ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 344 ปล่อยมือ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 344 ปล่อยมือ

ม้าพันธุ์ดีที่เตรียมเอาไว้นั้นอยู่ไม่ไกล กำลังพ่นไอสีขาวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ

องครักษ์จิ่นหลินกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้ามาใกล้ แต่ใบหน้าผิงลี่กลับไร้ซึ่งความกังวล

ตอนนี้เขามีเกราะกำบังที่หนามากพออันหนึ่ง ขวางเอาไว้ได้นั้นถือว่าเป็นกำไร ขวางไว้ไม่อยู่ก็ไม่ได้ขาดทุน

หากต้องการประสบความสำเร็จมากกว่าผู้อื่น ก็จำเป็นต้องทุ่มเทมากกว่าคนทั่วไป ในวันที่ความทะเยอทะยานงอกเงยขึ้นมา เขาก็เข้าใจหลักการนี้แล้ว

“ให้พวกเขาถอยไปให้หมด” ผิงลี่เอ่ยกับอวิ๋นต้งที่ยืนอยู่หน้าสุดขององครักษ์จิ่นหลิน

อวิ๋นต้งสีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงเย็นว่า “พวกเจ้าถอยไปให้หมด”

เหล่าองครักษ์จิ่นหลินถอยไปด้านหลังพร้อมกัน

ผิงลี่โค้งริมฝีปากยิ้มเยาะ ควบคุมลั่วฉิงให้เข้าไปใกล้ม้าพันธุ์ดีทีละก้าวๆ

ลั่วเซิงจ้องไปทางสองคนนั้นอย่างไม่ละสายตา ทันใดนั้นก็ตะโกนเรียกว่า “พี่รอง”

ดวงหน้าซีดเผือดของลั่วฉิงมองไปทางลั่วเซิงผ่านหิมะสูง

เด็กสาวสวมแค่เสื้อคลุมสีพื้นตัวหนึ่ง เพราะรีบร้อนออกมาจึงไม่ได้สวมหมวกคลุมกันลมมาด้วย เผยให้เห็นเรือนผมสีดำราวอีกา ซึ่งขับเน้นดวงหน้าให้ขาวดุจหยกเหมันต์

สีหน้าของนางยิ่งเย็นชา เอ่ยทีละคำว่า “ท่านพ่อจะต้องเสียใจแน่ๆ”

เสียใจที่ความรู้สึกระหว่างบิดาและบุตรสาว ความรู้สึกระหว่างพี่น้อง ไม่อาจต้านทานบุรุษไร้น้ำใจและคุณธรรมคนหนึ่งได้

ลั่วฉิงถูกผิงลี่ดันให้อยู่ด้านหน้าจึงมองไม่เห็น นางกลับมองเห็นชัดเจนว่า ผิงลี่ไม่มีความสงสารตัวประกันในมือเลยสักนิดเดียว

และสิ่งที่นางรู้แน่ชัดยิ่งกว่าก็คือ ผู้ที่กล่าวว่าเป็นตัวประกันนั้นเดินไปในเส้นทางเดียวกันกับผู้จี้ปล้น

นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทำให้คนผิดหวังอย่างแท้จริง

สำหรับผิงลี่ เดิมก็เป็นโคลนเหม็นเน่าแอ่งหนึ่ง ใครจะผิดหวังกับโคลนเน่านี่กัน มีแต่จะรู้สึกว่า กลิ่นเหม็นตามที่คาดเอาไว้เลย

ลั่วฉิงได้ยินวาจาของลั่วเซิง แต่ไม่เข้าใจความหมายโดยนัยของวาจานั้น

นางตะโกนเรียกน้องสามอย่างยากลำบาก ก้นบึ้งนัยน์ตาซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ลึกๆ

นางรู้ว่านางไม่ควรทำเช่นนี้

นางทำผิดต่อท่านพ่อ ทำผิดต่อญาติพี่น้องในจวนลั่วทุกคน

แต่นางไร้หนทางแล้วจริงๆ นางแค่อยากให้พี่ใหญ่มีชีวิตต่อไป

เมื่อคิดเช่นนี้ หยาดน้ำตาก็รินไหลออกมามากกว่าเดิม

ท่ามกลางสายลมพัดแรงและหิมะที่ตกหนัก หยาดน้ำตาที่ไหลผ่านแก้มเนียนนุ่มนั้น ทำให้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนมีดน้ำแข็งกรีดผ่าน

หัวใจก็ยิ่งเจ็บปวด

ลั่วฉิงมองลั่วเซิง พลางร่ำไห้และบอกลาเงียบๆ

พี่ใหญ่บอกว่าจะพานางหนีไปให้ไกล หลังจากนี้ไป น่าจะไม่ได้เจอญาติพี่น้องแล้ว

ลั่วเซิงก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ประมาณระยะห่างและมุมครู่หนึ่งก็ละทิ้งความตั้งใจที่จะขว้างเตาอุ่นมือเพื่อทุบผิงลี่ให้สลบทิ้งไป

ผิงลี่เจ้าเล่ห์และระมัดระวังมาก อาศัยลั่วฉิงบังในจุดที่สะดวกต่อการโจมตีพอดี ทำให้คนไม่สะดวกลงมือ

ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยก็ไม่อาจบุ่มบ่ามได้ ผิงลี่ไม่เห็นชีวิตของลั่วฉิงอยู่ในสายตาเลยสักนิด

ช่างเถอะ ถือเสียว่าเป็นการประหยัดเตาอุ่นมือไปอีกหนึ่งเตาแล้วกัน

“คุณหนูสาม ท่านอย่าได้ก้าวมาข้างหน้าอีก” ผิงลี่เอ่ยเสียงเย็น

ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากยิ้ม “ข้าซึ่งเป็นสตรีอ่อนแอ บอบบาง ไร้เรี่ยวแรงจะเชือดไก่คนหนึ่งไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้หรอก เจ้าจะกลัวอะไร”

บอบบาง ไร้เรี่ยวแรงจะเชือดไก่หรือ

แม้ว่าผิงลี่จะระมัดระวังมากพอ แต่เมื่อได้ยินวาจานี้มุมปากก็กระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม “ข้าบอกแล้วว่า อย่าเข้ามาใกล้อีก”

ลั่วเซิงหยุดนิ่ง มองผิงลี่ค่อยๆ เขยิบไปตรงหน้าม้าพันธุ์ดี

เสียงตวาดสายหนึ่งดังขึ้น “ผิงลี่!”

องครักษ์จิ่นหลินแยกออกเป็นเส้นทางหนึ่ง แม่ทัพใหญ่ลั่วก้าวเท้ายาวๆ ออกมา

“เจ้าปล่อยฉิงเอ๋อร์ซะ!”

ผิงลี่เปลี่ยนน้ำเสียงที่เฉยชา พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “พ่อบุญธรรม ท่านเข้าใจข้าผิดแล้วจริงๆ!”

“เข้าใจผิดหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วชี้นิ้วไปทางลั่วฉิงที่ขวางอยู่ด้านหน้าผิงลี่ “ตอนนี้ก็เข้าใจผิดเหมือนกันหรือ”

ผิงลี่ยิ้มขื่น “พ่อบุญธรรม ลูกไม่มีทางเลือก ลูกไม่อยากถูกใส่ความจนตายจึงทำได้แค่ให้น้องรองได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว”

ผิงลี่เข้าไปใกล้ม้าพันธุ์ดีที่สะบัดหางอยู่แล้วมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง พลางกระชากลั่วฉิงมาทางตัวเองแล้วเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “พวกเจ้าชูมือขึ้นให้หมด ชูมือขึ้นเหนือศีรษะ!”

แม่ทัพใหญ่ลั่วจ้องผิงลี่เขม็ง พลางเอ่ยเสียงเย็น “ทำตามที่เขาพูด”

มือแต่ละคู่ชูขึ้นมา

สายตาของผิงลี่ตกลงบนร่างลั่วเซิง

ลั่วเซิงวางเตาอุ่นมือลงบนพื้นหิมะด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้วชูมือทั้งสองข้างขึ้น

เมื่อเห็นทุกคนล้วนชูมือขึ้นหมดแล้ว ผิงลี่ก็พลิกกายขึ้นม้าทันทีพร้อมกับดึงลั่วฉิงขึ้นไปด้วย

ม้าพันธุ์ดีร้องเสียงยาว ขยับฝีเท้าอย่างกังวล

ผิงลี่นั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้าแล้วก้มหน้ามองดวงหน้าคุ้นเคยแต่ละดวง

เขาอยากเป็นผู้บัญชาการขององครักษ์จิ่นหลิน แม้ว่าจะเป็นคนไร้ชื่อเสียงเรียงนามในองครักษ์จิ่นหลินก็ล้วนเคยใส่ใจพวกเขา น่าเสียดายที่ขอแค่มีท่านพ่อบุญธรรมอยู่ เขาก็ทำได้แค่มีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของอีกฝ่ายไปตลอดกาล

เขาเห็นม้าพันธุ์ดีหลายตัวที่ถูกกลุ่มคนขวางเอาไว้แล้ว ก็อดยิ้มเยาะไม่ได้

อีกฝ่ายไม่ยินยอมปล่อยเขาไปทั้งแบบนี้ เขาคิดได้แต่แรกแล้ว

กระทั่งสามารถจินตนาการได้เลยว่า เมื่อเขาควบม้าหลบหนีไป เสี้ยววินาทีที่สูญเสียศักยภาพในการเอาชีวิตลั่วฉิง ลูกธนูนับไม่ถ้วนก็จะยิงมายังแผ่นหลังเขา

ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมา ผิงลี่ปลดผ้ารัดเอวมามัดมือสองข้างของลั่วฉิงเอาไว้ แล้วให้นางนั่งอยู่ด้านหลังทันที

แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “ผิงลี่ เจ้ามันเดรัจฉาน!”

ผิงลี่ยิ้มเฝื่อน “ลูกบอกแล้วว่า ลูกก็ไม่มีหนทางอื่นเช่นกัน ท่านพ่อวางใจเถอะขอรับ ขอแค่ไม่มีคนลอบโจมตีข้า ข้าก็จะปกป้องน้องรองให้ดี”

แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าบึ้งตึง ไม่พูดอะไร

“ยังมี อย่าตามข้าไป อย่างน้อยก็ในระยะที่สายตาข้ามองเห็น ข้าไม่อยากเห็นว่ามีคนตามอยู่ด้านหลัง”

ผิงลี่เอ่ยจบก็กวาดตามองรอบหนึ่ง สายตาชะงักอยู่ที่ร่างของอวิ๋นต้งแล้ววาดผ่านลั่วเซิงไป จนสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ลั่ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วสบตาเขาด้วยสีหน้าเย็นชา สายตาประหนึ่งคมมีด

“พ่อบุญธรรม ลูกไปนะขอรับ” ผิงลี่เอ่ยจบก็หนีบท้องม้า

ม้าพันธุ์ดีทะยานออกไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งลูกธนู ในไม่ช้าก็ทิ้งรอยลึกของเท้าม้าเอาไว้บนพื้นหิมะ

อวิ๋นต้งจูงม้าตัวหนึ่ง พลางก้าวขึ้นมาด้านหน้า “พ่อบุญธรรม ข้าจะตามเขาไปขอรับ”

เมื่อเห็นว่า ม้าที่บรรทุกผิงลี่กับลั่วฉิงหายไปแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็พยักหน้าบึ้งตึง “ไปเถอะ”

อวิ๋นต้งพลิกกายขึ้นม้า ตามรอยเท้าม้าไป

ด้านหลังยังมีองครักษ์จิ่นหลินหน่วยหนึ่งตามไปติดๆ

ลั่วเซิงหยิบเตาอุ่นมือที่วางอยู่บนพื้นหิมะขึ้นมาแล้วเดินไปข้างกายแม่ทัพใหญ่ลั่ว

แม่ทัพใหญ่ลั่วมองไปด้านหน้าเนิ่นนานแล้วหันมาถามลั่วเซิง “เซิงเอ๋อร์หนาวหรือไม่”

ลั่วเซิงส่ายหน้า

“เข้าไปอบอุ่นร่างกายในห้องสักหน่อยเถอะ พ่อยังมีเรื่องต้องจัดการอีก”

“ท่านพ่อเชิญท่านหมอมาเฝ้าสักคนเถอะเจ้าค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าย่ำแย่ลง กัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าเดรัจฉานนั่น หากว่ากล้าทำให้ฉิงเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ พ่อจะต้องสับเขาให้สุนัขกินอย่างแน่นอน”

ลั่วเซิงหลุบตา นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พลางเอ่ยเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านพ่อถึงเห็นด้วยกับการให้พี่รองไปพบเขาล่ะเจ้าคะ”

เด็กสาวซึ่งตกอยู่ในห้วงความรู้สึกระหว่างชายหญิงคนหนึ่งจะทำเรื่องโง่งมออกมา นางไม่เชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วจะคิดไม่ถึง

แม่ทัพใหญ่ลั่วทอดสายตามองไปยังทิศทางนั้นอีกครั้งแล้วพึมพำ “พ่อแค่อยากจะดูว่า…”

ดูว่าฉิงเอ๋อร์จะเลือกอะไร

ดูว่าหลังจากฉิงเอ๋อร์เลือกตัวเลือกที่ย่ำแย่ที่สุดออกมาแล้ว จะยอมแพ้หรือไม่

ดูว่านอกจากเขาแล้ว คนที่ต้องการชีวิตผิงลี่ยังมีใครอีก

เขาไม่อยากใช้ประโยชน์จากบุตรสาว เขาเพียงแค่มอบโอกาสในการเลือกให้นาง

ถนนซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะราวกับมองไม่เห็นปลายทาง ทิวทัศน์คุ้นเคยบนถนนคล้ายจะเปลี่ยนเป็นไม่คุ้นตา ข้างหูนอกจากลมหนาวหวีดหวิวก็คือเสียงฝีเท้าม้าอันร้อนรน

ผิงลี่พาลั่วฉิงหนีออกมาไกลมากแล้ว

“พี่ใหญ่ พวกเราจะไปไหนกันหรือ” ลั่วฉิงรู้สึกว่าตัวเองจะหนาวจนตัวแข็งแล้ว นางเอ่ยปากถามด้วยความยากลำบาก

เสียงซึ่งถูกลมหนาวพัดจนขาดๆ หายๆ ของนางลอยเข้าสู่ใบหูผิงลี่

“น้องรอง ขอโทษด้วย”

วาจาอ่อนโยนของชายหนุ่มลอยเข้าหูเด็กสาวที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็คลายมือออกทันที

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท