ตอนที่ 416 บุคคลระดับเทพเซียน
วังหลวงต้าเจิน ภายในสำนักศึกษาหงเหวิน สังกัดฝ่ายตรวจสอบ องค์ชายองค์หญิงวัยสิบปีถึงสิบกว่าปีหลายคนกำลังเล่าเรียนอยู่ที่นี่ อิ๋นจ้งบุตรคนรองของอิ๋นจ้าวเซียนศึกษาที่นี่เช่นกัน ถือเป็นผู้ร่วมเรียนของเหล่าองค์ชายองค์หญิง
ถ้ากล่าวอย่างถูกต้องคือผู้เรียนเก่งที่สุดในบรรดาองค์ชายเหล่านี้ อนาคตมีโอกาสกลายเป็นศิษย์ของอิ๋นจ้าวเซียน เพียงแต่นั่นคงเป็นมังกรในหมู่คนอย่างแท้จริง ด้วยฮ่องเต้ต้าเจินองค์ปัจจุบันเคยตรัสนานแล้ว อนาคตจะให้อิ๋นจ้าวเซียนรับตำแหน่งราชครูของรัชทายาท
เท่ากับอนาคตใครมีอิ๋นจ้าวเซียนเป็นอาจารย์ก็คือรัชทายาทหรือว่าที่รัชทายาท แม้ว่าบางองค์ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน แต่จุดนี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต่างจากฮ่องเต้หยวนเต๋อ เท่ากับเลือกผู้สืบทอดซึ่งโดดเด่นมาอบรมตั้งแต่แรก ใช่ว่าใครจะข่มได้
ความจริงการเป็นองค์ชายและลูกหลานขุนนางใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย หากว่าเป็นพวกเจ้าสำราญไร้ปณิธานก็ช่างเถอะ แต่ถ้าอยากพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ข้อเรียกร้องที่ต้องรับก็ยิ่งเข้มงวด ใกล้วันส่งท้ายปีเก่าแล้ว แต่ยังมีชั่วโมงเรียนทุกวัน
ตอนนี้หน้าห้องหนังสือของสำนักศึกษาหงเหวิน บัณฑิตชราตำแหน่งราชครูคนหนึ่งกำลังถือตำราอ่านบทความ
“เรียนหกศาสตร์เพื่อครองตน เรียนศีลธรรมผลักดันจิตใจ เรียนทักษะเฉพาะเพื่อปกครองใต้หล้า…”
ชายชราอ่านพลางเหลือบมองบรรดาศิษย์ซึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะ แต่ละคนนั่งตัวตรง แต่ส่วนใหญ่ดวงตาฉายแววไม่ใส่ใจ ถึงขั้นว่ามีคนกระซิบกระซาบ เขาจึงหยุดเอ่ยวาจา
เมื่อได้ยินเสียงเงียบลง เด็กเหล่านี้ล้วนนั่งตัวตรง ราชครูอาวุโสกวาดมองคราหนึ่ง มององค์ชายซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้า
“องค์ชาย วันนี้เรียน ‘หลักวิญญูชน’ เป็นครั้งแรก กระหม่อมขอถามพระองค์ ยกตัวอย่างทักษะเฉพาะเพื่อปกครองใต้หล้าซึ่งกล่าวถึงในตำราได้หรือไม่”
องค์ชายที่ถูกเรียกประหม่าเล็กน้อย ขอความช่วยเหลือเสียงเบาตามจิตใต้สำนึก
“เอ่อ หู่เอ๋อร์…”
หู่เอ๋อร์คือชื่อเล่นของอิ๋นจ้ง ไม่ใช่แค่คนทางบ้าน สหายสนิทของอิ๋นจ้งล้วนเรียกเช่นนี้ อิ๋นจ้งเติบโตมาอย่างแข็งแรงนัก รูปร่างสูงใหญ่กว่าเด็กคนอื่นที่อายุเท่ากัน
“ห้ามขอความช่วยเหลือจากคนอื่น!”
ชายชรากล่าวอย่างเคร่งขรึมประโยคหนึ่ง
“เอ่อ… ปกครองใต้หล้า… ต้องรู้แจ้งนัยถูกผิดตามตำรา รอบรู้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน…”
องค์ชายเอ่ยมาช่วงหนึ่ง แต่กล่าวต่อไม่ได้แล้ว
“หึๆ…”
ราชครูหัวเราะพลางมองอิ๋นจ้ง
“อิ๋นจ้ง ในเมื่อองค์ชายขอความช่วยเหลือจากเจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองตอบเป็นอย่างไร”
อิ๋นจ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าว
“อาจารย์ ท่านบอกเองว่าวันนี้เรียนหลักวิญญูชนเป็นครั้งแรก ท่านเพิ่งเคยอ่านให้ฟัง เมื่อครู่เห็นชัดว่าเพิ่งอ่านถึงเรียนทักษะเฉพาะเพื่อปกครองใต้หล้า ถ้าท่านถามถึงทักษะเฉพาะเพื่อปกครองใต้หล้าที่เอ่ยถึงในตำรา พวกเรายังไม่เคยเรียน”
ชายชรายิ้มแล้ว ลูบเคราพยักหน้า สมเป็นบุตรคนรองของท่านอิ๋น ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าว
“คำพูดนี้ของข้าสามารถเข้าใจได้ว่าถามถึงทักษะเฉพาะเพื่อปกครองใต้หล้าที่กล่าวถึงในตำรา เป็นไปได้ว่ามีบางส่วน แต่การปกครองใต้หล้าที่แท้จริง ใช่ว่าแค่ยึดตามคำพูดในตำรา”
“อืม อาจารย์พูดมีเหตุผล ข้าคิดว่าทักษะเฉพาะเพื่อปกครองใต้หล้าไม่มีอะไรนอกจากสองอย่างนี้!”
“หืม? สองอย่างไหน”
อิ๋นจ้งกล่าวอย่างจริงจัง
“ท่านพี่เคยบอกข้าว่าทักษะปกครองใต้หล้าอย่างแรกคือ ‘กองทัพ’ อย่างที่สองคือ ‘การปกครอง’ แบ่งโดยละเอียดเป็น ‘โจมตี’ กับ ‘ตั้งรับ’ ‘ยึดตามหลักการ’ และ ‘สร้างขึ้นใหม่’…”
ราชครูอาวุโสฟังแล้วขมวดคิ้วก่อนเข้าใจกระจ่างอยู่บ้าง สิ่งเหล่านี้ที่อิ๋นจ้งกล่าวถึงไม่ใช่การพูดคุยอย่างผิวเผินธรรมดา คล้ายว่าลึกซึ้งปรุโปร่งยิ่งกว่าเนื้อหาตามหลักวิญญูชน
“อาจารย์ ข้าพูดถูกหรือไม่”
หลังจากอิ๋นจ้งกล่าวมาประโยคหนึ่ง เขาเอ่ยถามราชครูตรงหน้า ฝ่ายหลังพยักหน้าช้าๆ
“มีเหตุผลจริงๆ แต่เรื่องพวกนี้ถือว่าเร็วเกินไปสำหรับพวกเจ้า ทั้งมุ่งเน้นประโยชน์เกินไป คำกล่าวตามหลักวิญญูชนเหมาะสมกว่าหน่อย…”
“อาจารย์ ข้ายังมีเรื่องขอคำชี้แนะ”
ชายชรามองอิ๋นจ้ง ไม่ได้ตำหนิที่เขาตัดบทตน
“ว่ามา”
“ทั้งสามหลักการมีแบ่งก่อนหลัง แน่นอนว่าการปกครองใต้หล้าอยู่ท้ายสุด ถ้าอย่างนั้นการครองตนกับผลักดันจิตใจอย่างไหนมาก่อนหรือขอรับ”
มีบุตรชายของอิ๋นจ้าวเซียนมาเป็นศิษย์ แรงกดดันของเพื่อนร่วมชั้นย่อมมากหน่อย เป็นอาจารย์มีหรือจะไม่เหมือนกัน ชายชราขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบอย่างจริงจัง
“ดังคำกล่าวว่าจิตใจฟุ้งซ่านยากรวมสมาธิ หากเปรียบเทียบกันแล้ว แน่นอนว่าต้องครองตนก่อนผลักดันจิตใจ”
อิ๋นจ้งพยักหน้าเล็กน้อย
“อืม ท่านพ่อข้าก็กล่าวเช่นนี้”
เมื่อฟังคำพูดนี้ราชครูเป่าปากโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
“แต่พ่อข้ายังเคยพูดว่าศาสตร์ครองตนของวิญญูชน หลายครั้งต้าเจินของพวกเราล้วนไม่มีอยู่จริง แม้ว่าไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญหกศาสตร์ ขอแค่เป็นบัณฑิตที่เคยอ่านตำรา ย่อมพูดลำบากว่ามีผู้ครองตนได้เท่าไหร่ อาจารย์เห็นว่าอย่างไรเล่า”
คำถามนี้ตอบลำบากอยู่บ้างแล้ว ยามราชครูกำลังใคร่ครวญ ทันใดนั้นมีผู้คุ้มกันพกดาบคนหนึ่งเดินมาอย่างรีบเร่ง กระทั่งมาถึงสำนักศึกษาหงเหวิน
ชายชรามองผู้มาเยือน
“มีธุระอะไรหรือ”
ผู้คุ้มกันค้อมตัวประสานมือ
“ใต้เท้าราชครู จวนเสนาบดีอิ๋นส่งคนมาแจ้งข่าวด่วนว่าให้คุณชายรองตระกูลอิ๋นกลับไป บอกว่ามีแขกจากบ้านเกิดซึ่งไม่เจอกันหลายปีมาเยี่ยม”
ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย มองมาทางอิ๋นจ้ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้อิ๋นจ้งเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“ขอรับ!”
อิ๋นจ้งลุกขึ้นคารวะอาจารย์ ทั้งคารวะองค์ชายองค์หญิงคนอื่น ต่อมาค่อยออกจากประตูตามผู้คุ้มกันจากไปพร้อมกัน บรรดาศิษย์ที่เหลือต่างมองอิ๋นจ้งด้วยสายตาอิจฉา
เมื่อมาถึงข้างนอก หลังจากเดินมาช่วงหนึ่ง อิ๋นจ้งทนไม่ไหวแล้ว เขาเป่าปากโล่งอกอารมณ์ดีขึ้นมา การเรียนหนังสือช่างน่าเบื่อจริงๆ
ไม่รู้ว่าญาติจากบ้านเกิดเป็นใคร หรือว่าเป็นท่านลุง
รอเมื่อออกจากฝ่ายตรวจสอบ เห็นบ่าวกับรถม้าที่รออยู่ข้างนอก อิ๋นจ้งวิ่งเหยาะไปทันที เอ่ยถามอย่างดีอกดีใจ
“อาหย่วน ทางบ้านมีใครมา ท่านพ่อข้าถึงกับบอกให้เจ้ามาเรียกข้ากลับไป”
บ่าวประจำตระกูลคนนี้ดูเหมือนไม่เยาว์วัย อย่างน้อยอายุคงประมาณห้าสิบ ถือว่าเป็นคนเก่าแก่ข้างกายอิ๋นจ้าวเซียน ทำงานรอบคอบชัดเจน ทั้งเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพคนหนึ่ง
“คุณชายรอง ผู้มาเยือนคือท่านจี้ ปีนั้นข้าเคยเจอที่รัฐหวั่นครั้งหนึ่ง ท่านกลับไปก็รู้แล้ว”
“ท่านจี้!?”
อิ๋นจ้งประหลาดใจ ท่านจี้คนนี้เขาไม่รู้ว่าฟังบิดา พี่ชาย รวมถึงมารดาตนพูดถึงมากี่ครั้งแล้ว แน่นอนว่าไม่รู้สึกแปลกกับคำเรียกขานนี้ แต่กลับไม่เคยเจอมาก่อน แม้ว่าครอบครัวบอกว่าตอนเขายังเป็นทารกเคยเจอท่านจี้แล้ว แต่ตอนนั้นเขาจะจำได้อย่างไรเล่า
ท่านจี้ผู้ลึกลับคนนี้จึงทำให้อิ๋นจ้งสงสัยไม่น้อย บางทีเขาอาจถามเร็วเกินไป ครอบครัวของตนเพิ่งเปิดเผยเล็กน้อย บอกเล่าความอัศจรรย์ไม่ธรรมดาของท่านจี้ เนื้อหาบางส่วนอิ๋นจ้งฟังแล้วสงสัยว่าครอบครัวตนพูดถึงเทพเซียนคนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อนบ้านแล้ว
“ไม่ผิด เป็นท่านจี้ แทบไม่ต่างจากที่คนอื่นกับข้าน้อยเห็นเมื่อปีนั้น”
อิ๋นจ้งหยุดฝีเท้าเล็กน้อย รีบพุ่งตัวขึ้นรถม้าตัวเบาดุจนกนางแอ่น
“ไปๆๆ รีบกลับบ้านๆ ข้าอยากเห็นว่าท่านจี้คนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ ร้ายกาจขนาดนั้นจริงหรือไม่!”
รถม้าออกตัวตามการเร่งของอิ๋นจ้ง ด้วยบ้านอยู่ห่างจากพระราชวังไม่ไกลนัก ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูจวนตระกูลอิ๋น อิ๋นจ้งกระโดดลงจากรถม้า รีบเดินตะบึงเข้าไปในจวน
ภายในห้องรับแขกหลัก ตอนนี้มารดาตระกูลอิ๋นกลับถึงบ้านแล้ว หลังจากคารวะทักทายท่านจี้ มารดาตระกูลอิ๋นซึ่งไม่เข้าครัวมานานจำเป็นต้องเข้าครัวไปแสดงฝีมือ เกรงว่าบ่าวประจำตระกูลจะนำของไหว้ปีใหม่จากบ้านเกิดมาปรุงไม่ดีพอ ทั้งยากจะดึงรสชาติของอำเภอหนิงอันออกมา
ส่วนจี้หยวนกับพ่อลูกตระกูลอิ๋นกำลังคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของบ้านเกิด รวมถึงเรื่องราชการบางส่วนของพวกเขาในช่วงหลายปีมานี้
ตอนนี้เสียงฝีเท้าของอิ๋นจ้งดังมาจากข้างนอก เดินมาถึงหน้าประตูห้องรับแขกอย่างรีบเร่ง เขาฝืนสำรวมการกระทำตน จัดเสื้อแล้วเคาะประตูอย่างอดรนทนไม่ไหว
ก๊อกๆๆ…
“ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว!”
“หู่เอ๋อร์กลับมาแล้ว รีบเข้ามา!”
เมื่อได้ยินเสียงของบิดา อิ๋นจ้งผลักประตูเข้าไปทันที กระแสอบอุ่นเจือกลิ่นเตาถ่านปะทะใบหน้า เขารีบปิดประตู ป้องกันไม่ให้ความอุ่นหนีออกไป
หลังจากกวาดสายตามองรอบหนึ่ง เดิมคิดมองหาจี้หยวนทันที แต่จนปัญญาด้วยมีจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งสะดุดตาเกินไป เมื่อเห็นจิ้งจอกสีแดงเพลิงตัวหนึ่งบนตักพี่ชายตน ความสนใจของอิ๋นจ้งถูกดึงดูดไปทั้งอย่างนั้น
“มัวนิ่งอึ้งทำไม ยังไม่คารวะท่านจี้อีก!”
อิ๋นจ้าวเซียนกล่าวประโยคหนึ่ง คราวนี้อิ๋นจ้งจึงรีบคารวะจี้หยวน
“อิ๋นจ้งคารวะท่านจี้!”
“ไม่ต้องมากพิธี ข้ากับบิดาเจ้าเป็นเพื่อนสนิทกัน คบหาวิญญูชนจืดดังน้ำ ไม่ต้องเคร่งครัดเรื่องพิธีรีตองมากเกินไป”
จี้หยวนมองเด็กคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า อายุราวสิบสองสิบสามปี เอ็นกระดูกทั้งตัวแข็งแรง ตาส่องประกายดูหลักแหลม ลมหายใจทอดยาว ปราณเพลิงบนตัวเปี่ยมท้นยิ่ง แตกต่างจากบิดาและพี่ชายของเขาอยู่บ้าง
แม้ว่าตอนแรกอิ๋นจ้งถูกจิ้งจอกดึงดูดสายตา แต่ตอนนี้กลับสำรวจมองจี้หยวนโดยละเอียดอย่างอดไม่ได้
แวบแรกคิดว่ายังหนุ่มมาก แต่มองโดยละเอียดกลับรู้สึกว่าอายุคงไม่น้อยกว่าบิดาตนนัก ทั้งเมื่อมองไปยังรู้สึกถึงความบริสุทธิ์แปลกๆ จากนั้นค่อยเพ่งมองดวงตาของอีกฝ่าย แยกแยะโดยละเอียดแล้วเห็นสีเทาด้านในดังคาด
‘นี่ก็คือท่านจี้คนนั้นหรือ ดูเหมือนว่าไม่มีอะไร…’
“เจ้าก็คือน้องชายของอิ๋นชิงหรือ”
เสียงกระจ่างหนึ่งพลันดังขึ้น อิ๋นจ้งอึ้งงันเล็กน้อย สายตามองจี้หยวน อิ๋นจ้าวเซียน อิ๋นชิง สุดท้ายจึงมองจิ้งจอกตัวนั้น ดวงตายิ่งเบิกกว้างโดยไม่รู้ตัว
“อะ อ๊าก… ทะ ท่านพ่อ ท่านพี่ ท่านจี้ จิ้งจอกตัวนี้ มันพูดได้ด้วย!”
อิ๋นจ้งชี้ไปทางจิ้งจอก ร้องออกมาอย่างตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก
“มีอะไรน่าตื่นเต้น เจ้าเป็นถึงบุตรชายของอาจารย์อิ๋น น้องชายของอิ๋นชิงเชียว”
จิ้งจอกแดงกระโดดลงจากเข่าอิ๋นชิง เดินมาตรงหน้าอิ๋นจ้งทีละก้าว ส่วนฝ่ายหลังถอยหลังทีละก้าวตามจิตใต้สำนึก แผ่นหลังชนประตูทั้งอย่างนั้น
“อืม ข้าชื่อหูอวิ๋น เป็นเพื่อนสนิทของอิ๋นชิง มาพร้อมกับท่านจี้”
บนหน้าอิ๋นจ้าวเซียนกับอิ๋นชิงรวมถึงจี้หยวนต่างเจือรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนดูเรื่องสนุก เจตนาทำให้อิ๋นจ้งเป็นตัวตลก
สุดท้ายอิ๋นจ้งก็เป็นเด็ก กระโดดห่างจากประตู หนีมาอยู่ข้างกายอิ๋นจ้าวเซียน ทำหน้าตกตะลึงมองจิ้งจอกแดงตรงนั้น
“ท่านพ่อ… นี่คงไม่ใช่…”
“ไม่ผิด เป็นปีศาจ ข้าคือจิ้งจอกวิญญาณที่ฝึกตนบนเขาโคเทพ ตอนเด็กพี่ชายเจ้าก็เป็นเพื่อนกับข้า”
หูอวิ๋นหรี่ตา หน้าจิ้งจอกเผยรอยยิ้มเหมือนคนอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
“หึๆๆๆ…”
“จริงดังว่าๆ หึๆๆ…”
ในที่สุดอีกสามคนก็ทนไม่ไหว ภายในห้องรับแขกเปี่ยมเสียงหัวเราะ หลังจากคิดทบทวน แม้แต่อิ๋นจ้งยังยิ้มอักอ่วน ขณะเดียวกันสายตาที่มองหูอวิ๋นกับจี้หยวนยิ่งเปลี่ยนเป็นสงสัย
ในใจคิดว่าที่แท้บนโลกนี้ก็มีปีศาจอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ว่าท่านจี้ก็เป็นบุคคลระดับเทพเซียนหรอกหรือ