ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 339 จับตัว

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 339 จับตัว

ผู้ที่เข้ามาคืออวิ๋นต้ง

อวิ๋นต้งถูกจับขังตั้งแต่ก่อนที่แม่ทัพใหญ่ลั่วจะเกิดเรื่องแล้ว ระหว่างนี้ผิงลี่ยังเคยไปเยี่ยม

อวิ๋นต้งที่เขาเห็นมีผมเผ้ารุงรัง ตกอยู่ในสภาพทุลักทุเล นั่งเหม่อลอยบริเวณมุมห้องที่มืดสลัว ราวกับหนูที่อาศัยอยู่ในคูน้ำส่งกลิ่นเหม็น

เขาเคยคิดอยากจะฆ่าอวิ๋นต้ง แต่คิดถึงเรื่องของท่านพ่อยังไม่มีข้อสรุปจึงยังไม่ได้ลงมือ

แต่บัดนี้อวิ๋นต้งที่ยืนตรงหน้าเขามีชีวิตชีวา นอกจากผอมไปเล็กน้อย แต่ไร้ซึ่งความจนตรอก

ผิงลี่หน้านิ่งขรึม ลุกขึ้นมาสร้างอานุภาพขู่ขวัญไว้ก่อนว่า “น้องห้า เจ้าบุกออกมาโดยพลการไม่สนใจคำสั่งของท่านพ่อ เจ้าช่างบังอาจจริงๆ!”

อวิ๋นต้งพูดเสียงเย็นชาว่า “บังอาจไม่เท่าพี่ใหญ่”

ผิงลี่ชะงัก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

เขามองไปที่แม่ทัพใหญ่ลั่วตามสัญชาติญาณ

แม่ทัพใหญ่ลั่วเองก็กำลังมองเขา

“ท่านพ่อ…” ผิงลี่เรียก รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดี

“ผิงลี่ ที่ผ่านมาข้าปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” แม่ทัพใหญ่ลั่วถาม

แม้น้ำเสียงของแม่ทัพใหญ่ลั่วจะอ่อนโยน แต่ลางสังหรณ์ไม่ดีนั้นกลับรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

ผิงลี่พยายามสงบสติอารมณ์ ก้มหน้าพูดว่า “ท่านพ่อเห็นลูกเป็นดังบุตรในสายเลือด”

“ยังจำได้หรือไม่ว่าเจ้ากลายเป็นลูกบุญธรรมของข้าอย่างไร”

ผิงลี่ก้มหน้าต่ำกว่าเดิม “จำได้ขอรับ ปีนั้นลูกอายุเพียงแปดขวบ เป็นเด็กขอทานตามถนนในเมืองหลวง มีวันหนึ่งมีคนใจดีคนหนึ่งวางซาลาเปาไส้เนื้อใส่ถ้วยของลูก ขอทานมากมายมารุมแย่ง เพื่อที่จะปกป้องซาลาเปาไส้เนื้อ ลูกต่อสู้กับพวกเขา ลูกกัดแขนของคนๆ หนึ่งไม่ยอมปล่อย จนเนื้อที่แขนของคนๆนั้นขาด ลูกถูกพวกเขาทุบตีเกือบตาย ท่านพ่อปรากฏตัวขึ้นในเวลานั้น และพาลูกกลับมา…”

จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ได้เรียนหนังสือและฝึกวิทยายุทธ์กับท่านพ่อ กลายเป็นลูกบุญธรรมผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินที่ทุกคนเกรงขาม ส่วนอดีตที่เคยเป็นขอทานนั้นก็ค่อยๆ ถูกลืมเลือนราวกับความฝัน

ไม่สิ อันที่จริงเขาไม่เคยลืม

หลายปีนี้ แม้แต่ตอนนี้ เขายังคงสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเป็นครั้วคราว ในฝันเขายังคงเป็นเด็กขอทานกำพร้า แม้จะต่อสู้อย่างสุดกำลังก็ไม่สามารถรักษาซาลาเปาไส้เนื้อไว้ได้

หลังจากตื่นขึ้นมา ความคิดที่อยากจะปีนป่ายขึ้นที่สูงก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

เขาไม่อยากตกต่ำจนถูกผู้อื่นย่ำยีอีก เขาต้องปีนขึ้นไป ปีนให้สูงกว่านี้… ปีนจนกว่าตนเองจะสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตนเองได้ จะไม่ล้มลงบนพื้นจนร่างแตกสลายเพราะคำพูดของใคร

“เจ้ายังจำได้หรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วที่มองชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย ราวกับตกอยู่ในความทรงจำเช่นกัน “ข้ายังจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าสูงแค่นี้…”

ผิงลี่เงยหน้ามอง

แม่ทัพใหญ่ลั่วทำท่าทาง มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ “สูงแค่นี้ ดูไปแล้วเหมือนกับหนู ครานั้นข้าตกใจมาก เด็กน้อยตัวเล็กเช่นนี้มีแรงจากไหนมากมาย ปล่อยให้ผู้อื่นทุบตีก็ไม่ยอมปล่อยขอทานที่แย่งซาลาเปาไส้เนื้อของเจ้าไป ข้าก็เลยคิดว่าเด็กน้อยคนนี้มีความสามารถไม่เลว หากเลี้ยงดูให้ดี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นผู้ช่วยที่ดีของข้าได้…”

ผิงลี่หลุบตาฟังเงียบๆ ดวงตาปรากฎความซับซ้อน ร่างกายเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ

เสียงของแม่ทัพใหญ่ลั่วดังขึ้นข้างใบหูของเขาไม่ใกล้ไม่ไกล “หลังจากพาเจ้ากลับมาแล้วถึงรู้ว่าเจ้าอายุแปดขวบแล้ว ไม่ใช่เด็กห้าหกขวบอย่างที่ข้าคิด แต่ว่าเจ้าเป็นคนฉลาดกว่าที่ข้าคิด ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนหนังสือแต่กลับเรียนรู้ตัวหนังสือมากมายได้อย่างรวดเร็ว แม้พรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์จะไม่โดดเด่นนัก แต่ก็ขยันฝึกฝนมาก พริบตาเดียวก็ผ่านไปสี่ห้าปีแล้ว เจ้าค่อยๆ ดูแลงานแทนข้าได้แล้ว…”

หลังจากเลี้ยงลูกบุญธรรมคนแรกที่ทั้งฉลาดและขยัน รู้สึกชื่นชมและพึ่งพาเขาได้ แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงเริ่มรับเลี้ยงคนที่สองและสามตามลำดับ…

รับเลี้ยงจนเติบใหญ่ เลี้ยงจนความทะเยอทะยานและจิตใจชั่วร้ายเติบโต

รอยยิ้มของแม่ทัพใหญ่ลั่วขมขื่นกว่าเดิม เขามองผิงลี่นิ่ง “ผิงลี่ หลายปีมานี้ข้าเคยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมหรือไม่”

ผิงลี่คุกเข่าลงในทันใด น้ำเสียงที่ตึงเครียดเจือความหวาดวิตก “ท่านพ่อบุญธรรมถามเช่นนี้ ทำให้ลูกละอายใจอย่างยิ่ง”

จู่ๆ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ทำหน้าเย็นชา พูดเสียงดุว่า “เจ้าควรละอายใจจริงๆ!”

พื้นหนาวเหน็บถึงกระดูก ผิงลี่กำหมัดประสานมือแน่น เส้นเลือดหลังมือปูดออกมา

ลางสังหรณ์ไม่ดีกลายเป็นเรื่องจริง

เขาย่อมไม่ยอม

“ท่านพ่อ ลูกไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด หลายปีมานี้ลูกจงรักภักดีต่อท่าน ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรทำให้ท่านโกรธเช่นนี้…”

“ไม่รู้รึ” แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มหยัน ชี้ไปที่อวิ๋นต้ง “ข้าคิดว่าเจ้าเห็นน้องห้าของเจ้าแล้วจะเข้าใจเสียอีก”

ผิงลี่มองไปที่อวิ๋นต้ง พยายามสงบสติอารมณ์อย่างยิ่ง “น้องห้าถูกท่านกักขังเพราะลอบทำร้ายคนของคุณหนูสามมิใช่หรือ เขาปรากฏตัวขึ้นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากท่าน ลูกคิดว่าน้องห้ากำเริบเสิบสานเกินไป”

ครานี้เองอวิ๋นต้งเอ่ยปาก “พี่ใหญ่คิดว่าผู้ที่ถูกขังนั่นคือข้าจริงๆ หรือ”

ผิงลี่ชะงัก

เขาเคยไปดูห้องขังที่ขังอวิ๋นต้งไว้ แน่นอนว่าเขาจากไปอย่างผู้กุมชัยชนะ

เพราะนั่นคืออวิ๋นต้งชัดๆ

แม้ครานั้นอวิ๋นต้งจะไม่ได้พูดอะไรกับเขา ผมก็ยุ่งกระเซิง ใบหน้าสกปรกมอมแมม แต่เขามั่นใจว่าเขาจำไม่ผิด

อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นพี่น้องกันมาหลายปี

“น้องห้าคงไม่ได้พูดล้อเล่นกับข้า ผู้ที่ถูกขังไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร”

อวิ๋นต้งเป็นคนจริงจัง บัดนี้มุมปากของเขากลับยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่านั่นคือใคร”

เขามองผิงลี่ที่คุกเข่าข้างเท้าแม่ทัพใหญ่ลั่ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง พูดทีละพยางค์ว่า “ข้าไปทางใต้มา”

ผิงลี่หน้าเปลี่ยนสีทันที เขาจ้องอวิ๋นต้งเขม็ง

“มีพ่อค้าคนหนึ่งรายงานต่อนายอำเภอหลิวชิงว่าชาวเมืองเมืองหนึ่งคือองครักษ์จวนเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกล้างตระกูลไปเมื่อสิบสองปีก่อน คนของเราได้ยินข่าวนี้แล้วก็ส่งคนไปส่งข่าวที่เมืองหลวงทันที แต่คนที่ออกไปส่งข่าวกลับถูกฆ่าตาย…”

ผิงลี่มองอวิ๋นต้งด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

อวิ๋นต้งสบตาเขา สีหน้าเย็นชา “สองคนที่สกัดกั้นและฆ่าคนส่งข่าวกำลังถูกข้าเฝ้าติดตาม ข้าจับสองคนนั่นมาสอบปากคำแล้ว พี่ใหญ่ทายสิว่าข้ารู้อะไรมา”

ผิงลี่ไม่ได้ปริปาก เพียงแค่เส้นเลือดบนหลังมือที่กำแน่นปูดออกมาชัดเจนกว่าเดิม

ความหนาวเหน็บที่ส่งมาจากภายนอกหัวเข่าสู้ความหนาวเหน็บในใจเขาไม่ได้

นั่นคืออารมณ์ต่างๆ ทั้งความตะลึง ความโมโห ความหวาดวิตก และความไม่เต็มใจตกผลึกเป็นความหนาวเหน็บ หนาวจนเขาไม่สามารถหายใจได้ ราวกับตกลงไปในนรกที่หนาวเย็น

พ่อบุญธรรมเริ่มสงสัยเขาตั้งแต่เมื่อไร และส่งอวิ๋นต้งไปทางใต้อย่างเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไร

มองดูผิงลี่ที่คุกเข่าบนพื้น อวิ๋นต้งพูดอย่างเย็นชาว่า “พี่ใหญ่เก่งจริงๆ เดิมทีจวนจินหลิงอยู่ภายใต้การดูแลของข้า แต่พี่กลับส่งคนเข้ามาตั้งแต่เนิ่นๆ มีแม้กระทั่งคนที่กลายเป็นมือขวาของข้า ในแง่ความสามารถ น้องละอายใจที่มิอาจสู้ได้”

ผิงลี่เม้มปาก “ท่านพ่อ ในเมื่อท่านสงสัยในตัวลูก เหตุใดเมื่อไม่กี่เดือนก่อนจึงส่งลูกไปจินซารับคุณชายน้อยกลับมาขอรับ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วหัวเราะ “ผิงลี่ เจ้าเป็นคนฉลาด คิดไม่ได้หรือ”

ผิงลี่เงยหน้ามองแม่ทัพใหญ่ลั่ว สีหน้าซีดเผือดกว่าเดิม

ที่แท้ท่านพ่อสงสัยเขาตั้งแต่ครานั้นแล้ว ดังนั้นมีธุระสองเรื่อง อวิ๋นต้งไปฆ่าโจรป่าระหว่างทาง ส่วนเขาไปรับลั่วเฉินกลับเมืองหลวง

เขาไปรับด้วยตนเอง ลั่วเฉินก็จะไม่เป็นอันตราย

ท่านพ่อช่างวางแผนจริงๆ!

แม่ทัพใหญ่ลั่วมองชายหนุ่มที่คุกเข่าตรงหน้า ถอนหายใจ “เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่คนฉลาดกลับตกเป็นเหยื่อความฉลาดของตนเอง ทหาร จับตัวผิงลี่ไป!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท