บทที่ 1209 บ้านใหญ่ต้องการความช่วยเหลือ
บทที่ 1209 บ้านใหญ่ต้องการความช่วยเหลือ
ทันทีที่ริมฝีปากแตะกัน กู้เสี่ยวหวานก็ตกใจมากและทำให้นางเกิดความสับสนมึนงง หลงลืมไปแล้วว่าริมฝีปากของนางนั้นบวมได้อย่างไร นางจึงกอดเขาอีกครั้งและตอบสนองอย่างเงอะงะ
เมื่อรู้สึกถึงการตอบสนองจากคนในอ้อมแขนของเขา ฉินเย่จือได้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพิจารณาว่าริมฝีปากของกู้เสี่ยวหวานบวมเป่ง ฉินเย่จือจึงไม่กล้าใช้กำลังมากเกินไป และทำได้เพียงจูบเบา ๆ และใช้นิ้วมือก็วาดลงที่คิ้วของนางเบา ๆ
สักพักผ้าคลุมก็ชุ่มไปด้วยน้ำลาย
คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาร่างกายอ่อนปวกเปียก ฉินเย่จือกอดนางแน่นราวกับว่าเขากำลังกอดสมบัติหายาก
“หวานเอ๋อร์” เสียงพึมพำของฉินเย่จือทำให้สติของกู้เสี่ยวหวานกลับมาในที่สุด สีหน้าของนางชัดเจนขึ้น นางรู้สึกได้ว่าผ้าคลุมของนางเปียก และริมฝีปากก็กลับมาชากอีกครั้ง
จบแล้ว จบแล้ว มันยิ่งแย่ลงไปอีก
“มันเป็นความผิดของท่านทั้งหมด มันบวมหมดแล้วและตอนี้คงบวมมากกว่าเดิม” กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้ นางชูกำปั้นและทุบอกฉินเย่จือ
ฉินเย่จือมองท่าทางน่าเอ็นดูของคนรัก จึงอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะออกไปเอาอาหารมาให้ พวกเราจะเอามากินในห้อง”
เป็นเรื่องยากสำหรับเขาอีกครั้งเมื่อเขาได้อยู่ตามลำพังกับกู้เสี่ยวหวานผู้งดงามราวกับภาพวาด
กู้เสี่ยวหวานทำผิดพลาด ตั้งที่แต่นางเริ่มมีความรัก คนรักผู้นี้ก็กอดและจูบนางราวกับว่ามีวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง
ปากนางไม่เคยบวมเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงได้แต่สวมผ้าคลุมไว้เท่านั้น ชายร่างใหญ่ผู้นี้ก็คงสับสนว่านางกำลังทำอะไรอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองรอยยิ้มที่มีความหมายของท่านอาในตอนนั้น กู้เสี่ยวหวานก็รู้ว่านางไม่สามารถปกปิดอาของนางได้
นางเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้
เมื่อนึกถึงการที่เขาปีนเข้าหน้าต่างห้องของนางทุกวัน และนางยังให้ผู้ร้ายในความมืดจูบ หัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าเลือดกำลังสูบฉีด
ดูเหมือนว่าความรักครั้งนี้จะทำให้ระดับสติปัญญาของผู้คนดิ่งลงจริง ๆ
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกรำคาญใจ กลางวันก็ฉินเย่จือ กลางคืนก็ฉินเย่จือ เมื่อใดก็ตามที่ในตอนกลางวันนางไม่ได้พบกับฉินเย่จือ ในตอนกลางคืนนางก็จะไปพบกับเขาในความฝัน
แม้ว่าจะรำคาญ แต่ว่านางก็ตั้งตารอ
ในวันนี้ ทั้งสองพูดคุยอย่างเริงร่าใต้ร่มไม้ใหญ่ในสวนอีกครั้ง อากาศดี ลมเย็นพัดโชยมาในฤดูร้อน
กู้เสี่ยวหวานนอนอยู่บนเก้าอี้โยก แกว่งไปแกว่งมาอย่างไม่มั่นคง ฉินเย่จือนั่งอยู่ข้าง ๆ ถือหนังสือไว้ในมือและอ่านอย่างระมัดระวัง
มือของทั้งสองจับกันแน่น นิ้วประสานกันและสบตากันเป็นระยะ ๆ
ไม่มีใครกล้าทำลายความคลุมเครือและความเงียบสงบนี้ ยกเว้นฉือโถวที่วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฉินเย่จืออยู่ใกล้กับกู้เสี่ยวหวาน ดูเหมือนว่าเพียงแค่เขาก้มศีรษะลงอีกครั้ง เขาก็สามารถสัมผัสริมฝีปากของกู้เสี่ยวหวานได้
ฉือโถวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อกู้เสี่ยวหวานพบว่าฉือโถวอยู่ที่นั่น ใบหน้าของนางก็เห่อร้อน
ตอนนั้นเองที่ฉือโถวตระหนักว่าในตอนนี้ฉินเย่จือต้องการทำอะไร ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที และเขาก็ลดศีรษะลงเพื่อหลบซ่อนสายตา
เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูด กู้เสี่ยวหวานจึงถามว่า “พี่ฉือโถว มีอะไรหรือเปล่า”
ฉือโถวไม่ใช่คนบ้าบิ่น มันต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ ที่เขาวิ่งเข้ามาแบบนี้
แน่นอนว่าหลังจากฉือโถวกลับมาเป็นปกติ เขาก็พูดอย่างใจเย็นว่า “เสี่ยวหวาน ครอบครัวของกู้ฉวนลู่อยู่ที่นี่”
ครอบครัวของกู้ฉวนลู่หรือ
“พวกเขาทั้งสี่อยู่ที่นี่หรือ” กู้เสี่ยวหวานถามกลับ นี่เป็นผู้มาเยือนที่หายากจริง ๆ พวกเขาทั้งสี่อยู่ที่นี่ ลมอะไรหอบพวกเขามาถึงที่นี่
ช่างประจวบเหมาะ นางปล่อยให้เวลาเอ้อระเหยเกินไปแล้ว กู้เสี่ยวหวานอยากจะดูเช่นกันว่าลุงผู้นี้มีเรื่องอะไร
นางลุกขึ้นจากเก้าอี้และพูดว่า “ไปกันเถอะ ดูกันว่าลมอะไรพัดพาพวกเขามาที่นี่”
แต่ไม่น่าจะใช่ลมจากทางทิศเหนือ คงจะเป็นลมจากทางทิศใต้ที่พัดคนพวกนี้มาทางนี้ น่าจะเป็นลมร้ายที่มีวิญญาณร้ายหลงเหลืออยู่พัดมา
ฉินเย่จือโอบไหล่ของกู้เสี่ยวหวาน ทั้งสองมีความเข้าใจโดยปริยายว่าฉือโถวที่ตามมาข้างหลังรู้สึกสูญเสีย
เมื่อออกมาที่ลานบ้านก็เห็นครอบครัวของกู้ฉวนลู่มองไปในสวน
เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานออกมา ดวงตาของกู้ฉวนลู่ก็สว่างขึ้น “เสี่ยวหวาน เสี่ยวหวาน”
น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าบ้านใหญ่ตระกูลกู้และบ้านรองตระกูลกู้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สนใจกับความกระตือรือร้นที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของกู้ฉวนลู่ ตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับคนที่นางเกลียด
“มีเรื่องอะไร” น้ำเสียงเย็นชายังคงไม่สนคำเยินยอของกู้ฉวนลู่
“เสี่ยวหวาน คุยแบบนี้ไม่สะดวก ข้ามีเรื่องสำคัญ พี่สาวของเจ้ากำลังอ่อนแอ ทำไมเจ้าไม่ให้พวกข้าเข้าไป แล้วค่อย ๆ นั่งลงพูดคุยกัน” กู้ฉวนลู่เริ่มพูดจาไร้สาระ
ร่างกายของกู้ซินเถาอ่อนแอหรือ
เมื่อมองไปที่กู้ซินเถาที่บอบบาง ในขณะนี้นางกำลังมองไปที่ฉินเย่จือด้วยใบหน้าแดงซ่านอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานเห็นว่ามันเป็นสัญชาตญาณของนางที่จะปกป้องสิ่งของของนาง จึงถอยออกมาทันทีและยืนอยู่ตรงหน้าฉินเย่จือเพื่อป้องกันเขาเอาไว้
แม้ว่านางจะไม่สูงและไม่สามารถป้องกันได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยนางก็สามารถป้องกันมันได้เล็กน้อย
จากนั้นกู้เสี่ยวหวานเชิดหน้าขึ้นสูงจ้องมองกู้ซินเถาราวกับประกาศอำนาจของนางด้วยใบหน้าที่ยั่วยุ
กู้ซินเถาไม่เคยเห็นท่าทางที่หยิ่งยโสของกู้เสี่ยวหวานเช่นนี้มาก่อน มันเป็นความมั่นใจในตนเองที่ได้รับการปลูกฝัง ลักษณะท่าทางการแสดงออกของนางนั้นไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
กู้ซินเถาผู้ซึ่งเคยได้รับการปลูกฝังมาเป็นเวลาหลายปี นางรู้วิธีที่จะเกลี้ยกล่อมชายหนุ่ม รู้วิธีแต่งกายเฉกเช่นสาวงาม
ท่าทางของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่มั่นใจ เช่นเดียวกับการแสดงออกที่ดูสุขุมและใบหน้าที่งดงามประกอบกับรัศมีที่เย้ายวนเท่านั้นที่นางสู้ได้ แต่ไม่ว่ากู้ซินเถาจะสวยแค่ไหน แต่นางก็ยังถือว่าค่อนข้างเตี้ย
กู้ซินเถารู้สึกรำคาญเล็กน้อย นางแก่กว่ากู้เสี่ยวหวาน นางจะถูกหญิงผู้นี้รังแกได้อย่างไร
นางอยากจะพุ่งตัวไปหากู้เสี่ยวหวาน แต่ซุนซื่อที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดึงนางไว้พลางส่ายหัว