ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 350 สั่งอาหาร

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 350 สั่งอาหาร

สือเยี่ยนเลิกม่านประตูแล้วก็อึ้งไป

นายท่านกับคุณหนูลั่วกำลังดูต้นพลับอยู่จริงๆ ไม่หนาวหรือ

สายตาเหลือบมองไปทางต้นพลับ ความคิดแท้จริงก็ยิ่งผุดออกมา ‘ต้นพลับที่ใบโกร๋นต้นหนึ่งมีอะไรสวยกัน’

แผ่นหลังถูกตบเข้าอย่างแรง

“สือซานหั่ว เจ้ายืนโง่งมทำไมกัน จะกินนกกระจอกหรือไม่”

สือเยี่ยนหันหน้าไปก็เห็นดวงหน้างามของหงโต้ว แต่มองไม่ออกถึงความสวยงาม เห็นเพียงสีหน้าข่มขู่และหงุดหงิด

“จะไปเดี๋ยวนี้” สือเยี่ยนวิ่งเข้าไปในลานด้านหลังอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกเว่ยหาน “นายท่าน ท่านไม่หนาวหรือขอรับ”

เว่ยหานมองไปทางสือเยี่ยน ย้อนถามว่า “ดูต้นพลับจะหนาวได้อย่างไร”

สือเยี่ยน “…”

ถ้าพูดว่ามีคุณหนูลั่วอยู่เป็นเพื่อนจึงไม่รู้สึกหนาว เขาจะยังรู้สึกว่า นายท่านรู้จักพูด ทำให้คนปลื้มใจ

แต่การดูต้นพลับแล้วไม่รู้สึกว่าหนาวนี่มันอะไรกัน

ต้นพลับมีความสามารถมากขนาดนั้นเลยหรือ

เว่ยหานเบนสายตาไปยังมือของสือเยี่ยนที่ถือพวงนกกระจอกเอาไว้ นัยน์ตาเปล่งประกายเล็กน้อย “นกกระจอกนี้เพิ่งจับมาหรือ”

สือเยี่ยนเผยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอรับ เพิ่งจับกับหงโต้ว”

เว่ยหานหันไปเอ่ยกับลั่วเซิง “ข้าอยากกินนกกระจอกทอดกรอบ”

ลั่วเซิงเพิ่งปฏิเสธคำเชื้อเชิญไปดูโคมไฟด้วยกันในเทศกาลโคมไฟของชายตรงหน้าไป คำขอร้องเล็กๆ เช่นนี้ย่อมไม่มีทางที่จะปฏิเสธอีก ดังนั้นจึงตะโกนเรียกอาซิ่วที่ประตูครัวด้านหลัง

ซิ่วเย่ว์ที่ถือตะหลิวปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องครัว “คุณหนูมีอันใดจะสั่งหรือเจ้าคะ”

ลั่วเซิงชี้ไปที่นกกระจอกในมือสือเยี่ยน “นำนกกระจอกไปทอดให้กรอบ”

ซิ่วเย่ว์พยักหน้า เดินไปรับพวงนกกระจอกในมือสือเยี่ยนมาแล้วหมุนตัวเข้าไปในห้องครัว

“ข้างนอกหนาว พวกเราไปห้องโถงใหญ่เถอะ” เว่ยหานนึกได้ว่า อีกประเดี๋ยวจะมีนกกระจอกทอดกรอบหอมอร่อยแกล้มเหล้า ความรู้สึกหดหู่ที่เกิดจากถูกปฏิเสธการนัดหมายจางหายไปพอสมควร กระทั่งมีความรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

เขาโอบกอดความคิดที่จะลองสั่งอาหารออกไป คิดไม่ถึงว่าจะสำเร็จ

เว่ยหานไม่ได้สวมอาภรณ์ตัวใหญ่ ไหล่ที่อยู่ระหว่างเด็กหนุ่มและชายหนุ่มจึงค่อนข้างแบบบางเล็กน้อย

ลั่วเซิงมองหัวไหล่ที่เต็มไปด้วยหิมะของเขา แล้วพยักหน้า “ได้”

สองคนเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ทิ้งต้นพลับโดดเดี่ยวไว้กับ…องครักษ์น้อย

สือเยี่ยนก้มหน้ามองมือที่ว่างเปล่าด้วยอารมณ์โกรธเคือง

นกกระจอกที่จับมาอย่างยากลำบากบินจากไปทั้งแบบนี้แล้ว?

นายท่านมีคุณหนูลั่วดูต้นพลับเป็นเพื่อนแล้วยังไม่พออีกหรือ!

โลภ จะโลภมากเกินไปแล้ว

มองผ่านประตูห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทางน่าสงสารแวบหนึ่ง อารมณ์โกรธเคืองก็กลายเป็นสิ้นหวัง

หากพี่หงโต้วรู้เข้า จะต้องใช้พลองฟาดเขาจนตายแน่ๆ ใช่หรือไม่

สือเยี่ยนตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ออกแรงทุบต้นพลับไปหนึ่งที

ในห้องโถงใหญ่ นักดื่มมากันต่อเนื่องไม่ขาดสาย

นับตั้งแต่แม่ทัพใหญ่ลั่วออกจากคุก มีหอสุราก็กิจการดีกว่าในอดีต หากว่ามาช้าเพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีที่นั่งแล้ว

ทว่ามีที่นั่งหนึ่งที่ไม่มีใครแย่ง ก็คือที่นั่งในมุมข้างหน้าต่าง

เหล่าลูกค้าประจำยอมรับกันโดยปริยายว่า นั่นคือที่นั่งของไคหยางอ๋อง

มาเร็วก็ไม่กล้านั่งหรอก ถึงตอนนั้น ไคหยางอ๋องมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าด้วยสีหน้าเย็นชา จะลุกหรือไม่ลุกเล่า

เว่ยหานนั่งลงข้างหน้าต่าง สั่งหม้อไฟมาค่อยๆ กิน

คุณหนูลั่วบอกว่า นกกระจอกทอดกรอบต้องรอหนึ่งชั่วยาม ไม่อาจกินเร็วเกินไปได้

ภายในห้องโถงใหญ่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อและสุรา

หิมะโปรยปรายนอกหน้าต่าง บางครั้งก็มีคนถือร่มเดินผ่านไปด้วยความยากลำบาก เมื่อถูกนักดื่มในห้องโถงใหญ่เห็นเข้าก็พลันรู้สึกว่าสุราและอาหารที่เข้าปากไปนั้นอร่อยมากกว่าเดิม

ฟ้ามืดค่ำแล้ว หิมะบนถนนหนาขึ้นเรื่อยๆ เหล่านักดื่มกินจนอิ่มหมีพีมันแล้วก็ทยอยแยกย้ายกันไป

ตอนทุกคนจากไปล้วนมองไปทางเว่ยหานแวบหนึ่ง ในใจก็คิดว่า ไคหยางอ๋องกินเก่งจริงๆ ตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่จากไปอีก

เมื่อเผชิญกับสายตาแปลกๆ เหล่านั้น เว่ยหานยังนั่งตัวตรงไม่ขยับ เฝ้ารอนกกระจอกทอดกรอบที่เป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียวอย่างอดทน

ในที่สุดโค่วเอ๋อร์ก็ยกนกกระจอกกลิ่นหอมฉุยจานหนึ่งเข้ามา

เสนาบดีจ้าวที่เดินอยู่ในลำดับสุดท้ายสีหน้าเปลี่ยน เข้าใจขึ้นมาทันควัน

ไคหยางอ๋องถึงกับสั่งอาหารเพิ่ม!

อย่าคิดว่าอยู่ห่างไกล สายตาเขาดีอยู่นะ นกกระจอกทอดจานนั้น แค่มองดูก็รู้แล้วว่ากรอบนอกนุ่มใน รสชาติจะต้องไม่เลวแน่นอน

เสนาบดีจ้าวเดินต่อไม่ไหวในทันที สอบถามหงโต้วที่อยู่ใกล้ที่สุดว่า “วันนี้มีอาหารรายการใหม่หรือ”

หงโต้วสีหน้าบึ้งตึง “ไม่มีเจ้าค่ะ”

นางก็เห็นแล้วเช่นกัน นกกระจอกทอดของนาง!

นางก็ว่าทำไมสือซานหั่วถึงไม่กลับมา ที่แท้ก็มอบนกกระจอกที่พวกเขาจับด้วยกันให้กับนายท่านตนเองเพื่อแสดงความกตัญญูแล้วไปซ่อนตัวแล้ว

เหอะ หลบพ้นวันนี้แล้วคิดว่าจะวันอื่นๆ จะหลบพ้นหรือ รอหอสุราปิดร้าน นางจะถือพลองไปหาเขา!

เสนาบดีจ้าวไม่ยินยอม “เช่นนั้นทำไมไคหยางอ๋อง…”

“มีเพียงไคหยางอ๋องที่มีเจ้าค่ะ”

มีเพียงไคหยางอ๋องที่มีหรือ…เสนาบดีจ้าวถอนหายใจด้วยความผิดหวังแล้วก้าวเท้าเดินออกไป

เพิ่งจะออกจากประตูก็พบกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว

เสนาบดีจ้าวประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่ได้พบแม่ทัพใหญ่นานแล้ว”

แม้ว่าคุณหนูลั่วจะเป็นคนเปิดหอสุรา แต่แม่ทัพใหญ่ลั่วกลับมาน้อยครั้งมาก วันนี้ประหลาดนัก

แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยยิ้มๆ “เพิ่งออกมาจากศาลาว่าการ เห็นว่าหิมะตกหนักเล็กน้อยจึงมากินข้าว แล้วจะได้กลับจวนพร้อมกับบุตรสาวพอดี”

“แม่ทัพใหญ่ช่างรักและทะนุถนอมบุตรสาวจริงๆ” เสนาบดีจ้าวนึกถึงข่าวที่ได้ยินมาก็อดทอดถอนใจที่แม่ทัพใหญ่ลั่วใจนิ่งขนาดนี้ไม่ได้

เกิดเรื่องที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นกังวลมากขนาดนี้แล้วยังสามารถควบคุมอารมณ์ได้นั้นไม่ง่ายเลย

และที่ยากยิ่งกว่าก็คือ แม่ทัพใหญ่ลั่วจะค้นพบว่า มีเพียงไคหยางอ๋องที่มีนกกระจอกทอดในเร็วๆ นี้

นึกถึงตรงนี้ เสนาบดีจ้าวก็ยิ้มกริ่ม ประสานมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อแล้วจากไป

แม่ทัพใหญ่ลั่วเข้าประตูมาก็สูดจมูก “หอมมาก“

ลั่วเซิงเข้ามาต้อนรับ ”ท่านพ่อกลับไปศาลาว่าการอีกแล้วหรือเจ้าคะ“

ระหว่างทางจากศาลาว่าการกลับไปที่จวน แม่ทัพใหญ่ลั่วได้บอกข่าวการตายของผิงลี่กับนาง

นางรู้สึกได้ว่า แม่ทัพใหญ่ลั่วอารมณ์ไม่ดี แต่การมาหอสุรานั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง

“อืม ศาลาว่าการมีเรื่องเยอะมาก เพิ่งทำงานเสร็จ พ่อเห็นว่าอาหารที่หอสุราส่งไปเย็นหมดแล้ว จึงตัดสินใจมาเสียเลย”

“เช่นนั้นท่านนั่งเถอะเจ้าค่ะ อยากกินอะไรเจ้าคะ” ลั่วเซิงยิ้มสดใส

แม่ทัพใหญ่ลั่วกวาดตามองแวบหนึ่ง คนที่ยังกินอาหารและร่ำสุราในห้องโถงใหญ่เหลือเพียงแค่เว่ยหานที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง นกกระจอกทอดที่วางอยู่บนโต๊ะทำให้เขานัยน์ตาเป็นประกาย

วันที่หิมะตก ดื่มเหล้าขาว กินนกกระจอกทอด เรื่องน่ารำคาญใจใดๆ ก็ล้วนจางหายไป

“เอาหม้อไฟเนื้อแพะกับนกกระจอกทอดจานหนึ่งแล้วกัน”

รอยยิ้มของลั่วเซิงแข็งค้าง นิ่งเงียบครู่หนึ่ง ถึงได้ตอบว่า “นกกระจอกทอดไม่มีแล้วเจ้าค่ะ”

“ไม่มีแล้วหรือ” เสียงแม่ทัพใหญ่ลั่วสูงขึ้นเล็กน้อย แสดงความผิดหวังออกมาทางวาจาและสีหน้า

เว่ยหานหลุบตาลง เร่งความเร็วในการกินนกกระจอกทอดกรอบเงียบๆ

ลั่วเซิงเอ่ยตามความจริง “สือเยี่ยนจับนกกระจอกได้สิบกว่าตัว ทอดได้แค่จานเดียวเจ้าค่ะ”

หงโต้วได้ยินก็กลอกตา

สือซานหั่ว เจ้าคนชั่วร้าย ถึงกับบอกคุณหนูว่า เขาจับเองคนเดียวหรือ

มิน่าถึงได้ถูกไคหยางอ๋องเอาไปหมด!

แม่ทัพใหญ่ลั่วก็อยากจะกลอกตาเช่นกัน

เหอะๆ เขาได้ยินอะไรนะ

ทอดนกกระจอกเพียงจานเดียว ให้ไคหยางอ๋องกินคนเดียวหรือ

เขาไม่รู้เลยว่าไคหยางอ๋องได้รับการปฏิบัติที่ดีเช่นนี้!

แม่ทัพใหญ่ลั่วกวาดตามองเว่ยหานแวบหนึ่งก็ไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามจะมีท่าทีเชื้อเชิญให้เขากินด้วยกันจึงไอออกมาทันที “เซิงเอ๋อร์ อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว มักจะมีหิมะตกบ่อยๆ ไม่สู้หยุดพักกิจการหอสุราเร็วหน่อยเถอะ รออากาศอบอุ่นแล้วค่อยเปิดใหม่“

มือของเว่ยหานที่ถือตะเกียบอยู่ชะงักไป

หยุดพักกิจการเร็วหน่อยหรือ

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย คาดเดาขึ้นมาว่า ‘แม่ทัพใหญ่ลั่วอารมณ์ย่ำแย่เกินไป เพราะเรื่องของผิงลี่ใช่หรือไม่’

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท