ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 347 ประลอง

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 347 ประลอง

ใกล้วันส่งท้ายปีเก่า ไม่ว่าจะเป็นผู้มีกิจการและทรัพย์สินเงินทองหรือว่าผู้ที่ในถุงเงินไม่ค่อยมีเงินก็ล้วนมาเดินถนนจับจ่ายซื้อของที่จะใช้ในวันปีใหม่

แผงน้ำชา ร้านขายเนื้อ หอสุราและโรงรับจำนำ ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยผู้คน

แผงขายหมั่วโถวเนื้อบริเวณปากทางครอบครองทำเลที่ตั้งราคาถูก คนที่ยังเหลือเศษเงินในกระเป๋าเหล่านั้นเดินเหนื่อยแล้ว ซื้อของเรียบร้อยแล้วก็จะจ่ายเงินสามเหวินเพื่อซื้อหมั่นโถวเนื้ออุ่นร้อนลูกหนึ่งมาเติมเต็มท้อง

กลิ่นหอมของหมั่นโถวเนื้อลอยออกไปไกล ดึงดูดให้ขอทานเด็กกลุ่มหนึ่งเดินวนอยู่รอบแผงลอย แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป

หวังต้าเหนียงคนขายหมั่นโถวเนื้อนั้นไม่ควรล่วงเกิน นางจะหยิบมีดทำอาหารขึ้นมาฟันคนเอาได้

แผงน้ำชาซึ่งขายชาหยาบๆ แห่งหนึ่ง มีคนนั่งเต็มม้านั่งหนึ่งแถว

ชายดวงหน้าธรรมดาสองคนดื่มน้ำชาเงียบๆ แต่หางตากวาดมองผ่านจุดหนึ่งไปในบางครั้ง

พวกเขาเป็นคนของนายท่านห้าอวิ๋นต้ง

สามวันก่อน คนของพวกเขาเฝ้าอยู่ที่นี่ ทุกวันล้วนเปลี่ยนหน้าใหม่มาแทน ไม่ใช่เพียงเพราะคนทรยศผิงลี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านแห่งนั้น ยังมีกลุ่มอิทธิพลที่ลอบสังหารนายอำเภอหลิวชิงกลุ่มนั้นด้วย

นายท่านห้าบอกว่าไม่อาจหุนหันพลันแล่น การดึงกลุ่มอิทธิพลฝ่ายนั้นออกมาต่างหากที่เป็นเป้าหมายของแม่ทัพใหญ่

สถานที่แห่งนี้มีคนดีคนเลวปะปนกัน ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา หากผิงลี่ไม่ปรากฎตัวก็ไม่สามารถจับตัวคนฝ่ายนั้นได้เลย

แต่ความอดทนของผิงลี่นั้นดีเกินไปหน่อย สามวันมานี้ ไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย

ได้ยินสหายกลุ่มแรกที่ตามมาเล่าว่า สามวันก่อน ผิงลี่ซื้อแค่หมั่นโถวเนื้อหกลูก

นึกถึงหมั่นโถวเนื้อ ชายหนุ่มก็กวาดตามองไปทางแผงขายหมั่นโถวเนื้อซึ่งอยู่ไม่ไกลเงียบๆ

หมั่นโถวเนื้อกรุ่นร้อน ก่อนที่จะทำภารกิจสำเร็จก็ทำได้แค่มอง

เชิงกำแพงมีเศษหิมะเหลืออยู่ บนพื้นเต็มไปด้วยโคลน ชายว่างงานหลายคนใช้ปลายเท้าเล่นโคลนกันอย่างเบื่อหน่าย

ชายว่างงานเช่นนี้สามารถพบเห็นได้ทุกแห่งในเมืองตะวันออก ไม่เป็นบุตรชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายในละแวกเพื่อนบ้านคุ้นเคยตระกูลหนึ่งก็เป็นคนต่างถิ่นที่ระเหเร่ร่อนมา ไม่มีใครอยากจะมองให้นานกว่านี้แม้แต่น้อย

เหล่าชายว่างงานแววตาเปล่งประกาย มองไปรอบๆ เพื่อหาเป้าหมาย หากว่าพบคนที่ดูแล้วรังแกได้ง่าย หรือหาโอกาสหางานทำได้ การกินดื่มในวันหนึ่งก็มีที่พึ่งแล้ว

การเป็นคนว่างงานนั้นคาดหวังอาหารให้กินดื่ม เรื่องน่าเกรงขามเฉกเช่นการออกปล้นสะดมชาวบ้านนั้น ยังไม่มีความกล้าที่จะทำ ทำได้เพียงแค่ใฝ่ฝันถึงเงียบๆ

หนึ่งในคนว่างงานนั้นมีดวงหน้าไม่คุ้นตา ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่และอากัปกิริยาแล้ว ไม่ต่างอะไรจากคนว่างงานอื่นๆ กระทั่งแววตาละโมบและอารมณ์ร้อนก็ยังเหมือนกัน เพียงแต่บางครั้งจะกวาดสายตามองไปรอบด้าน และมีประกายเฉียบขาดแวบผ่านก้นบึ้งนัยน์ตาไป

ข้างแผงน้ำชามีแผงทำนายดวงชะตา หมอดูตาบอดไม่มีลูกค้ารายแรกเข้ามาเสียทีจึงตัดสินใจใช้เวลาส่วนใหญ่อาบแดดอย่างเกียจคร้านแทน

บางครั้งนัยน์ตาขุ่นมัวไร้จุดศูนย์รวมคู่นั้น จะเหม่อมองไปยังทิศทางหนึ่ง บางครั้งก็เป็นร้านหมั่นโถวเนื้อ บางครั้งก็เป็นบ้านหลังซอมซ่อ และบางครั้งก็เป็นแผงน้ำชากับเชิงกำแพง

คนหลายฝ่ายรอคอยกันเงียบๆ เป็นการประลองความอดทนอย่างไร้ลักษณ์

หลังจากผิงลี่ยืนนิ่งอยู่หลังประตูซอมซ่อสักพักหนึ่ง ถึงได้ยื่นมือไปวางลงบนดาลประตู

เขาไม่ได้ลังเลแบบนี้มานานมากแล้ว

อาจเป็นเพราะใช้ชีวิตมีเกียรติและร่ำรวยมาหลายปี เขานึกว่า เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้จะทำทุกสิ่งได้ง่ายดายโดยแทบไม่ต้องออกแรง แต่ความจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ความกังวล ความตระหนกกลัว ความสงสัย…อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ กดทับลงบนหัวใจ ทำให้เขาลังเลตัดสินใจไม่ถูก

มาถึงตอนนี้ เขาจำเป็นต้องยอมรับว่า เขาสูญเสียความกล้าที่จะสู้ตายเพื่อหมั่นโถวเนื้อหนึ่งลูกเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว

ดาลประตูเป็นไม้แนวขวางอันหนึ่ง เปราะบางและอ่อนแอ กับประตูไม้ซอมซ่อบานหนึ่งนั้น ความจริงแล้วไม่สามารถต้านทานอะไรได้

ผิงลี่ดึงดาลประตูแล้วดึงประตูให้เปิดออก

หากว่าพ่อบุญธรรมหรือว่าคนของทางฝ่ายนั้นค้นพบร่องรอยของเขา ประตูเก่าๆ บานหนึ่งไหนเลยจะต้านทานได้

นอกประตูเสียงดังอึกทึก หิมะบนชายคาตรงหน้าที่ส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์นั้น แสบตาอยู่บ้าง

ผิงลี่หรี่ตา รู้สึกปรับตัวไม่ได้เล็กน้อยไปชั่วขณะ

ผิงลี่จัดระเบียบความคิด เดินออกไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

เขากวาดตามองรอบๆ พ่อค้าหาบเร่ ชายชราซึ่งเข็นรถเข็นล้อเดียว หญิงที่สะพายตะกร้าขายไก่…ภายใต้ความยุ่งเหยิงแสดงให้เห็นถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย

ผิงลี่จิตใจสงบลงเล็กน้อย เร่งเท้าเดินไปทางร้านหมั่นโถวเนื้อ

องครักษ์จิ่นหลินสองนายที่แผงลอยน้ำชาสบตากันแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ขยับเขยื้อน ในทางตรงกันข้ามกลับดื่มชาต่ออีกถ้วย แววตาฉายแววตื่นเต้นออกมา

นับว่าไม่ได้รอเสียเปล่า ตากลมหนาว ดื่มชาหยาบๆ ไปมากมายขนาดนี้จนจะท้องเสียอยู่แล้ว

มีคนผู้หนึ่งเดินไปตรงหน้าแผงทำนายดวงชะตาให้หมอดูตาบอดจับกระดูกทำนายดวงชะตาพอดี

หมอดูมีสีหน้าสบายๆ แต่ในใจกลับสบถด่า ‘ให้ตายเถอะ สามวันแล้วไม่มีคนที่มาทำนายดวงชะตาอย่างจริงจัง แต่ดันมาตอนนี้เสียได้’

เมื่อดวงหน้าสบายๆ นั้นตกอยู่ในสายตาผู้มาเยือนกลับกลายเป็นผู้สูงส่ง ดังนั้นจึงยิ่งไม่ยอมจากไป

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…

ชายว่างงานซึ่งพิงเชิงกำแพงล้วงมือเข้าไปในเสื้อนวมผ้าฝ้ายเก่าๆ ตัวหนึ่งแล้วหยิบหน้าไม้ออกมาอันหนึ่ง

ในตอนที่ชายว่างงานคนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตเห็น ลูกธนูดอกหนึ่งก็ถูกยิงตรงไปที่ด้านหลังตำแหน่งหัวใจของผิงลี่

องครักษ์จิ่นหลินสองนายเคลื่อนไหวแล้ว

พวกเขาไม่ได้วิ่งห้อไปทางผิงลี่ แต่วิ่งไปทางที่ลูกธนูถูกยิงออกมาแทน

มือของหมอดูยกขึ้น หินสองก้อนโจมตีถูกข้อพับหัวเข่าองครักษ์จิ่นหลินสองนาย

องครักษ์จิ่นหลินสองนายขาไร้เรี่ยวแรงล้มลงไปกองบนพื้น มองดูชายว่างงานวิ่งหนีจากไปไกลทั้งแบบนั้น

องครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งเอ่ยอย่างโมโหว่า “เขายังมีพรรคพวก!”

ภายใต้ความสับสนอลหม่าน กลับแยกไม่ชัดเจนว่าก้อนหินนั้นมาจากทิศทางใด

องครักษ์จิ่นหลินอีกนายหนึ่งรีบเอ่ยว่า “รีบจับผิงลี่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”

ตัวการใหญ่ที่คิดจะจับหนีไปแล้ว หากผิงลี่หนีไปได้อีก หลังจากกลับไป แม่ทัพใหญ่จะต้องถลกหนังพวกเขาแน่นอน

โชคดีที่พวกเขาเองก็มีพรรคพวก เพื่อไม่ให้ผิงลี่หนีไปได้ในตอนที่พวกเขาตะลุมบอนกับตัวการใหญ่

สองคนที่ลุกขึ้นมารีบวิ่งไปทางแผงขายหมั่นโถวเนื้อ

เดิมผิงลี่ก็มีใจระแวดระวังอยู่แล้ว ตอนที่ได้ยินเสียงแหวกอากาศของลูกธนูซึ่งแอบยิงมาก็รีบหลบไปด้านข้างทันที

ลูกธนูแหลมคมเย็นเยียบเสียบเข้าที่หัวไหล่ ความเจ็บปวดคืบคลานเข้ามา

เสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องเป็นระลอก สถานการณ์วุ่นวายโกลาหลขึ้นมาทันที

ผิงลี่ไม่มีเวลามาสนใจดึงลูกธนูออก เขาก้าวเท้าวิ่งหนีไปทันที

เขาเห็นบุรุษสองคนวิ่งมาทางเขาแล้ว

เขาไม่รู้จักสองคนนั้น แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคย นั่นคือคนขององครักษ์จิ่นหลิน

ผิงลี่พลันวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม

ทิศทางตรงกันข้ามก็มีคนมุงอยู่เช่นกัน

ผิงลี่สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย วิ่งไปอีกทิศทางหนึ่ง แต่จู่ๆ ก็มีอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นมา ความเร็วจึงลดลงโดยไม่รู้ตัว

ไม่ได้การแล้ว ลูกธนูมีพิษ!

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ เบื้องหน้าผิงลี่ก็ดำมืดแล้วล้มลงไปด้านหน้าทันที

องครักษ์จิ่นหลินหลายนายเข้ามาล้อมอย่างรวดเร็ว กดผิงลี่ที่ชักกระตุกบนพื้นเอาไว้

“นำตัวไป!”

องครักษ์จิ่นหลินพาตัวผิงลี่จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะสงบใจจากความตื่นตระหนก บวกกับไฟแห่งการซุบซิบนินทาที่ดุเดือดเอาไว้ด้านหลัง

เกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะ เจ้าหน้าที่ทหารมาจับโจรหรือ

ด้านหน้าแผงทำนายดวงชะตา ชายหนุ่มที่มาทำนายดวงชะตาตะลึงอ้าปากค้าง นิ้วที่ชี้ไปทางหมอดูสั่นเทา พลางเอ่ยว่า “ข้า ข้าเห็นหมดแล้ว!”

หมอดูตาบอดผู้นี้ถึงกับหยิบหินขึ้นมาสองก้อนแล้วปาออกไป ทำให้สองคนที่กำลังดื่มชาล้มลงไป

ก้อนหินใช้มาวางทับแผนผังแปดทิศสกปรกซอมซ่อชัดๆ…

ชายหนุ่มรู้สึกว่าไม่อาจยอมรับความเป็นจริงที่เห็นได้

นัยน์ตาขุ่นมัวของหมอดูมองไปยังชายหนุ่มแล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “จะยังทำนายดวงชะตาหรือไม่ เจ้านี่พูดมากจริง!”

“ไม่ ไม่ทำนายแล้ว!” ชายหนุ่มวิ่งเผ่นแนบไปทันที

หมอดูยกมือขึ้นลูบครั้งหนึ่ง ดวงตาขุ่นมัวก็กลับคืนสู่ความกระจ่างใส เบ้ปากเอ่ยว่า “ถุย โชคร้ายมาที่แผงทำนายดวงชะตาแล้วยังจะทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมอีก”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท