บทที่ 605 จิงเหวินรุ่ยหมั้นกับจูรุ่ย (1)
บทที่ 605 จิงเหวินรุ่ยหมั้นกับจูรุ่ย (1)
จิงเหวินรุ่ยประหลาดใจอย่างมากที่เห็นจูรุ่ย จนอุทานออกมา “เสี่ยวรุ่ย คุณมาแล้ว”
จูรุ่ยยกยิ้มมีความสุขเมื่อได้เจอจิงเหวินรุ่ย “ค่ะ ฉันสะสางเรื่องในเมืองก่างเฉิงเรียบร้อยแล้ว เลยได้เข้าเมืองหลวงสักที”
เมื่อเห็นความคิดถึงในแววตาของจูรุ่ยแล้ว จิงเหวินรุ่ยอดไม่ได้ที่จะร้องเรียกแผ่วเบา “เสี่ยวรุ่ย…” หลังจากนั้นเขาก้าวเท้าไปหาพร้อมคว้ามือเธอไว้โดยไม่รู้ตัว
เมื่อได้สัมผัสความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ จูรุ่ยอดไม่ได้ที่จะเขินอายแต่ก็ไม่ปล่อยมือ
ถังซวงเห็นทั้งสองทักทายกันที่ประตู และกล่าวหยอกเย้าด้วยรอยยิ้ม “ทำไมพวกคุณถึงไม่เข้าบ้านล่ะ? จะยืนอยู่ที่ประตูเพื่อรับลมหนาวหรือ?”
แม้แต่โม่เจ๋อหยวนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็มองจิงเหวินรุ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ พี่รอง ด้านนอกหนาวจะตาย”
จิงเหวินรุ่ยและจูรุ่ยหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย จิงเหวินรุ่ยจึงพูดขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ อย่างนั้นฉันจะพาเสี่ยวรุ่ยเข้าไปด้านในก่อน” พูดจบเขาก็รีบดึงจูรุ่ยเข้าบ้านทันที
ส่วนถังซวงและโม่เจ๋อหยวนเดินตามเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
เมิ่งผิงดีใจมากหลังจากเห็นว่าจูรุ่ยมาแล้ว เธอดึงจูรุ่ยเข้าไปนั่งพร้อมถามคำถามมากมาย
จูรุ่ยตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบของขวัญปีใหม่ที่เตรียมไว้ออกมาให้กับทุกคน แม้แต่ฟักทองน้อยและฟักขาวน้อยก็ยังได้ของขวัญด้วย
ถังหลานเปิดกล่องเล็ก ๆ และเห็นว่าเด็กแฝดได้สร้อยคอทองคำเหมือนกัน มีเพียงจี้ห้อยคอเท่านั้นที่แตกต่าง ส่วนของเธอคือสร้อยไข่มุก และมันสวยมาก คงเป็นของมีราคา
แต่ถึงจะแพงไปสักหน่อย เธอก็ยอมรับมันไว้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่จูรุ่ยมาเที่ยวที่บ้านในฐานะคนรักของจิงเหวินรุ่ย หากให้ปฏิเสธของขวัญคงไม่สุภาพนัก อีกอย่างเธอเองก็จะกลายเป็นน้าของอีกฝ่ายแล้ว จะต้องเตรียมของขวัญไว้ให้จูรุ่ยด้วยเช่นกัน
เมิ่งผิงเห็นว่าของขวัญที่จูรุ่ยเตรียมมานั้นพอกับทุกคน เธอพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ และหยิบซองแดงที่เตรียมไว้ออกมาด้วย “เสี่ยวรุ่ย นี่คืออั่งเปาของหนู รับไว้สิจ๊ะ”
ก่อนจูรุ่ยจะตอบกลับ จิงเหวินรุ่ยก็รับมันไว้แล้วยัดใส่มือของจูรุ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณครับแม่”
เห็นท่าทางของลูกชายอย่างนั้น เมิ่งผิงอดไม่ได้ที่จะมองค้อนเขาเล็กน้อย
ส่วนจูรุ่ยกลืนถ้อยคำปฏิเสธลงท้อง หันมองเมิ่งผิงแล้วกล่าวคำ “ขอบคุณค่ะคุณป้า”
เวลานี้คุณย่าจิงกวักมือเรียกจูรุ่ย “เสี่ยวรุ่ย มาหาย่าหน่อยเร็ว”
จูรุ่ยรีบไปหาอีกฝ่ายทันที
คุณย่าจิงตบหลังมือของจูรุ่ยแล้วพูดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวรุ่ย คงจะเหน็ดเหนื่อยแล้ว คราวนี้อยู่ที่นี่ ฉลองปีใหม่ด้วยกันเถอะนะ” หลังจากนั้นก็หยิบซองแดงออกมา
“ขอบคุณค่ะคุณย่า”
จูรุ่ยรับมันไว้แล้วตอบกลับว่า “หนูวางแผนว่าจะอยู่ที่นี่สักครึ่งเดือนค่ะ เราจะได้มีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน”
“อย่างนั้นก็ดีเลยจ้ะ”
คุณย่าจิงมีความสุขมากหลังได้ยินเธอพูดอย่างนั้น ตอนนี้หลานชายคนโตกับหลานชายคนรองยังหนุ่มแน่น เธออยากจะจัดงานแต่งงานระหว่างจิงเหวินรุ่ยกับจูรุ่ยโดยเร็วที่สุด
ด้านอวี๋มินและถังหลานหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ออกมามอบให้จูรุ่ยด้วย
จูรุ่ยเองก็รับไว้ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อถึงเวลาอาหาร มีแขกอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ถังเซวี่ยหันมองแขกที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างประหลาดใจ เฟิงเยี่ยหาน… “เฟิงเยี่ยหาน คุณมาได้ยังไงคะ?” ขณะพูด เธอก็วิ่งไปต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มหวาน
พอได้พบเจอกับหญิงสาวที่อยู่ในความคิดของตนมาตลอด เฟิงเยี่ยหานก็รีบก้าวไปด้านหน้า แต่ก่อนที่เขาจะได้เคลื่อนไหวอย่างที่ใจคิด จิงเจ้อหรงกลับเดินเข้ามาพร้อมสายตาน่าขนลุก แล้วกล่าวเสียงหนัก “เข้ามาสิเสี่ยวเยี่ย เธอมาได้ทันเวลาพอดี เรากำลังจะทานมื้อเย็นกันเลย”
เฟิงเยี่ยหานถึงกับหยุดความต้องการโอบกอดถังเซวี่ยทันที และหันไปทักทายจิงเจ้อหรง และเดินตามเข้าไปด้านในอย่างเจียมตัว
หลังจากที่เฟิงเยี่ยหานนั่งลง คุณย่าจิงพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเยี่ย ใบหน้าของเธอซีดเซียวไปมาก คงจะเหนื่อยจากการเดินทาง งั้นกินข้าวเยอะ ๆ นะ”
“ขอบคุณครับคุณย่า”
คุณย่าจิงชื่นชอบเด็กหนุ่มหน้าตาดี เธอบอกกล่าวให้เฟิงเยี่ยหานและโม่เจ๋อหยวนทานให้มาก และไม่ลืมดูแลจูรุ่ย อีกทั้งยังคอยให้จิงเหวินรุ่ยตักอาหารให้จูรุ่ยบ่อยครั้ง
หลังทานอาหารเสร็จ คุณย่าจิงก็เรียกครอบครัวของลูกชายคนรองมาพูดคุย พร้อมทั้งเรียกจูรุ่ยมาด้วย “เสี่ยวรุ่ย มานั่งคุยกันหน่อยจ้ะ”
“ค่ะคุณย่า”
จูรุ่ยพยักหน้ารับ
ส่วนถังซวงเรียกโม่เจ๋อหยวน ถังเซวี่ย และเฟิงเยี่ยหานไปที่ลานบ้านของตน
“พี่สาวซวง ผมอยากจะคุยกับเสี่ยวเซวี่ย”
ตอนนี้เฟิงเยี่ยหานเรียกเธอว่าพี่สาวซวงโดยไม่กระดาก เพราะตัวเขากับถังเซวี่ยคบหากันอย่างเปิดเผยแล้ว เพราะฉะนั้นถังซวงจึงเป็นพี่สาวของเขาด้วยเช่นกัน
ถังซวงที่ได้ยินเฟิงเยี่ยหานเรียกตนว่าพี่ เธอก็ไม่ได้พูดอะไร และตอบกลับ “อืม งั้นไปที่ลานของเสี่ยวเซวี่ยเถอะ อาหยวน ฉันมีบางอย่างจะคุยกับพี่สักหน่อย”
พอได้ยินถังซวงตอบรับ เฟิงเยี่ยหานก็ดึงถังเซวี่ยเดินออกไปทันที
ถังเซวี่ยเห็นอย่างนั้นก็หน้าแดงเรื่อ เขินอายที่ทำตัวใกล้ชิดกับเฟิงเยี่ยหานต่อหน้าคนอื่น ๆ แต่ก็ไม่ได้ผลักไสเขา และเดินไปที่ลานของตัวเองพร้อมกับเขาอย่างว่าง่าย
ถังซวงมองทั้งสองคนที่เดินออกไป “เฟิงเยี่ยหานทำอย่างกับเราสองคนเป็นพี่สาวและพี่เขยซะแล้ว ทั้งที่เสี่ยวเซวี่ยยังเด็กมากขนาดนั้น”
โม่เจ๋อหยวนครุ่นคิด และพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเซวี่ยอายุจะยี่สิบปีแล้ว ความจริงก็ไม่ได้เด็กมากแล้วนะ”
แน่นอนว่าในมุมของถังซวง อายุยี่สิบปีก็ไม่ใช่เด็กจริง ๆ แต่เธอก็ยังไม่ได้เตรียมใจเลย “เสี่ยวเซวี่ยยังเรียนหนังสืออยู่ แต่งงานเร็วแบบนั้นไม่ได้”
โม่เจ๋อหยวนมองถังซวง แล้วตัดสินใจพูดขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ ที่จริง… ถึงแต่งงานแล้วก็สามารถเรียนต่อได้นะ มันก็แค่แต่งงาน ชีวิตที่เหลือไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว”
ถังซวงหันมองโม่เจ๋อหยวนก่อนจะถามเสียงหนัก “นี่คือสิ่งที่พี่คิดงั้นหรือ?”
โม่เจ๋อหยวนยิ้ม “ใช่ ฉันคิดแบบนั้นแหละ แล้วเธอคิดยังไง?”
“เราหมั้นกันแล้ว ทำไมต้องรีบแต่งงานด้วย? พี่เองก็บอกว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนี่”
โม่เจ๋อหยวนส่ายศีรษะ “แต่การหมั้นกับการแต่งงานมันแตกต่างกันมากนะ”
เห็นท่าทางของโม่เจ๋อหยวนอย่างนั้น ถังซวงก็อ้ำอึ้ง “ทำไมถึงต้องรีบขนาดนั้นด้วย?”
“ก็… ฉันอยากจะอยู่กับเธออย่างเปิดเผยน่ะสิ”
โม่เจ๋อหยวนแทบจะรอไม่ไหวที่จะแต่งงานกับถังซวงและจดทะเบียนสมรส
ถังซวงที่ได้ยินอย่างนั้น ก็หันมองเขา “ขอเวลาฉันคิดดูก่อน”
พอเห็นว่าถังซวงไม่ได้ปฏิเสธ โม่เจ๋อหยวนก็ตาเป็นประกายดีใจ “ซวงเอ๋อร์ เธอ… เธอจะคิดเรื่องนี้จริง ๆ หรือ?”