ตอนที่ 349 ชอบนิดหน่อย
ถึงยามบ่าย จู่ๆ ก็มีหิมะตกอีกครั้ง
ร่มกระดาษน้ำมันสีเขียวดุจปทุมมาสีเขียวดอกหนึ่งที่เบ่งบานท่ามกลางหิมะขาวโพลน ลอยไปทางมีหอสุราอย่างไม่รีบร้อน
หงโต้วยืนอยู่นอกประตูหอสุรา สาดข้าวฟ่างออกไป
นกกระจอกหลายตัวกระโดดโลดเต้นเข้ามา จิกอาหารกินอย่างมีความสุข
“หนึ่งตัว สองตัว สามตัว…” หงโต้วนับจำนวนนกกระจอกเสียงเบา ดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยความดีใจ
นกกระจอกเยอะขนาดนี้ หากว่าจับพวกมันทั้งหมด บ้างย่างบ้างทอด โรยเกลือป่นและผงพริกลงไป ไม่ต้องพูดเลยว่าจะอร่อยขนาดไหน
รองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่งสะท้อนเข้าสู่ครรลองสายตา
หงโต้วเงยหน้าขึ้นมอง กะพริบตาปริบๆ “ท่านอ๋องมาเร็วเชียวนะเจ้าคะ”
“คุณหนูของพวกเจ้าอยู่ไหม” เว่ยหานถามเรียบๆ
“อ๊ะ อยู่เจ้าค่ะ”
เว่ยหานหุบร่มกระดาษน้ำมัน เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปข้างใน
ประตูใหญ่หอสุราไม่ได้ลงกลอน เว่ยหานผลักประตูเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเป็นระลอกๆ
ตอนเขาก้มหน้าปลดเสื้อคลุม ลั่วเซิงก็เดินเข้ามาแล้ว
“ท่านอ๋องมาแล้ว”
เว่ยหานส่งเสื้อคลุมให้สือเยี่ยนที่รออยู่ข้างๆ อมยิ้มมุมปาก “อืม”
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถาม “ท่านอ๋องจะไปดูต้นพลับกลางลานบ้านด้วยกันไหมเจ้าคะ”
เว่ยหานพยักหน้า “ได้”
เมื่อเห็นสองคนเดินเคียงไหล่กันไปทางประตูลานด้านหลัง สือเยี่ยนที่กอดเสื้อคลุมเอาไว้ก็มุมปากกระตุก
บอกว่าจะไปดูต้นพลับ รังแกที่ต้นพลับไม่สามารถพูดได้หรือไร
“สือซานหั่ว เหม่ออะไรน่ะ” หงโต้วเหลือบมององครักษ์น้อย ถามเสียงใส
สือเยี่ยนรีบดึงสติกลับมา “ไม่มีอะไร”
“ในเมื่อไม่มีอะไร เช่นนั้นพวกเราก็ไปจับนกกระจอกกันเถอะ จับแล้วจะได้ให้อาซิ่วย่างให้กิน”
สือเยี่ยนมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ไป ไป ไปจับนกกระจอกกัน”
ต้นพลับกลางลานปกคลุมไปด้วยหิมะ เหมือนราชองครักษ์ที่พยายามทำหน้าที่ตนเองสุดความสามารถ ขณะมองหนุ่มสาวคู่หนึ่งก้าวเท้าขึ้นบันไดเข้าไปในบ้าน
นกกระจอกตัวหนึ่งบินลงมาเกาะบนกิ่งต้นพลับ และคล้ายกับรู้สึกว่าน่าเบื่อจึงถีบขาครั้งหนึ่ง บินขึ้นไปบนชายคาอีกครั้ง
กิ่งต้นพลับสั่นไหว หิมะค่อยๆ ร่วงหล่น ในไม่ช้าก็เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แห้งโกร๋นออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าวิเวกวังเวงอยู่บ้าง
ภายในห้องอบอุ่นประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ ไม่ว่าจะเป็นลั่วเซิง หรือว่าเว่ยหาน ล้วนไม่ใช่คนที่จะสะเทือนใจเพียงเพราะทิวทัศน์ที่เห็น
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง และสนทนาธุระกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อข้ากลับมา บอกว่าผิงลี่ตายแล้ว ตายเพราะถูกพิษ”
เว่ยหานได้ยินลั่วเซิงเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก
การตายของผิงลี่เป็นจุดจบที่ถูกกำหนดเอาไว้ เพียงแต่ว่าจะตายอย่างไรเท่านั้นเอง
“ลูกน้องของข้าตามคนที่ลอบสังหารผิงลี่ไปเงียบๆ ครั้งนี้อาจจะหาที่ซ่อนของกลุ่มนักฆ่านั้นออกมาได้ก็ได้”
ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “ลำบากท่านอ๋องแล้ว”
เว่ยหานยิ้มๆ ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มแล้วเอ่ยต่อว่า “เกรงว่าเรื่องของแม่ทัพใหญ่ต้องปิดคดีก่อน ราชสำนักจำเป็นต้องมีคำอธิบายให้ทุกคน”
เรื่องราวเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีตเมื่อสิบสองปีก่อน แถมยังมีฐานะเฉกเช่นแม่ทัพใหญ่ลั่วจึงไม่สามารถให้ข้าราชการบุ๋นบู๊นับร้อยคนฉลองปีใหม่ด้วยความหวาดหวั่นได้
ลั่วเซิงครุ่นคิด พลางถาม “นักฆ่าที่ข้าพบตอนเข้าเมืองหลวงมาในต้นปี ก็มีผิงลี่เป็นคนบงการหรือ”
“ตอนนี้ดูท่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ว่าคนกลุ่มนี้รับเงินทำงานเพียงอย่างเดียวหรือว่าถูกกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มควบคุม ยังจำเป็นต้องสืบสวนต่อไป”
“หากท่านอ๋องมีข่าวคราว โปรดบอกข้าด้วย”
เว่ยหานโค้งริมฝีปาก “คุณหนูลั่ววางใจ หากมีความคืบหน้า จะต้องบอกเจ้าแน่นอน”
ไม่เช่นนั้นเขาจะกระตือรือร้นขนาดนี้ไปเพื่ออะไร
สนทนาธุระเสร็จ ภายในห้องก็เข้าสู่ความสงบเงียบ
เว่ยหานประคองถ้วยชา รู้สึกว่าแบบนี้คล้ายจะไม่ค่อยดี จึงจิบชา พลางเอ่ยว่า “ใกล้จะฉลองปีใหม่แล้ว”
หัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำให้ลั่วเซิงอึ้ง จากนั้นก็ยิ้มๆ “ใช่แล้ว ผ่านไปเร็วมากทีเดียว”
เว่ยหานมองเด็กสาวที่แย้มรอยยิ้มบางๆ แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้อารมณ์ย่ำแย่อยู่บ้าง
เขานิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ตอนฉลองปีใหม่ หอสุราจะหยุดพักกิจการใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว พักถึงหลังเทศกาลโคมไฟเลย”
ถึงเทศกาลโคมไฟ นานขนาดนั้นเลยหรือ
เขาจะไม่ได้กินสุราและอาหารของมีหอสุราเป็นเวลานานมาก
และไม่ได้เจอคุณหนูลั่วเป็นเวลานานมากเช่นกัน…
เมื่อก่อนเขาก็ไม่ชอบการฉลองปีใหม่ ตอนนี้ค้นพบว่าไม่ชอบยิ่งกว่าเดิมแล้ว
โดยเฉพาะไม่ชอบเทศกาลโคมไฟ
เทศกาลโคมไฟ…
เว่ยหานคล้ายกับนึกถึงอะไรบางอย่างจึงเหม่อลอยไปชั่วขณะ
ลั่วเซิงสังเกตเห็นความผิดปกติของชายตรงข้ามจึงกะพริบตาปริบๆ
เมื่อได้รู้ว่าหอสุราจะหยุดพักกิจการในช่วงฉลองปีใหม่ ความสะเทือนใจที่ไคหยางอ๋องได้รับจะมากเกินไปหน่อยหรือไม่
สะเทือนใจจนไม่พูดอะไรเลย…
ระยะนี้ก็ติดค้างน้ำใจผู้อื่นไม่น้อย แม้ว่าคนตรงหน้าจะแซ่เว่ย ลั่วเซิงกลับมีความอดทนและใจดีไม่น้อย
หากไคหยางอ๋องเอ่ยออกมาว่า อยากกินอาหารของหอสุราก็สามารถให้คนไปส่งให้ทุกวันได้
เว่ยหานได้สติคืนกลับมา
เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาเรียบเฉยดุจผิวน้ำ หัวใจเขาสั่นไหว หลุดปากถามว่า “เทศกาลโคมไฟ คุณหนูลั่วจะออกมาเที่ยวเล่นหรือไม่”
วันที่ทำให้ผู้คนไม่มีความสุขเช่นนั้น หากว่าสามารถมีคุณหนูลั่วผ่านไปด้วยกัน ก็อาจจะไม่ได้โศกเศร้าขนาดนั้นแล้วก็ได้
ลั่วเซิงเลิกคิ้วประหลาดใจ
ถึงกับไม่ใช่เรื่องกินข้าว
นี่ไม่ค่อยเหมือนอุปนิสัยของไคหยางอ๋องเท่าใดนัก
เมื่อเห็นลั่วเซิงไม่พูดจา เว่ยหานก็รีบเอ่ยว่า “วันนั้นข้าจะออกมา…ถึงตอนนั้นไม่สู้ไปเดินเล่นด้วยกัน ได้ยินมาว่าโคมไฟสวยมาก”
ลั่วเซิงเงียบ
นางไม่ได้พูดว่าจะออกไป ทำไมถึงได้กลายเป็นไปเดินเล่นด้วยกันเสียได้?
“ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะมีธุระหรือไม่ ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน” ลั่วเซิงปฏิเสธอ้อมๆ
เว่ยหานฟังไม่ออกว่าถูกปฏิเสธจึงวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล “ตอนนั้นหอสุราไม่ได้เปิดทำการ การเยี่ยมญาติ พบปะสหายก็สิ้นสุดลงแล้ว น่าจะไม่มีเรื่องอะไร”
เขาเคยสังเกต คุณหนูลั่วคล้ายจะไม่มีสหาย
เอ่อ ได้ยินมาว่า คุณหนูลั่วมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับองค์หญิงฉางเล่อ แต่ว่าตอนนี้องค์หญิงฉางเล่อไม่อยู่ที่เมืองหลวง
ลั่วเซิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วตัดสินใจเอ่ยอย่างชัดเจนว่า “ข้าไม่ชอบดูโคมไฟ ท่านอ๋องไปเองเถอะเจ้าค่ะ”
การไปดูโคมไฟในเทศกาลโคมไฟของชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน หากไม่ใช่ญาติสนิท ก็เป็นคนรัก นางไปดูโคมไฟด้วยกันกับไคหยางอ๋อง ไม่ใช่ว่าแปลกเกินไปหรอกหรือ
ประกายในดวงตาชายหนุ่มดับมอดลงทันที คล้ายกับดาวตกที่วาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ทิ้งไว้เพียงความมืดสลัว
“เช่นนั้นคุณหนูลั่วชอบอะไร” เขาถาม
“ชอบเปิดหอสุรา” ลั่วเซิงเอ่ยสีหน้าจริงจัง
ชอบทวงหนี้
คนที่ติดค้างจวนเจิ้นหนานอ๋องเหล่านั้น สุดท้าย…นางจะทวงมันกลับมาจากพวกเขา
สำหรับคนตรงหน้า หากให้แสดงความเห็นด้วยจิตใจที่สงบ นางก็ชอบอยู่นิดหน่อยเช่นกัน
ลั่วเซิงถอนหายใจเบาๆ ในใจ สายตาที่มองชายหนุ่มกลับเย็นชาขึ้น
“ใกล้จะถึงเวลาเปิดทำการของหอสุราแล้ว ท่านอ๋อง พวกเราไปห้องโถงใหญ่กันเถอะ” ก่อนที่บรรยากาศจะแปลกไปมากกว่านี้ ลั่วเซิงก็เสนอขึ้นมา
“ได้” อาจเพราะถูกปฏิเสธบ่อยครั้ง เว่ยหานจึงปรับสภาพอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าด้วยความยินดี
ตอนที่อารมณ์ไม่ค่อยดี กินอาหารเลิศรสสักหน่อยก็จะดีแล้ว
เมื่อเดินออกจากห้องไป ฟ้ายังคงไม่มืด
หิมะที่โปรยปรายห่อต้นพลับด้วยสีขาวเงินของหิมะ
“คุณหนูลั่ว” เว่ยหานพลันเอ่ยเรียก
ลั่วเซิงมองเขา
เว่ยหานชี้ไปที่ต้นพลับซึ่งถูกปกคลุมด้วยสีขาวเงินของหิมะ “มองแบบนี้แล้ว ต้นพลับก็สวยมาก เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ลั่วเซิงหยุดเดิน มองดูอย่างละเอียด
ก็สวยมากจริงๆ
ในห้องโถงใหญ่ หงโต้วกำลังเร่งสือเยี่ยน “สือซานหั่ว รีบนำนกกระจอกไปส่งให้อาซิ่วเร็วเข้า”
สือเยี่ยนพยักหน้า หิ้วพวงนกกระจอกเดินไปด้านหลัง เมื่อเลิกม่านประตูซึ่งทำจากผ้าฝ้ายขึ้น ก็เห็นคนสองคนชื่นชมต้นพลับกันอยู่
แววตาสือเยี่ยนดูเหลือเชื่อ