บทที่ 1317 สุริยันอันเจิดจ้าดวงที่เจ็ด
บทที่ 1317 สุริยันอันเจิดจ้าดวงที่เจ็ด
หลังจากสิ้นสุดการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก ชีวิตการบ่มเพาะของเฉินซีก็กลับมาสงบอีกครั้ง
นอกจากการนั่งสมาธิทุกวันแล้ว เฉินซีก็ควบแน่นกฎ แล้วก็ดื่มสุราเป็นครั้งคราว พลางถกเต๋ากับเยี่ยถังและชิงเยี่ย ซึ่งก็ผ่านวันเวลาไปอย่างมีความสุขและสงบ
ทว่าในบรรดาสี่พันเก้าร้อยทวีปของภพเซียน ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเฉินซี ได้กลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
หัวข้อที่ทุกคนกล่าวถึงมากที่สุด ย่อมเป็นการต่อสู้ที่เขาเอาชนะเซียวเชียนซุ่ย ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนต่างรู้สึกว่า ภายในขอบเขตเซียนทองคำ คงไม่มีใครในภพเซียนที่สามารถต่อกรกับเฉินซีได้!
แม้แต่หกสุริยันอันเจิดจ้า ก็ยังทำไม่ได้!
แน่นอนว่ามีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยที่คิดว่าแม้เฉินซีจะกำราบเซียวเชียนซุ่ยได้ แต่หกสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียนก็ยิ่งใหญ่เกินไป ยากที่จะเอาชนะ
โดยสรุปแล้ว ในช่วงเวลานี้ การสนทนาเช่นนี้ได้เกิดในทุกซอกทุกมุมของภพเซียน แม้ว่าทุกคนจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ว่าเฉินซีจะสามารถสยบสุริยันอันเจิดจ้าทั้งหกดวงได้หรือไม่ แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชื่อเสียงและพลังฝีมือในปัจจุบันของเฉินซี ย่อมสามารถเทียบเคียงสุริยันอันเจิดจ้าทั้งหกดวงได้
หลังจากการถกเถียงกันอย่างดุเดือดเหล่านี้เองที่ทำให้เฉินซีได้กลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าดวงที่เจ็ด! ยิ่งกว่านั้น ยังโดดเด่นและสะดุดตาที่สุดในหมู่พวกเขา!
…
นอกจากนี้ หลังจากที่การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักสิ้นสุดลง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะก็แพร่กระจายไปทั่วภพเซียนราวกับพายุ และทำให้เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่
นิกายอำนาจเทวะ
ศัตรูร่วมของทั้งสามภพ ในช่วงเวลาเนิ่นนานไร้ขอบเขตที่โลกแห่งการบ่มเพาะดำรงอยู่ นิกายที่ไล่ตามเส้นทางความปราศจากอารมณ์แห่งนี้ ได้ก่อให้เกิดฝนโลหิตนับไม่ถ้วน และสร้างความหายนะไปทั่วใต้หล้า
ตั้งแต่หนึ่งล้านปีก่อน เมื่อภัยพิบัติของเทพอสูรสิ้นสุดลง แม้ว่านิกายอำนาจเทวะจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ก็ไม่มีใครลืมเหตุการณ์นองเลือดที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้
ปัจจุบัน ข่าวของนิกายอำนาจเทวะได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หลังจากผ่านมาเนิ่นนาน มันจึงดึงดูดความสนใจของหลาย ๆ คนได้ทันที
มีข่าวลือว่า สำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาล ได้ตกเป็นเบี้ยของนิกายอำนาจเทวะ
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือที่กล่าวว่า การปรากฏตัวของนิกายอำนาจเทวะ อาจเกี่ยวข้องกับกลียุคครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง และนิกายอำนาจเทวะตั้งใจคว้าโอกาสนี้ เพื่อนำภัยพิบัติมาสู่ทั้งสามภพอีกครั้ง
แต่ถึงอย่างไร ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงข่าวลือ อย่างน้อยที่สุด กองกำลังส่วนใหญ่ในภพเซียนยังไม่ได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจน
…
ในเวลาเดียวกัน
ณ ทวีปเนตรสวรรค์ ภายในตระกูลจั่วชิว
จั่วชิวคงที่สวมเสื้อผ้าสีขาวและมงกุฎขนนก กำลังอ่านแผ่นหยกในมือเงียบ ๆ
สุริยันอันเจิดจ้าดวงที่เจ็ดของภพเซียน?
พลังฝีมือที่เหนือล้ำกว่าเยี่ยถัง?
ผู้ชนะเลิศในการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก?
เขานึกถึงข้อมูลที่บันทึกไว้ในแผ่นหยก จากนั้นความโกรธแล่นเข้าสู่หัวใจอย่างไร้การควบคุม ทั้งยังพลุ่งพล่านอยู่ในอกจนไม่สามารถยับยั้งได้แม้แต่น้อย
ตู้ม!
แผ่นหยกในมือระเบิดเป็นชิ้น ๆ มันกลายเป็นธุลีที่ลอยหายไปในอากาศ
สีหน้าของจั่วชิวคงมืดมน และโมโหอย่างสุดขีด
ผ่านไปเพียงไม่นาน แต่ไอ้สารเลวที่ขึ้นสู่ภพเซียน กลับมีความแข็งแกร่งทัดเทียมข้าแล้วหรือ? ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ ข้าคงจะบดขยี้มันตั้งแต่ตอนที่อยู่ภพมนุษย์ไปแล้ว!”
เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่เฉินซีได้เผยออกมา และข่าวลืออันน่าตื่นตะลึงเกี่ยวกับเฉินซีนั้น จั่วชิวคงสูญเสียการควบคุมตนเอง และอารมณ์ก็สั่นคลอนอย่างรุนแรง
เขาสงสัยอย่างยิ่ง ว่าเฉินซีบ่มเพาะอย่างไร เพราะมันไม่มีทรัพยากรหรือความสัมพันธ์ที่จะช่วยเหลือ แล้วความแข็งแกร่งจะเพิ่มอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ไม่ได้การแล้ว! ข้าไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก เจ้าเด็กนี่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะนำหายนะมาสู่ตระกูลจั่วชิวของข้าแน่!” จั่วชิวคงหายใจเข้าลึก ๆ พยายามอย่างหนักที่จะควบคุมความเกลียดชังและความกระสับกระส่ายในใจ
จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง มีเพียงดวงตาที่ยังคงทอประกายด้วยเย็นเยียบเสียดกระดูก
“พ่อบ้าน!”
“นายน้อย มีสิ่งใดให้บ่าวรับใช้” ชายชราที่ดูเหมือนพ่อบ้าน พลันปรากฏตัวออกมาจากอากาศ
“ส่งคนของเราออกไป เฉินซีออกมาจากสำนักเมื่อไหร่ จงใช้ทุกวิถีทาง ฆ่าเจ้าเด็กบัดซบนั้นซะ!” จั่วชิวคงกล่าวทีละคำ เค้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธแค้น
ชายชราตกใจและกล่าวว่า “นายน้อย นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เราควรแจ้งท่านผู้นำตระกูลก่อนตัดสินใจหรือไม่?”
จั่วชิวคงขมวดคิ้วและกล่าวอย่างไม่พอใจ “อะไร? เจ้าคิดว่าอำนาจของข้าในตระกูล ไม่เพียงพอที่จะออกคำสั่งหรือ?”
ชายชรารีบกล่าว “บ่าวไม่กล้า”
หลังจากนั้นเขาก็อธิบายอย่างอดทน “อย่างไรก็ตาม การส่งผู้อาวุโสของตระกูลที่อยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นออกไปนั้น จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากท่านผู้นำตระกูลก่อน”
ในขณะนี้ จั่วฉิวคงรู้สึกอึดอัดราวกับกินแมลงวันเข้าไป และตวาดลั่น “เวลาเช่นนี้ เจ้าก็ยังพูดถึงกฎอันไร้สาระของตระกูลกับข้าอยู่อีกหรือ? หรือเราต้องรอให้ไอ้สารเลวนั่นบุกเข้ามาก่อน เราถึงจะตัดสินใจเคลื่อนไหวได้?”
“นายน้อย โปรดสงบอารมณ์” ชายชรากลับมีท่าทีสงบเมื่อเผชิญกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวของผู้เป็นนาย “ไม่มีสิ่งใดสามารถบรรลุผลได้ หากไร้กฎเกณฑ์ และการขาดสติเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำลายแผนการใหญ่ได้ นายน้อย โปรดคิดให้รอบคอบก่อนดำเนินการ”
หน้าอกของจั่วชิวคงกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความเดือดดาล และชี้นิ้วไปที่ชายชรา ความโมโหจุกอกจนกล่าวอะไรไม่ออก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็กัดฟันและกล่าวว่า “หรือเจ้าคิดว่า มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์จากขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นเท่านั้นที่จะสามารถทำลายล้างไอ้สารเลวนั่นได้? แล้วเหล่าเซียนปราชญ์ในตระกูลล่ะ? พวกมันล้วนเป็นหมูหมาที่ไร้ประโยชน์หรือ?”
ชายชราถอนหายใจ “นายน้อย อย่าลืมว่าตระกูลของเราต้องจ่ายราคามหาศาล เพื่อให้ทาปาเทียนซีของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าลงมือกับเฉินซีในสมรภูมินอกพิภพ แต่สุดท้ายแผนการก็ล้มเหลว”
“นั่นเป็นเพราะท่านบรรพบุรุษจั่วชิวไท่อู่เข้ามาแทรกแซง มิฉะนั้นเจ้าเด็กนั่นจะรอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร” จั่วชิวคงกล่าวด้วยเสียงอันเคร่งขรึม ทว่าทันทีที่กล่าวจบ คล้ายตระหนักบางอย่างได้อย่างฉับพลัน สีหน้าของเขาก็กลับมาสงบและมืดมนเล็กน้อย
“นายน้อย ในที่สุดท่านก็เข้าใจแล้ว?” ชายชรากล่าว
จั่วชิวคงแสยะยิ้มเย้ยหยัน และกล่าวอย่างเฉยเมย “เป็นเพราะคนในตระกูลของเราส่วนหนึ่งไม่ต้องการให้เฉินซีตาย?”
ชายชรายังคงนิ่งเงียบ และถือได้ว่าไม่ปฏิเสธ
“หึ่ม! ท่านอา ท่านมีความสามารถจริง ๆ! มีความสามารถอย่างแท้จริง!” จั่วชิวคงหัวเราะดังสนั่น แล้วถอนหายใจด้วยอารมณ์ แต่เสียงหัวเราะกลับเย็นชาอย่างยิ่ง ไร้คลื่นอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายชราอดไม่ได้ที่จะมองจั่วชิวคงด้วยความกังวล “นายน้อย บางทีเรื่องทั้งหมดนี้ อาจจะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย เมื่อท่านผู้นำออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ”
จั่วชิวคงเหม่อมองเงียบ ๆ จากนั้นแย้มยิ้มอย่างขมขื่น แล้วกล่าวด้วยท่าทางท้อแท้ “ท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ต้องพึ่งพาท่านพ่อกระมัง?”
เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วโบกมือ “เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจแล้วว่าข้าควรทำอย่างไร”
“นายน้อย ท่านอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม เจ้าเด็กนั่นมีตัวคนเดียว มันไม่มีทางอาละวาดไปได้ตลอด ตระกูลจั่วชิวของเรายืนหยัดอยู่ในภพเซียนมานาน และไม่ใช่สิ่งที่คนเพียงคนเดียวจะสั่นคลอนได้” ชายชราอดไม่ได้ที่จะเตือนจั่วชิวคง จากนั้นก็หันหลังกลับและหายตัวไปในอากาศ
“เฉินซีนั่นตัวคนเดียวจริง ๆ หรือ?” จั่วชิวคงเหม่อมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไร้พลังอย่างอธิบายไม่ได้
…
เวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ
โดยไม่รู้ตัว เวลาได้ล่วงเลยไปถึงสองเดือน นับตั้งแต่การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักสิ้นสุดลง
ในวันนี้ เฉินซีไม่ได้บ่มเพาะ ชายหนุ่มนั่งสบาย ๆ อยู่บนโขดหินที่ยอดหน้าผาพร้อมถือน้ำเต้าสุราไว้ในมือ เขาดื่มขณะมองไปยังทะเลเมฆที่ลอยล่องอยู่ในระยะไกล สีหน้านิ่งสงบขณะที่หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความผ่อนคลายไร้กังวล
ณ ปัจจุบัน การบ่มเพาะของเขาไม่อาจพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แล้ว หากอาศัยแค่การปิดประตูบ่มเพาะอย่างพากเพียร เว้นแต่จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนปราชญ์ได้
อย่างไรก็ตาม เฉินซีทราบดีว่า เขายังห่างไกลจากขอบเขตเซียนปราชญ์นัก เป็นเพราะยังขาดการขัดเกลา ปัจจัยสำคัญ และการสั่งสม
เรื่องดังกล่าวไม่อาจเร่งได้ เขาจึงต้องค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้า เพราะความเร่งรีบ ไม่อาจนำมาซึ่งความสำเร็จ
ในทางกลับกัน ในแง่ของการควบแน่นกฎ ชายหนุ่มมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ณ ปัจจุบัน เขาได้รับตราศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุ ตราศักดิ์สิทธิ์หยินหยาง ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำลายล้างดารา และตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติก็บรรลุระดับสี่ ซึ่งคือโซ่พันธนาการห้วงมิติ!
ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำลายล้างดารา คือตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมกฎแห่งดาราและกฎแห่งการทำลายล้าง
ในบรรดากฎแห่งมหาเต๋ากว่าสิบประการที่เฉินซีครอบครองนั้น กฎแห่งดาราและกฎแห่งการทำลายล้างนั้นเข้ากันได้มากที่สุด และควบแน่นง่ายที่สุด ทว่าแม้มันจะฟังดูยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ แต่ก็เหนือกว่าตราศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุและตราศักดิ์สิทธิ์หยินหยางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากหลอมรวมสุดยอดมรดกสูงสุดอย่างกระบี่แห่งดวงดาวและกระบี่แห่งการทำลายล้างที่มาจากยันต์เทวะอนันต์ อานุภาพที่สำแดงเมื่อใช้ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำลายล้างดารานั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อก่อน อย่างน้อยที่สุด ถ้าเฉินซีต่อสู้กับเซียวเชียนซุ่ยอีกครั้งในตอนนี้ เขาจะสามารถปลิดชีวิตของเซียวเชียนซุ่ยได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
เหตุผลที่ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำลายล้างดารานั่นควบแน่นได้ง่าย เพราะในบรรดากฎแห่งมหาเต๋าอื่น ๆ ที่เฉินซีครอบครอง เช่น มหาเต๋าแห่งนิรันดร์ มหาเต๋าแห่งการรังสรรค์ มหาเต๋าแห่งการกลืนกิน มหาเต๋าแห่งแสงสว่าง มหาเต๋าแห่งความมืด และอื่น ๆ ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ยากที่จะหลอมรวม
กฎแห่งมหาเต๋าเหล่านี้ เป็นมหาเต๋าอันล้ำลึกที่หาได้ยาก และเป็นการดำรงอยู่สูงสุด หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ ในขอบเขตเซียนทองคำ หากสามารถเข้าใจหนึ่งในนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้นั้นไปชั่วนิรันดร์
เป็นเพราะกฎแห่งมหาเต๋าเหล่านี้น่ากลัวเกินไป จนดูเหมือนยากที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน
สรุปแล้ว เขาไม่อาจหลอมรวมพวกมัน และเปลี่ยนให้เป็นตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์ภายในระยะเวลาอันสั้น
สำหรับโซ่พันธนาการห้วงมิติ มันคือระดับที่สี่ของตราศักดิ์สิทธิ์ห้วงมิติ เมื่อสำแดงพลัง มันสามารถเปลี่ยนพลังมิติให้เป็นโซ่ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ โซ่เหล่านี้มีพลังร้ายกาจที่ไม่อาจหยั่งรู้ และไม่ว่าจะเป็นกับดัก ศัตรู การฆ่า การลอบโจมตี หรือการช่วยเหลือผู้อื่น มันก็มีผลที่น่าเหลือเชื่อ
ที่สำคัญที่สุด ในขณะที่ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งมิติลึกซึ้งมากขึ้นไปทีละขั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับมิติของเฉินซีก็มาถึงจุดสูงสุด และนี่เป็นประโยชน์ต่อชายหนุ่มอย่างยิ่ง เมื่อเขาทะลวงขอบเขตราชันเซียนในอนาคต
“ศิษย์พี่เฉินซี ที่แท้ก็อยู่นี่เอง” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งได้ขัดจังหวะการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งของเฉินซี ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นชิงเยี่ยเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แล้วชิงเยี่ยก็ยิ้มให้อย่างสำรวม
“ศิษย์น้องชิงเยี่ย เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ?” เฉินซีลุกขึ้นยืน และยิ้มพลางถามกลับไป
ชิงเยี่ยพยักหน้าและดึงแผ่นหยกออกมา“ศิษย์พี่ นี่สำหรับท่าน หญิงสาวที่มีนามว่าเตียนเตี้ยนเป็นผู้ส่งมา”
เตียนเตี้ยน?
“หรือนางจะเคลื่อนไหวแล้ว?”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นแววตาของเขาก็เปล่งประกาย