Invincible โลกอมตะ – ตอนที่ 202

ตอนที่ 202

เฉินฉิงเฟิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียนขั้นที่ 9 ก็แบนเหมือนแพนเค้กเลย

 

และคนที่ยืนอยู่ข้างเฉินฉิงเฟิงก็เป็นคนๆเดียวๆกับที่มาถึงที่นี่พร้อมเฉินฉิงเฟิง ลู่อวี่ฟานก็รู้สึกราวกับสายลมอันชั่วร้ายเห่าหอนไปทั่ว   แผ่นหลังของเขารู้สึกหนาวเย็นเพราะสายลมอันนี้ ด้วยการบ่มเพาะที่อยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นที่ 8 สูงสุดทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมา

 

ในเวลาเดียวกันสายตาของจ้าวชูก็เปลี่ยนไป

 

ลู่อวี่ฟานที่รู้สึกขนลุกก็รู้สึกราวกับขาของเขาโดนกระทิงพุ่งใส่ ขาทั้งสองของเขาก็สั่นไหว ทำให้เขาล้มลงมาคุกเข่า

 

“ทะ ทะ ท่า!”ลู่อวี่ฟางก็พูดติดอ่าง หลังจากนั้นเขาก็พูดว่า *ทะ*ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปอีกนาน แม้ว่าจะผ่านไปนานแค่ใหนเขาก็ไม่สามารถรวบรวมความกล้าพูดคำว่า *ท่าน* ได้สมบูรณ์ได้สักที

 

เมื่อลู่อวี่ฟานกำลังจะร้องไห้ออกมา จู่ๆจ้าวชูก็ยกมือขึ้นโจมตีไปด้วยฝ่ามือ ทำให้ปราณฉีรูปฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะปกคลุมท้องฟ้าได้นั้นก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวลู่อวี่ฟาน

 

ลู่อวี่ฟานก็มองไปที่ฝ่ามือขนาดมหึมาพุ่งลงมา ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเซียว แต่ก่อนที่เขาจะสามารถทำอะไรได้ทัน วิสัยทัศน์ของเขาก็มืดลงเพราะเสียงระเบิด

 

ลู่อวี่ฟานรู้สึกเพียงร่างกายที่สั่นไหวอย่างรุนแรงสักพักก่อนที่จะโดนชนใส่เขาราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล รอบๆร่างกายของเขาเกิดเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นนับไม่ถ้วน

 

และแล้วเขาก็หมดสติไปแทบจะทันที

 

ในช่วงวินาทีสุดท้ายก่อนที่ลู่อวี่ฟานจะหมดสติไป จู่ๆเขาก็นึกถึงฉากที่เฉินฉิงเฟิงถูกทุบเละเป็นแพนเค้กบนถนนทางเดินต่อหน้าต่อตาเขา

 

เมื่อลู่อวี่ฟานได้พบกับชะตากรรมแบบเดียวกับเฉินฉิงเฟิงที่ถูกทุบบี้แบนเป็นแพนเค้ก ฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบๆก็เหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาอีกครา

 

สองพ่อบ้านตระกูลกั่วกับถูกคนนอกบดขยี้ราวกับแมลงวันซะงั้น?

 

ถนนทางเดินที่ปกติจะเสียงดังครึกครื้นกับเงียบลงเป็นป่าช้า

 

ฝูงชนที่มองจ้าวชูก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจ

 

ชายวัยกลางคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนที่อยู่ข้างหลังหวงเสี่ยวหลงกับแข็งแกร่งขนาดนี้

 

เขาถึงกับสามารถจัดการเฉิงฉิงเฟิงและลู่อวี่หยางที่เป็นพ่อบ้านตระกูลกั่วได้  มีเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียนขั้น 10 สูงสุดที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับตัวตนอันหวาดหวั่นเท่านั้นถึงจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้!

 

หวงเสี่ยวหลงมองดูปร่องภูเขาไฟขนาดใหญ่รูปร่างมนุษย์ซึ่งมีเฉิงฉิงเฟิงและลู่อวี่ฟานหมดสติอยู่ภายในอย่างไม่แยแส แล้วหันหน้าไปอีกทางซึ่งเขานั้นไม่ลืมจัดการกับสองพี่น้องกั่วจื่อและกั่วเฟย

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งกั่วจื่อและกั่วเฟยต่างก็กำลังจ้องมองไปที่ปล่องภูเขาไฟรูปมนุษย์บนพื้นถนนทางเดินอย่างมึนงง  ในขณะที่จ้องมองเฉินฉิงเฟิงและลู่อวี่ฟานอยู่นั้น พวกเขาไม่ได้สังเกตุเห็นเลยว่าหวงเสี่ยวหลงกำลังเดินเข้ามาใกล้

 

ไม่นานนักหวงเสี่ยวหลงก็เดินเข้ามาใกล้พวกเขาในระยะ 2 เมตร ทำให้สองพี่น้องตระกูลกั่วสัมผัสได้จิตสังหารอันหยาวเหน็บที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของหวงเสี่ยวหลง เลยทำให้พวกเขารู้สึกตัว

 

ทั้งคู่ก็ชะงักแล้วหันคอไปทันที และเมื่อพวกเขามองเห็นหวงเสี่ยวหลงในระยะ 2 เมตร หัวใจของพวกเขาก็รู้สึกราวกับโดนเข็มพิษทิ่มแทง กั่วจื่อและกั่วเฟยก็กระโดดถอยหลังหนีทันที

 

“เสี่ยว น้องเสี่ยหลง!”ใบหน้าของกั่วจื่อก็ซีดเผิดราวกับถูกฝุ่นหนาเหนอะปกคลุมใบหน้า ดูเหมือนว่าลิ้นของเขาจะติดในลำคอทำให้เขาไม่สามารถพูดคำที่ดูเหมาะสมออกมาได้

 

“น้องเสี่ยวหลง?”หวงเสี่ยวหลงก็แสยะยิ้มในขณะที่เขาก้าวเดินเข้าใกล้สองพี่น้องตระกูลกั่ว “เจ้าแน่ใจนะไม่ได้หมายถึง….ใอ้สุนัขพันทางตัวนี้งั้นหรอ?”

 

เมื่อตอนเฉินฉิงเฟิงและลู่อวี่ฟานพึ่งจะมาถึงใหม่ ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของสองพื่น้องตระกูลกั่วก็มีคำว่า *ใอ้สุนัขพันทาง* รวมอยู่ด้วย

 

พอได้ยินคำพูดของหวงเสี่ยวหลง ใบหน้าท่าทางของพวกเขาก็น่าเกลียดมากขึ้น

 

“ไม่ๆ ตอนนี้เป็นเรา ไม่สิ พวกเราต่างหาก!”กั่วจื่ออ้าปากอยากพูดแก้ตัวแต่เขากับไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงใหนดี    หรือว่าเขาควรจะใช้ข้ออ้างที่ว่าปากของเขามีปัญหาอีกรอบดี?!

 

กั่วเฟยก็ยิ้มออกมาเท่าที่เขาจะทำได้ “ตอนนั้นพวกเราตื่นเต้นมากเกินไป ก็เลยสับสนจนพลั้งปากออกไป นั่นแหละคือเหตุผลที่มันหลุดออกมา มันก็แค่เรื่องไร้สาระ ใช่มั้ย น้องเสี่ยวหลงเรื่องไร้สาระเท่านั้นเอง พวกเราหน่ะเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วจะให้พวกเราพี่นิ้งไปเรียกเจ้าว่าหมาพันทางได้เยี่ยงไร”

 

พอมาถึงจุดๆนี้ ใบหน้าของกั่วก็ดูจริงจังขึ้นแล้วเขาก็ตบปากตัวเองอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่ ไม่ น้องเสี่ยวหลง ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย!”

 

และแล้วหวงเสี่ยวหลงก็เดินเข้ามาถึงตัวพวกเขาแล้วหยุดเดินและยืนอยู่สักพัก ครู่ต่อมาหวงเสี่ยวหลงก็เหวี่ยงฝ่ามือตบใส่สองพี่น้องตระกูลกั่ว  ทำให้บนใบหน้าทั้งสองคนมีรอยมือสีแดงประทับขึ้นมา

 

“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันงั้นหรอ?”หวงเสี่ยวหลงก็พูดทวนด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

กั่วจื่อและกั่วเฟยก็รู้สึกปวดแสบร้อนบนใหน้า

 

หลังจากถูกหวงเสี่ยวหลงตบไปสองครั้งบนใบหน้าทั้งซ้ายและขวา ใบหน้าของทั้งสองคนก็บวมเปล่งราวกับสัตว์ในตำนาน

 

“มะ-ไม่ เราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน!”พวกเขาก็เปล่งเสียงออกมาอย่างขาดความมั่นใจ

 

ทันทีที่ทั้งสองคนพูดเสร็จ หวงเสี่ยวก็ซัดหมัดใส่หน้าอกของทั้งสองคนจนกระเด็นลอยไป

 

บนหน้าอกของกั่วจื่อและกั่วเฟยเกิดรอยประทับฝ่ามือสีดำสนิท ในรอยประทับมีเสียงกรีดร้องของภูติผีดังขึ้นเป็นระยะๆ

 

“ไสหัวไปซะ!”หวงเสี่ยวหลงก็ตะคอกใส่

 

พอได้ยินคำว่า *ใสหัวไปซะ*จากหัวเสี่ยวหลงทำให้สองพี่น้องราวกับได้ยินเสียงจากสวรรค์ พวกเขาทั้งสองก็ลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต ไม่มีใครคิดถึงเฉินฉิงเฟิง หรือลู่อวี่หยานหรือกระทั่งรอยฝ่ามือสีดำแปลกๆที่อยู่บนหน้าอกเลยแม่แต่น้อย

 

ฝูงชนก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงในขณะที่พวกเขามองดูท่าทางของสองพี่น้องที่ลุกวิ่งหนีไป

 

ไม่นานนักเงาของทั้งสองคนก็หายไปจากสายตาของฝูงชน พวกเขาทั้งหลายก็หันไปมองหวงเสี่ยวหลง จ้าวชู และเฟยฮาว อย่างเลื่อมใส

 

หวงเสี่ยวหลงมองดูคนในฝูงชนและสายตาของเขาก็ไปมองลงบนตัวลูกหลายชนชั้นสูงจากตระกูลเล็กใหญ่ต่างๆที่กำลังผ่อนคลายก็ก้าวถอยหลังไปเองอย่างหวาดกลัว  ไม่กี่วิต่อมา ฝูงชนต่างๆก็หนีออกตามทางของตัวเอง

 

“นายน้อย ท่านจะ….?”จ้าวชูก็พูดสอบถามขึ้นมา

 

“ไม่จำเป็น”หวงเสี่ยวหลงก็ส่ายหัว เขาเข้าใจว่าจ้าวชูหมายถึงอะไร แต่คนอื่นๆ(พวกลูกหลานตระกูลชนชั้นสูง)ไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น ทำให้หวงเสี่ยวหลงไม่มีโอกาสจะได้ลงโทษพวกมันทีละคน

 

“ไปกันเถอะ”หวงเสี่ยวหลงก็พูดออกมาในขณะที่เขาหันไปมองเฉิงฉิงเฟิงและลู่อวี่ฟานที่นอนอยู่เป็นครั้งสุดท้าย

 

“ได้ขอรับ นายน้อย!”

 

พอกลุ่มของหวงเสี่ยวหลงก็ออกไปที่เกิดเหตุ มันก็ทำดวงตาของฝูงชนเกิดความหวาดกลัวขึ้น

 

เมื่อกลุ่มหวงเสี่ยวหลงหายไปวิสัยทัศน์   ทำให้คนที่อยู่ในถนนเกิดความวุ่นวายขึ้นมา

 

หลังจากนั้น หวงเสี่ยวหลงก็ไม่มีอารมณ์จะไปเดินเล่นอีกแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็เลยเดินทางกลับไปคฤหาสน์เนินเขาทิศใต้

 

หลังจากที่หวงเสี่ยวหลงเดินทางกลับไปคฤหาสน์เนินเขาทิศใต้ได้ไม่นาน สองพี่น้องกั่วจื่อและกั่วเฟยที่วิ่งไปอย่างแตกตื่นก็วิ่งมาถึงคฤหาสน์ตระกูลกั่ว ทันทีที่พวกเขาก้าวผ่านประตูคฤหาสน์ พวกเขาก็ร้องไห้แล้วตะโกนออกมาในลานกว้างของบ้านตระกูลว่า *พ่อ ช่วยพวกเราด้วย!*

 

“พ่อ ช่วยพวกเราด้วย!”

 

เสียงร้องไห้ของพวกเขาได้ไปดึงดูดผู้เชี่ยวชาญในคฤหาสน์ให้เข้ามาหา

 

ตอนนี้ กั่วชื่อเหวินกับพูดคุยถกเถียงกับหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลกั่ว จางเยี่ยเรื่องโถงประมูลล้านสมบัติของเมืองจักรพรรดิที่จะจัดขึ้นในเดือนต่อมา  เมื่อเขาได้ยินเสียงของลูกชาย กั่วจื่อและกั่วเฟยของเขา สมาธิของเขาก็แตกกระจาย ทำให้เขากระโดดลุกออกจากที่นั่งแล้วมุ่งหน้าไปที่ทางเข้าของบ้านตระกูล

 

หัวหน้าพ่อบ้านจางเยี่ยก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วมุ่งหน้าตามติดกั่วชื่อเหวิน

 

เมื่อกั่วชื่อเหวินมาถึงประตูทางเข้าห้องโถงหลัก เขาก็เห็นว่าใบหน้าของลูกชายของเขาทั้งสองบวเหมือนหมูและบนหน้าอกก็มีรอยฝ่ามือสีดำสนิท

 

พอเห็นสภาพน่าสังเวชแบบนี้ กั่วชื่อเหวินก็รีบวิ่งเข้าไปตะคอกใส่อย่างโมโห “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่หะ?!”

 

นี่เป็ฯครั้งแรกที่มีคนกล้าทุบตีลูกชายของกั่วชื่อเหวิน และที่ยิ่งไปว่านั้นคือยังทำให้บาดเจ็บสาหัสด้วยอีก

 

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ!” พ่อเห็นพ่อของตัวเอง กั่วจื่อและกั่วเฟยก็ร้องไห้ออกมาแล้ววิ่งไปหาพ่อของตัวเอง

 

“พอซะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?!” กั่วชื่อเหวินก็ตะคอกออกมา

 

“มันเป็นเพราะหวงเสี่ยวหลง เป็นมันหวงเสี่ยวหลง! ใอ้หมาพันทางนั้นมันทุบตีพวกเรา!”กั่วจื่อก็พูดออกมา “ท่านพ่อ ท่านจะปล่อยให้ใอ้สารเลวหมาพันทางหวงเสี่ยวหลงไปแบบนี้ไม่ได้นะ!”

 

“หวงเสี่ยวหลง?”กั่วชื่อเหวินก็อึ้ง

Invincible โลกอมตะ

Invincible โลกอมตะ

จากลูกศิษย์ของวัดเส้าหลินบนแผ่นดินใหญ่ หวงเสี่ยวหลงกลับคืนสู่โลกแห่งการต่อสู้โดยได้อาศัยความรู้จากความลับของหัวเซี่ย ซึ่งเป็นวิชาลับจากคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ในโลกของจิตวิญญาณการต่อสู้โดยเฉพาะผู้ที่มีจิตวิญญาณการต่อสู้เท่านั้นที่จะสามารถฝึกในปราณฉีและกลายเป็นนักรบได้ หวงเสี่ยวหลงเกิดมาพร้อมกับวิญญาณการต่อสู้ที่หายากจากภายในสวรรค์แห่งนี้ได้ถูกปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ ในช่วงพิธีปลุกเสกโดยคนของโลกแห่งนี้ อย่างไรก็ตามหวงเสี่ยวหลง กับ “ตัวแปร” จิตวิญญาณการต่อสู้ต้องลุกขึ้นต่อสู้อีกครั้งและแสดงความสามารถพิเศษอื่น ๆ เพื่อเอาชนะเหล่าอัจฉริยะสร้างความตกตะลึงให้กับตระกูลและเหล่าผู้คนของโลกจิตวิญญาณการต่อสู้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท