามจะแตกต่างไปจากเรา แต่ในเวลาสำคัญก็พึ่งพาได้ พี่ดูตอนที่พี่ใหญ่ถอนหมั้นสิ ต้องขอบคุณพี่สามที่ช่วยจัดการ…”

ดวงตาที่หลุบลงของลั่วฉิงสั่นไหวเล็กน้อย

นางอยากโต้แย้ง กลับไม่รู้ว่าจะโต้แย้งอย่างไร รู้สึกทั้งเสียใจและขมขื่น

พี่ใหญ่หมายความว่าท่านพี่คิดไม่ดีกับท่านพ่อหรือ

แต่พี่ใหญ่อ่อนโยนและรอบคอบมาโดยตลอด นางไม่อยากจะเชื่อเลย…

ลั่วฉิงจับช้อนแน่น กัดฟันพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปถามพี่ใหญ่”

ลั่วเย่ว์วางช้อนลง รีบพูดว่า “พี่รอง พี่อย่าไปถามเลย”

ลั่วฉิงมองนาง

“พี่รองคิดดูสิ หากเรื่องที่พี่ใหญ่สงสัยเป็นเรื่องจริง พี่ไปถามแล้วนอกจากจะทำให้เขาระวังตัวแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากพวกเราคิดมากไปเอง พี่ไปถามแล้วมีแต่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร การไปถามก็ไม่ใช่ความคิดที่ดี” ลั่วเย่ว์พูดออกมาราวกับไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองมากนัก แต่กลับพูดตรงประเด็น

“แล้วข้าควรทำเช่นไร…” ลั่วฉิงสีหน้าค่อยๆ ขาวซีด

นางคิดว่าตนเองมีสติมากกว่าน้องสี่ แข็งแกร่งกว่าพี่ใหญ่ แต่เมื่อถึงคราวตนเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองไม่ได้ดีไปกว่าใครเลย

น้ำตาบดบังแสงในดวงตา เส้นทางที่นางตัดสินใจมานานแล้วว่าจะเดินต่อไปมืดมน ไม่รู้ว่าควรเดินต่อไปหรือไม่

ลั่วอิงจับมือลั่วฉิง “น้องรอง น้องลองสงบสติอารมณ์แล้วลองตั้งใจคิด ไม่ต้องบีบคั้นตนเองว่าต้องตัดสินใจตอนนี้ อาจเป็นไปได้ที่พวกเราคิดมากไปเอง”

“ข้า ข้าจะลองตั้งใจคิดดู…” ลั่วฉิงพึมพำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยการต่อสู้ดิ้นรน

วันต่อมา หอสุราเปิดดังเดิม

“อาซิ่ว วันนี้คนของเซียวกุ้ยเฟยจะมารับไก่ขอทานใช่หรือไม่”

“เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นทำขนมพุทราให้ด้วยเถอะ”

ซิ่วเย่ว์มองลั่วเซิงนิ่งแล้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ”

ไม่นาน เกี้ยวเล็กๆ ที่มีม่านสีเขียวดูธรรมดาคันหนึ่งก็จอดอยู่ไม่ไกลจากหอสุรา สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา

ลั่วเซิงมองคนที่เดินเข้ามาแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท