ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 348 ลืม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 348 ลืม

อวิ๋นต้งหลบอยู่ข้างร้านขายของชำซึ่งห่างจากแผงหมั่นโถวเนื้อระยะหนึ่ง ไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไป

แม้ว่าจะทำการอำพรางเช่นนี้แล้ว แต่การที่เขาคุ้นเคยกับผิงลี่ ผิงลี่เองก็คุ้นเคยกับเขาเช่นกัน

ในขณะที่เสียงความวุ่นวายดังลอยมา อวิ๋นต้งก็ไล่ตามคนที่ยิงธนูใส่ผิงลี่ไปทันที ดำเนินการโดยมีเป้าหมายเดียวกันกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่แผงน้ำชา

กลุ่มคนที่สับสนอลหม่านทำให้การเคลื่อนไหวช้าลงเงียบๆ

อวิ๋นต้งผลักคนที่ขวางอยู่ข้างหน้าไปด้านข้าง ทันใดนั้น ที่หัวไหล่ก็มีมือข้างหนึ่งวางลงมา

เขาคว้าข้อมือคนผู้นั้นเอาไว้ทันที สองคนต่อสู้กันขึ้นมา

พริบตาเดียวก็ผ่านไปเจ็ดแปดกระบวนท่า อวิ๋นต้งตระหนักได้ว่า ฝีมือของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าเขา

“องครักษ์จิ่นหลินทำคดี เจ้าเป็นคนของฝ่ายใด” อวิ๋นต้งถามเสียงต่ำ

คนผู้นั้นไม่ตอบอันใด กระบวนท่าดุเดือดยิ่งขึ้น ผ่านไปไม่นานก็หาช่องโหว่พบจึงกำรอบคออวิ๋นต้งเอาไว้

อวิ๋นต้งยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าเขียวคล้ำ

ฝีมือเขาไม่ด้อย กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่าไม่เป็นสองรองใครในองครักษ์จิ่นหลิน คิดไม่ถึงว่าประมือกันหลายสิบกระบวนท่า จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แทน

ผู้ที่ประมือกับเขาเป็นเทพเจ้าจากที่ใดกันแน่

ความคิดเหล่านี้เพิ่งจะแวบผ่านไป มือที่บีบคอเขาอย่างรุนแรงพลันคลายออก

อวิ๋นต้งหมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว ก็เห็นว่าคนผู้นั้นเดินหายลับไปอย่างว่องไวท่ามกลางฝูงชนเสียแล้ว

อวิ๋นต้งอดขมวดคิ้วไม่ได้

แม้ว่าคนผู้นั้นจะโจมตีดุดัน แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงเจตนาสังหารเลย

นั่นหมายความว่าเดิมคนผู้นั้นไม่ได้ต้องการจะเอาชีวิตเขา แต่…อวิ๋นต้งมองไปยังทิศทางซึ่งคนที่ลอบสังหารผิงลี่ล่าถอยออกไป

เป้าหมายของคนคนนั้น ก็คือยับยั้งการไล่ตามคนที่ลอบสังหารผิงลี่

นี่เพราะเหตุใดกัน

อวิ๋นต้งกำลังครุ่นคิด องครักษ์จิ่นหลินหลายนายก็พาตัวผิงลี่เข้ามา “นายท่านห้า ลูกธนูมีพิษ สถานการณ์ของผิงลี่ไม่ค่อยดีเท่าไรขอรับ”

ผิงลี่ถูกองครักษ์จิ่นหลินสองนายหิ้วปีกมา นัยน์ตาคู่นั้นปิดสนิท สีหน้าดำทะมึน ศีรษะห้อยตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

ลูกธนูดอกนั้นยังคงปักอยู่บนหัวไหล่เขา

ในเมื่อบนลูกธนูอาบยาพิษไว้ ก็อธิบายได้ว่า คนฝ่ายนั้นมีใจต้องการเอาชีวิตผิงลี่ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นพิษรุนแรง

อวิ๋นต้งใช้ผ้าห่อมือแล้วดึงลูกธนูออกมา โลหิตสีดำคล้ำเจือไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวทะลักออกมาทันที

เขาตัดสินใจหยิบกริชออกมาคว้านเนื้อบนหัวไหล่ส่วนนั้นของผิงลี่ออกแล้วพันผ้าลวกๆ ผืนหนึ่ง พลางสั่งการว่า “พากลับไปก่อน ค่อยว่ากัน”

เสี้ยววินาทีที่เลือดเนื้อถูกคว้านออกไป ดวงตาที่ปิดสนิทคู่นั้นของผิงลี่ก็สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

ผิงลี่จมอยู่ในแดนฝันอันยาวนาน

ในความฝัน เขาย้อนกลับไปในตอนเด็ก ตอนที่เป็นขอทานอายุแปดขวบคนนั้น

เขาไม่ได้กินอะไรอิ่มท้องมานานมากแล้ว บางครั้งก็มีคนใจดีเทอาหารที่กินเหลือใส่ในชามเก่าๆ ของเขา ในวันที่อากาศร้อนก็ยังสามารถได้กลิ่นเปรี้ยวบูด

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังกินอย่างตะกละตะกลาม

เขาเคยเห็นขอทานที่ขอทานด้วยกันเมื่อวานกลายเป็นศพเย็นชืดในวันถัดไปแล้วถูกคนลากไปโยนในป่าช้ามามากเกินไป

กินอาหารให้มาก ถึงจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ถึงจะสามารถเติบโตได้ เขาไม่อยากถูกโยนไว้ในป่าช้า ให้สุนัขข้างถนนมาฉีกกินศพของเขา

จนกระทั่งวันนี้ ในชามของเขามีหมั่นโถวเนื้อเพิ่มขึ้นมาลูกหนึ่ง

หมั่นโถวเนื้อขาวอวบนุ่มนิ่ม ทั้งยังมีไอร้อนกรุ่น เพิ่งจะออกจากหม้อมา

ในตอนนั้น เขาบ้าคลั่งไปแล้ว

ใครแย่งหมั่นโถวเนื้อของเขา เขาจะสู้ตายกับคนผู้นั้น!

ในภายหลังได้ใช้ชีวิตที่มีอาหารเลิศรส อาภรณ์สวยหรูที่เขาอยากใช้มานานหลายครั้ง ถ้าหากว่าวันนั้น พ่อบุญธรรมไม่ได้ปรากฏตัว การที่เขาถูกทุบตีจนตายเพื่อปกป้องหมั่นโถวเนื้อเอาไว้นั่นคุ้มค่าหรือไม่

คำตอบนั้นไม่เคยเปลี่ยนไป แน่นอนว่าคุ้มค่า

และเพราะการสู้ตายเพื่อหมั่นโถวเนื้อหนึ่งลูกในครั้งนั้น เขาถึงได้ตระหนักว่า มีบางสิ่งที่คู่ควรจะทุ่มเทกายใจ รวมถึงชีวิตของตนเองต่อสู้เพื่อให้ได้มา

ลำคอถูกบีบเอาไว้จึงหายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเขาก็กัดแขนขอทานที่แย่งหมั่นโถวเนื้อของเขาไว้แน่นไม่ปล่อย

ระหว่างที่ภาพตรงหน้าพร่ามัว เขาก็เห็นเท้าคู่หนึ่งหยุดอยู่ตรงหน้า

ขอทานที่บีบคอเขาถูกโยนไปอีกด้าน คนผู้นั้นก้มตัวลงมา ยื่นหมั่นโถวเนื้อมาตรงหน้าเขา

เขาพยายามยัดหมั่นโถวเนื้อเข้าปากสุดชีวิต โดยไม่สนใจความปวดแสบปวดร้อนที่ลำคอ และได้ยินคนผู้นั้นถามเขาว่า “อยากไปกับข้าไหม หลังจากนี้ทุกวันจะมีหมั่นโถวเนื้อให้กิน”

ปากเขามีหมั่นโถวเนื้อที่ถูกยัดเอาไว้จึงพยักหน้าอย่างแรงแทน

ในสายตาพร่าเลือนนั้น คนผู้นั้นสูงใหญ่มากและอ่อนโยนมาก

ความยุ่งเหยิงทั้งหมดพลันเปลี่ยนเป็นกระจ่างชัดในยามนี้ เขานึกขึ้นมาได้แล้ว เขาในตอนนั้นกำลังคิดว่า เขาช่างโชคดีเสียจริงที่ได้พบกับคนดีท่านหนึ่ง

น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นจากหางตาผิงลี่อย่างเงียบงัน

ที่แท้ สิ่งที่เปลี่ยนชะตาขอทานของเขาไม่ใช่หมั่นโถวเนื้อลูกนั้น แต่เป็นพ่อบุญธรรม

เพียงแต่เขาไม่ยินยอมที่จะระลึกถึงประสบการณ์ในตอนที่เป็นขอทานจึงลืมมันไปแล้ว

“ผิงลี่ ผิงลี่…” อวิ๋นต้งเขย่าแขนผิงลี่

ผิงลี่ทิ้งศีรษะลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักนิดเดียว

อวิ๋นต้งยื่นมือไปอังลมหายใจผิงลี่ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

สัมผัสไม่พบ!

ท่านหมอถูกเชิญมาที่ศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลินอีกครั้ง

หลังตรวจอาการ ท่านหมอก็ส่ายหน้า “คนไม่อยู่แล้ว”

อวิ๋นต้งมองไปทางแม่ทัพใหญ่ลั่ว แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

อวิ๋นต้งส่งสายตาให้องครักษ์จิ่นหลินนายหนึ่งพาตัวท่านหมอออกไป

“พ่อบุญธรรม…”

“ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ”

หิมะในวันนั้นเหลือเศษทิ้งไว้บนชายคา ใต้ต้นไม้ และทิวทัศน์ส่วนใหญ่ล้วนเผยรูปโฉมดั้งเดิมออกมา

เดียวดาย รกร้าง

เหมือนกับทุกฤดูหนาวในเมืองหลวง

“คนที่ขวางเจ้าเอาไว้กับคนที่ลอบสังหารผิงลี่เป็นพวกเดียวกันหรือไม่”

อวิ๋นต้งนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แม้ว่าจะไม่มีหลักฐาน แต่ลูกคิดว่าไม่ใช่ขอรับ”

คนที่ขัดขวางเขา บีบคอเขาเอาไว้แน่น การบิดคอเขาให้หักเป็นเรื่องเพียงเสี้ยววินาที ไม่ได้ทำให้การหนีของคนผู้นั้นล่าช้า

แต่คนผู้นั้นกลับเลือกที่จะปล่อยเขา

แม่ทัพใหญ่ลั่วนวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “เรื่องของผิงลี่ เจ้าก็จัดการสักหน่อยแล้วกัน”

“ขอรับ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วหันไปมองประตูที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่งแล้วก้าวเท้ายาวๆ จากไป

ลั่วเซิงได้รับข่าวคราวในตอนที่ดึกแล้ว

“คุณหนู ท่านต้องจินตนาการไม่ออกแน่ว่า สถานที่เกิดเหตุครึกครื้นเพียงใด คนที่จ้องผิงลี่มีกันหลายฝ่าย…” โค่วเอ๋อร์เอ่ยหน้าบานเป็นกระด้ง

นับตั้งแต่ตนเองกระจายหูตาไปทั่วเมือง โค่วเอ๋อร์ก็เหมือนจะหาเป้าหมายในชีวิตได้ในทันที ความคิดที่จะแข่งกันเป็นสาวใช้อันดับหนึ่งกับหงโต้วก็จืดจางลงไปชั่วขณะ

ขอทานที่อยู่รอบๆ แผงหมั่นโถวเนื้อก็คือคนของลั่วเซิง

“คนของพวกเราตามทันไหม” ลั่วเซิงถาม

“คุณหนูโปรดวางใจ เมืองตะวันออกนั้นอะไรก็ขาดแคลน แต่ไม่ขาดแคลนขอทาน ตลอดทางล้วนมีคนของพวกเราเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ ไม่พูดอะไรอีก

ใช้ขอทานพวกนั้น ไม่หวังว่าพวกเขาจะสามารถขวางคนเอาไว้ได้ หากว่าสามารถค้นพบรังของกลุ่มนักฆ่าได้ก็เป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่แล้ว

ตอนนี้เอง สือเยี่ยนที่มารายงานข้อมูลให้เว่ยหานเดินเตร่ไปดูพี่ใหญ่สือหั่ว

“พี่ใหญ่ ได้ยินมาว่านายท่านส่งพี่ไปขัดถังส้วมมา เรื่องมันเป็นอย่างไรกัน?“

เมื่อก่อนการขัดถังส้วมล้วนเป็นงานที่เขาถูกสั่งให้ไปทำ บางครั้งก็มีน้องสี่มาแบ่งเบาบ้าง ทำไมจู่ๆ ถึงได้ถึงคราวพี่ใหญ่เสียแล้ว

สือหั่วถามเสียงเย็น “น้องสามไม่ได้รั้งอยู่ที่หอสุราเพื่อคอยช่วยเหลือคุณหนูลั่วหรือ ทำไมถึงกลับมาล่ะ“

สือเยี่ยนข่มกลั้นความลำพองใจ พลางถอนหายใจ “ช่วยไม่ได้ พี่ใหญ่ไม่รู้หรอกหรือว่า น้องชายปลอมตัวเป็นหมอดูได้ดีเยี่ยม นายท่านจึงตั้งใจสั่งข้าไปจับตาดูองครักษ์จิ่นหลินพวกนั้น เป็นการเลี่ยงไม่ให้พวกเขาทำนายท่านเสียเรื่อง…”

องครักษ์คนสนิทที่เลี้ยงห่านเป็น ปลอมตัวเป็นหมอดูได้ ทั้งยังสามารถเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในร้านได้แบบเขานั้น นับว่าหาได้ยาก

คนเก่งย่อมต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เก่งกาจเกินไป ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

สือหั่วเม้มปาก “มานี่”

“มีเรื่องอะไรหรือพี่ใหญ่”

สือหั่วถีบเท้าออกไปทันที

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท