ตอนที่ 352 หมากก้าวแรก
วิธีการที่อยู่เหนือความคาดหมายผู้คนของจักรพรรดิหย่งอันก่อให้เกิดการคาดคะเนมากมาย
แน่นอนว่า เรื่องเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง การคาดคะเนเหล่านี้ รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองล้วนไม่สามารถแสดงออกกับภายนอกได้
หนึ่งในนั้นที่กังวลใจที่สุดก็คือ เว่ยเชียง
เหตุใดเสด็จพ่อจึงเก็บชีวิตบุตรชายของเจิ้นหนานอ๋องเอาไว้
ในปีนั้น ความต้องการที่จะกำจัดจวนเจิ้นหนานอ๋องนั้นเป็นของเสด็จพ่อแท้ๆ…
ลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลปกคลุมจิตใจ ทำให้เขานึกหงุดหงิดใจขึ้นมา แต่อารมณ์หงุดหงิดที่ว่านั้นดันทำได้เพียงกดข่มไว้ในใจ
เว่ยเชียงก้าวเท้าเดินออกจากประตูตำหนัก
ลมหนาวนอกตำหนักประหนึ่งใบมีด หิมะบนหลังคาสะท้อนแสงเย็นเยียบ
เว่ยเชียงหรี่ตาลงอย่างไม่สบายตา แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
นั่นก็คือ ทิศทางที่จวนผิงหนานอ๋องตั้งอยู่
เพราะการตายของลั่วเอ๋อร์ เขาเลยมีปมในใจกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดจึงไปที่นั่นน้อยครั้ง
แต่ว่าตอนนี้ เขากลับอยากได้ยินความคิดเห็นของบิดาผู้ให้กำเนิดมาก
หรือว่าการที่เสด็จพ่อเก็บชีวิตบุตรชายเจิ้นหนานอ๋องเอาไว้ จะเป็นเพราะรู้สึกเสียใจต่อเรื่องในปีนั้นกัน
เว่ยเชียงยิ่งคิด ใจก็ยิ่งไม่สงบ ฝีเท้าจึงร้อนรน
ถึงตอนท้าย เขากลับทำได้แค่กลับตำหนักบรรทมไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
การกระทำของเสด็จพ่อยากจะคาดเดาเกินไป หากในตอนนี้เขาไปจวนผิงหนานอ๋องก็คงอ่อนไหวเกินไปแล้ว
ไม่มีความมั่นใจก็อย่าทำเสียดีกว่า ไม่อาจขัดแข้งขัดขาตัวเองได้
เว่ยเชียงปลอบใจตัวเอง ความหดหู่ที่สะสมอยู่ในใจทำให้เขาดูอึมครึมอย่างเห็นได้ชัด
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งวังบูรพาล้วนหวั่นวิตก กระทั่งตอนเดินก็ยังต้องลงเท้าเบาๆ
แม่ทัพใหญ่ลั่วก็รู้สึกตะลึงในการกระทำของจักรพรรดิหย่งอันเหมือนกัน นอกจากขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือเป็นเวลานานหน่อย บนใบหน้าก็ไม่มีความผิดปกติอันใด
ลั่วเซิงเคาะประตูห้องหนังสือ
“ท่านพ่อ ข้าเองเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงลั่วเซิง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็รีบให้นางเข้ามา
“เซิงเอ๋อร์มาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ”
เซิงเอ๋อร์ไม่ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่วัยเยาว์ ห้องหนังสือที่มีหนังสือวางเต็มไปหมดเช่นนี้ก็มาน้อยมาก การมาที่นี่จะต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน
ลั่วเซิงวางกล่องอาหารที่บรรจุขนมหวานลง “ท่านพ่อ ข้าได้ยินมาว่า องครักษ์ที่ใส่ร้ายท่านยังมีชีวิตอยู่?”
แม่ทัพใหญ่ลั่วอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นลั่วเซิงมีสีหน้าจริงจังก็พยักหน้า “ยังมีชีวิตอยู่ ทำไมเซิงเอ๋อร์ถึงได้ถามเรื่องนี้ล่ะ”
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สบอารมณ์ “คนผู้นั้นใส่ร้ายท่านไม่ใช่หรือเจ้าคะ ตอนนี้ความจริงก็เปิดเผยแล้ว เหตุใดจึงไม่ได้รับการลงโทษ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้ม “เซิงเอ๋อร์กำลังเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพ่อหรือ”
“ก็แค่รู้สึกว่าแปลกเจ้าค่ะ กล้าใส่ร้ายท่าน แต่สุดท้ายกลับยังสามารถมีชีวิตรอดได้”
แม่ทัพใหญ่ลั่วมุมปากกระตุกเล็กน้อย
ตลอดมานี้ เซิงเอ๋อร์เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ ไม่ใช่ทุกคนที่ล่วงเกินเขาแล้วเขาจะจัดการให้ถึงตายนะ
เขาไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย
“เซิงเอ๋อร์ เรื่องของศาลาว่าการ เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป” แม่ทัพใหญ่ลั่วเกลี้ยกล่อมด้วยวาจาจริงใจ
ลั่วเซิงเม้มปาก “ตอนท่านพ่ออยู่ในคุกหลวง ข้ากังวลจะตายอยู่แล้ว”
รอยยิ้มมุมปากแม่ทัพใหญ่ลั่วแข็งค้าง พลันเกิดความรู้สึกละอายใจขึ้นมา
นั่นสินะ ตอนเขาอยู่ในคุกหลวง เซิงเอ๋อร์ทั้งส่งอาหาร ส่งข่าวคราว และวางยาพิษ กังวลใจไม่น้อยเลยทีเดียว ตอนนี้เขาออกมาแล้ว เอ่ยประโยคเดียวว่าไม่ต้องกังวลใจเพื่อให้บุตรสาวจากไป นี่เหมาะสมหรือ
ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน!
แม่ทัพใหญ่ลั่วที่เข้าใจแล้วก็มีสีหน้าจริงจัง เอ่ยเสียงเบาว่า “การเก็บชีวิตคนผู้นั้นเอาไว้คือความต้องการของฝ่าบาท…”
ลั่วเซิงพลันเบิกตากว้างสามส่วน ความตื่นตะลึงครอบครองสามส่วน ความอยากรู้อยากเห็นครอบครองเจ็ดส่วน “เพราะเหตุใดเจ้าคะ”
ตอนได้ยินข่าวนี้ นางก็ไตร่ตรองมาก่อนแล้ว
ฮ่องเต้ขี้ระแวงพระองค์หนึ่ง มักจะคุ้นชินกับการพิจารณารอบด้าน เหลือทางถอยเอาไว้
หรือว่าการที่ฝ่าบาทเลือกเก็บ “เป่าเอ๋อร์” เอาไว้จะเป็นกลเม็ดเด็ดที่ใช้จัดการกับเว่ยเชียง?
กลเม็ดเด็ดนี้ไม่แน่ว่าจะได้ใช้ แต่เมื่อเสือสองตัวยึดครองภูเขาลูกหนึ่งด้วยกันเป็นเวลานาน องค์รัชทายาทแตะถูกขีดจำกัดบางอย่างของฝ่าบาท บุตรชายเจิ้นหนานอ๋องที่กำพร้าจะเป็นอาวุธแหลมคมที่จะจัดการองค์รัชทายาทให้ร่วงลงไปในบึงโคลน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ฝ่าบาทเกิดความไม่พอใจในตัวเว่ยเชียงแล้วสินะ
นางมายังห้องหนังสือ เพราะคิดจะสอบถามทางแม่ทัพใหญ่ลั่วว่า ฝ่าบาทไม่พอใจไปถึงระดับไหน
“พระทัยฝ่าบาทนั้นยากแท้หยั่งถึง พ่อเองก็เดาไม่ถูกเช่นกัน” แม่ทัพใหญ่ลั่วตบบ่าลั่วเซิง “เซิงเอ๋อร์เอ๋ย เจ้ารู้แค่ว่า ฝ่าบาทต้องการเก็บคนเอาไว้ก็พอแล้ว อย่าได้ไปหาเรื่องคนผู้นั้นเชียว”
ลั่วเซิงนัยน์ตาไหววูบเล็กน้อย
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่ลั่วล้วนปิดปากสนิท ดูท่าจะสอบถามไม่ได้ความอะไร หากว่ายังซักไซ้ถามต่อก็จะก่อให้เกิดความสงสัย
นางเม้มปากยิ้ม “ท่านพ่อกังวลเกินไปแล้ว แม้ว่าลูกอยากจะไปหาเรื่องคนผู้นั้นก็หาคนไม่เจอหรอกเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดๆ ดูแล้วก็ถูกจึงวางใจลงทันที
เขากลัวจริงๆ ว่าเซิงเอ๋อร์จะทำเรื่องเช่นการบุกเข้าไปในสถานที่กักบริเวณของบุตรชายเจิ้นหนานอ๋อง
บุตรชายเจิ้นหนานอ๋อง…ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรอยู่ คิ้วของแม่ทัพใหญ่ลั่วถึงได้ขมวด
“ท่านพ่อ ข้ากลับแล้วนะเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วได้สติคืนมา รีบพยักหน้า “กลับไปเถอะ ระหว่างทางก็ระวังลื่นด้วย”
รอจนลั่วเซิงออกจากห้องหนังสือไป มือของแม่ทัพใหญ่ลั่วก็วางลงบนกล่องอาหารที่ถูกทิ้งเอาไว้ แล้วจมลงสู่ภวังค์ความคิด
และสิ่งที่ลั่วเซิงกำลังคิดก็คือบุตรชายของเจิ้นหนานอ๋องซึ่งถูกกักบริเวณ ที่กระโดดเข้าไปปรากฏตัวต่อสายต่อราชสำนักผู้นั้น
ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นไปตามที่นางปรารถนาก็จะมีวันหนึ่งที่จวนเจิ้นหนานอ๋องถูกกลับคำพิพากษา เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดของจวนเจิ้นหนานอ๋อง
แต่ว่าเป่าเอ๋อร์ตัวจริงกลับอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่…
ถึงตอนนั้น จะให้ลั่วเฉินกลับคืนสู่ฐานะเดิมได้อย่างไร เกรงว่าจะต้องวุ่นวายกันอีกรอบหนึ่ง
ขณะคิดเรื่องเหล่านี้ ลั่วเซิงก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ เท้าพลันลื่น
มือข้างหนึ่งประคองแขนนางเอาไว้แน่น
ลั่วเซิงได้สติคืนมาก็เห็นดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจดวงหนึ่ง
“เดินแล้วยังจะหกล้มได้อีก” ลั่วเฉินขมวดคิ้วตำหนิ
มักจะรู้สึกว่า ในตอนที่ลั่วเซิงพอจะน่าเชื่อถืออยู่บ้างก็จะได้เห็นความไม่น่าเชื่อถือของนาง
แม่นางที่ใกล้จะอายุสิบหกปี เดินบนทางเรียบแล้วล้มลงไปกองบนพื้น ทำให้ข้ารับใช้ที่เดินไปเดินมาเห็นเข้านี่ใช้ได้หรือ
“พื้นลื่นน่ะ” ลั่วเซิงโยนความผิดให้พื้นหินโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
ลั่วเฉินเปิดโปงอย่างไม่เกรงใจว่า “หิมะถูกกวาดไว้ที่สองข้างทางแล้ว บนพื้นที่เดินบ่อยๆ ก็มีปูหญ้ารองเอาไว้”
ลั่วเซิงแตะริมฝีปาก เปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน “นี่เจ้าจะไปไหน”
“ออกไปเดินเล่นตามใจ”
ลั่วเซิงมองลั่วเฉินเงียบๆ
ลั่วเฉินมีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าไปแล้ว“
ลั่วเซิงเข้าใจขึ้นมาทันควัน “นัดหมายกับเด็กสาวหรือ”
ลั่วเฉินอึ้ง โมโหจนต้องกลอกตา “ข้าเพิ่งอายุสิบสาม”
นัดหมายอะไรกัน หากเด็กสาวล้วนเหมือนกับลั่วเซิง ล้วนเหมือนพี่รอง เหมือนพี่สี่แบบนั้น
เขาอยู่เงียบๆ คนเดียวจะดีกว่า…
หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ลั่วเซิงจะคาดเดามั่วซั่ว เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงสารภาพความจริง “นัดกับเสี่ยวชีไว้ว่าจะไปดูละครลิงด้วยกัน”
“ที่แท้ก็ไปเที่ยวเล่นกับเสี่ยวชี เช่นนั้นก็ไปเถอะ พาข้ารับใช้ไปมากหน่อย”
“รู้แล้วขอรับ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เร่งฝีเท้าจากไป ในใจก็เอ่ยว่า ลั่วเซิงอย่าได้เลียนแบบการพร่ำบ่นเหมือนเหล่าอี๋เหนียงเชียว
นึกถึง “การดูแลอย่างกระตือรือร้น” ของเหล่าอี๋เหนียงในช่วงเวลาที่เขาได้รับบาดเจ็บที่ก้นแล้ว ลั่วเฉินก็กลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกทันที
ลั่วเซิงค่อนข้างปลื้มใจที่ลั่วเฉินสนิทสนมกับเสี่ยวชี
ในคืนนั้นเมื่อสิบสองปีก่อน ทารกในห่อผ้าอ้อมสองคนต่างมีที่พำนักพักพิงท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดอันคละคลุ้ง
สิบสองปีให้หลัง โชคชะตาทำให้พวกเขาได้พบกันและกลายเป็นสหายกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็ยิ่งมีความมั่นใจต่ออนาคตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สิ่งที่โชคชะตานำพามาให้ ไม่ได้มีเพียงความโหดเหี้ยม แต่ยังมีความหวังด้วย
เดี๋ยวก่อน
ลั่วเซิงชะงักฝีเท้า นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้หลังจากลั่วเฉินเดินจากไป ยังไม่ถึงวันหยุดของสถานศึกษา ตอนนี้ลั่วเฉินนัดหมายกับเสี่ยวชีไปดูละครลิงหรือ
เสี่ยวชีหนี…เรียน…หรือ