ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย – บทที่ 1206 ความวู่วาม

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1206 ความวู่วาม

บทที่ 1206 ความวู่วาม

น้ำตาของกู้เสี่ยวหวานไหลรินมาจากดวงตา โดยมีฉินเย่จือค่อยเช็ดให้ไม่ขาดสาย แต่น้ำตาที่พรั่งพรูออกมายังคงไหลตกกระทบหลังมือของเขา มันร้อนแผดเผาจนทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด

นางคงไม่มีความสุข…

“หวานเอ๋อร์…” ฉินเย่จือรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นน้ำตาของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือรู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนกำลังแทงมีดใส่หัวใจของเขา

“หวานเอ๋อร์ อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้เลย” ฉินเย่จือเช็ดน้ำตาของกู้เสี่ยวหวานอย่างงุ่มง่าม แต่ยิ่งเขาอ่อนโยนมากเท่าไร น้ำตาของกู้เสี่ยวหวานยิ่งไหลทะลักมากขึ้น

“ท่านพี่เย่จือ ข้าแย่จริง ๆ หรือ?” กู้เสี่ยวหวานพูดพลางสูดน้ำมูก

ตอนนี้นางรู้สึกแย่จริง ๆ

นางมีความเห็นแก่ตัวโดยไม่สนใจความคิดของฉินเย่จือโดยสิ้นเชิง เป็นเวลาสามปีแล้วจากวัยปักปิ่น พูดอย่างมีเหตุผล เกาเหลียนจือที่อายุน้อยกว่านาง นางรักถังซ่านจู่และทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกันมากกว่าตัวเอง

ดูเหมือนว่ากู้เสี่ยวหวานจะมีความหัวโบราณเล็กน้อย

“หวานเอ๋อร์แย่ที่ไหน หวานเอ๋อร์ไม่แย่ หวานเอ๋อร์ดีมาก” ฉินเย่จือไม่รู้ว่าทำไมกู้เสี่ยวหวานถึงร้องไห้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปลอบโยนนางเหมือนเด็ก ๆ ด้วยเสียงที่นุ่มนวลราวกับกำลังปลอบโยนเด็กไม่ให้เสียใจ

หัวใจของกู้เสี่ยวหวานเศร้าลงเรื่อย ๆ

นางเหยียดมือออกไปโอบแขนรอบคอของฉินเย่จือโดยไม่ต้องคิด และเอนตัวเข้าไปจนใบหน้าของพวกเขาเคลื่อนเข้าหากัน

ความอบอุ่นของกู้เสี่ยวหวานแนบกับใบหน้าของฉินเย่จือ มันเหมือนคำสาปทำให้ฉินเย่จือที่เพิ่งได้สติตกอยู่ในความลุ่มหลงอีกครั้งในทันที

“หวานเอ๋อร์…” เสียงของฉินเย่จือจมดิ่งลงเล็กน้อย

ผิวของกู้เสี่ยวหวานนั้นดีมาก นุ่มนิ่ม และอบอุ่นราวกับขนนกที่อ่อนนุ่ม เมื่อลูบไล้ไปตามพวงแก้มเนียนทำให้เขาใจเต้นแรง

ความวู่วามของฉินเย่จือที่เพิ่งถูกระงับลงได้หวนกลับมาอีกครั้งในขณะนี้

“หวานเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่” ฉินเย่จือพยายามควบคุมหัวใจที่เต้นแรง ระงับความปรารถนาที่ส่งเสียงดังอยู่ในใจ และกอดกู้เสี่ยวหวานอย่างอ่อนโยน เขาพูดประโยคนั้นด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังล้อเล่น

น้ำตาไหลอาบแก้มของกู้เสี่ยวหวาน และหยดลงบนใบหน้าของฉินเย่จือ ฉินเย่จือต้องการผลักนางออกเพื่อดูว่านางเป็นอย่างไร

เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่ปล่อยมือ ฉินเย่จือไม่กล้าขยับ ตอนนี้เขาตกอยู่ในอันตรายแล้ว ถ้าขยับอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าเขาทำให้ลูกแมวหวาดกลัวอีกครั้ง เขาก็สมควรตาย

ฉินเย่จือฝืนยิ้ม

เขาทำได้เพียงถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่าง เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อกู้เสี่ยวหวานสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเขา และเคลื่อนร่างกายของนางไปข้างหน้าตาม

ฉินเย่จือไม่ได้เตรียมตัวไว้ ที่นั่งของพวกเขาสองคนเป็นเก้าอี้ทรงกลมที่ไม่มีพนักพิง ฉินเย่จือที่รู้สึกประหม่าอยู่แล้ว ในขณะนี้เมื่อเขาถอยหลัง และกู้เสี่ยวหวานเอนมาข้างหน้า

น้ำหนักทั้งหมดของกู้เสี่ยวหวานก็เทไปบนร่างกายของฉินเย่จือทั้งหมด เก้าอี้กลมที่ไม่มีพนักพิง เมื่อฉินเย่จือถอยหลัง จุดศูนย์ถ่วงของเขาก็เกิดอาการไม่เสถียรและหงายหลังล้มลงทันที

กู้เสี่ยวหวานและเขาร่วงลงไปที่พื้น

ฉินเย่จือตื่นตระหนกและสูญเสียความสามารถในการคิดไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงโอบหลังศีรษะของกู้เสี่ยวหวาน กอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่นและล้มลงไปข้างหลัง

ท่ามกลางเสียงอุทานของกู้เสี่ยวหวาน มีเพียงเสียงกระแทกพื้นดังขึ้น

นั่นเป็นเสียงดังที่เกิดจากศีรษะฉินของเย่จือกระแทกกับแผ่นหิน และเนื่องจากกู้เสี่ยวหวานถูกกอดอย่างแน่นหนาในอ้อมแขนของฉินเย่จือ เมื่อนางล้มลง ร่างกายก็นอนอยู่บนร่างที่อ่อนนุ่มนั้นโดยไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ

เมื่อได้ยินเสียงศีรษะกระแทกกับแผ่นหิน หัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็จมดิ่งลง นางก็ยืดตัวขึ้นทันที และถามอาการของฉินเย่จือ “พี่เย่จือ เจ็บหรือไม่”

ฉินเย่จือล้มลงกับพื้นโดยมีคนอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาจึงเวียนหัวเล็กน้อยหลังจากถูกกระแทกที่ด้านหลังศีรษะแบบนั้น

เขาไม่ตอบสนองไปชั่วขณะ เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าเขาไม่ตอบคำพูดของตนเอง นางก็กังวลเล็กน้อย และยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฉินเย่จือ

กู้เสี่ยวหวานนอนคร่อมฉินเย่จือบนพื้นด้วยท่าทางคลุมเครือ

ฉินเย่จือเริ่มกลับมามีสติ และเมื่อเขาเห็นท่าทางของทั้งสองคนในตอนนี้ ใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวไปถึงกกหูทันที

และตำแหน่งที่ขาของกู้เสี่ยวหวานวางอยู่ก็เป็น…

ใบหน้าของฉินเย่จือเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที แต่กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สังเกตมากนัก เมื่อเห็นหน้าฉินเย่จือแดงก่ำ นางก็คิดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและรู้สึกประหม่ามากขึ้น “พี่เย่จือ ท่านอย่าทำให้หวานเอ๋อร์กลัว ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“หวานเอ๋อร์ ข้าไม่เป็นอะไร” ฉินเย่จืออยากจะจุดธูปให้ตัวเองจริง ๆ

ไม่รู้ว่าหลิ่วเซี่ยฮุ่ย*[1] ที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนตัวเองหรือเปล่า

กลัวว่าหลิ่วเซี่ยฮุ่ยกำลังเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่เขาไม่ชอบใช่ไหม ฉินเย่จือหัวเราะอย่างลับ ๆ มีผู้หญิงสวยอยู่ในอ้อมแขนของเขาและก็เป็นผู้หญิงที่เขาชอบ เขาเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาต้องควบคุมตนเองมากเพียงใดเพื่อระงับความปรารถนาที่เรียกร้องในใจของเขา

หลังจากได้ยินคำตอบของฉินเย่จือ ในที่สุดกู้เสี่ยวหวาก็ยิ้มและกำลังจะลุกขึ้นจากร่างของฉินเย่จือ แต่ในระหว่างการเคลื่อนไหวนั้น นางก็ไปสัมผัสส่วนที่บอบบางของฉินเย่จือโดยไม่ได้ตั้งใจ

ฉินเย่จือครางเสียงต่ำ

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงนั้น ก็คิดว่าเขากำลังเจ็บปวดจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น นางรีบลดร่างกายลงเพื่อดูว่าฉินเย่จือเป็นอะไร

ฉินเย่จือไม่สามารถทนได้อีกต่อไป การเคลื่อนไหวได้ทำลายสมาธิทั้งหมดของเขา หากกู้เสี่ยวหวานยังขยับอยู่แบบนี้ เขาไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่น่าประหลาดใจในภายหลัง

ฉินเย่จือกอดกู้เสี่ยวหวานแน่นและดึงนางไปที่หน้าอกของเขาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เขากักขังนางไว้ที่หน้าอกเพื่อป้องกันไม่ให้นางเคลื่อนไหวและพูดเสียงต่ำราวกับว่าพยายามอดกลั้นอารมณ์ “หวานเอ๋อร์ อย่าขยับ”

“ท่านพี่เย่จือ”

“หวานเอ๋อร์ เจ้าเชื่อแค่ไหนว่าท่านพี่เย่จือของเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว? ถ้าเจ้ายังขยับอีก ข้ารับประกันไม่ได้จริง ๆ ว่าข้าจะทำอะไรต่อไป”

*[1] หลิ่วเซี่ยฮุ่ย เป็นคนหลู่กั๋วสมัยยุคชุนชิวจ้านกั๋วที่ขึ้นชื่อในเรื่องของบุรุษผู้มีคุณธรรมอังสูงส่ง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

Status: Ongoing
กู้เสี่ยวหวานเป็นสาวนักวิจัยด้านการเกษตรวัยเฉียดสามสิบผู้เพียบพร้อม​ในทุกด้าน​ เว้นแต่ด้านความรักที่ยังไม่มาทักทาย​ จนพ่อแม่กลุ้มใจและจัดนัดบอดให้หลายหน และความซวยก็มาเยือนในนัดบอดครั้งนี้​ หลังได้รับโทรศัพท์​จากหัวหน้าทีมวิจัยว่าการทดลองล้มเหลว​ ทำให้เธอต้องรีบทำการทดลองก่อนเวลานัดบอด​ จนประสบอุบัติเหตุ​โทรศัพท์​มือถือระเบิดกลางห้องแลบและพาตัวเธอทะลุมิติ​มาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยสมัยราชวงศ์ชิงผู้แบกภาระเลี้ยงดูน้องๆ​ ท่ามกลางครอบครัวที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น​

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท