บทที่ 1217 มีแต่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น
บทที่ 1217 มีแต่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น
กู้ซินเถาปิดปากอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว และสาบานครั้งแล้วครั้งเล่าว่านางจะไม่พูดเรื่องไร้สาระอีก ซุนซื่อเห็นเช่นนั้นจึงยอมแพ้
แม่และลูกสาวต้องเดินเท้าไปยังเมืองหลิวเจียโดยไร้ซึ่งรถม้า
นางทั้งสองสนับสนุนซึ่งกันและกันเดินไปที่เมืองหลิวเจีย ระหว่างทางกู้ซินเถาตำหนิบ่นตลอดเวลา และคนเดียวที่นางกล้าตำหนิคือ กู้เสี่ยวหวาน
ซุนซื่อยังส่งเสียงสนับสนุนเป็นครั้งคราว แม่และลูกสาวที่ต้องเดินเท้าไปที่เมืองหลิวเจียโดยที่ใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทั้งสองจึงได้แต่ตำหนิกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานกลับไปที่บ้านโดยมีฉินเย่จือตามหลังมา
ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะได้ตั้งตัว นางก็ถูกกอดจากด้านหลังเสียแล้ว
หากไม่รู้ว่าฉินเย่จือกำลังตามหลังนางมา หัวใจของกู้เสี่ยวหวานคงเต้นอย่างแรง
ฉินเย่จือผู้นี้มักจะกลับมาโจมตีอย่างกะทันหัน นางไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่หัวใจของนางจะหายจากอาการตื่นตระหนก
ประตูถูกเตะเปิดโดยฉินเย่จือที่กอดกู้เสี่ยวหวานอยู่ ฉินเย่จือกอดนางแล้วหมุนตัวถึงสองครั้ง
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเพียงว่าหัวใจของนางกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า ร่างกายของนางเริ่มวิงเวียน และเมื่อลืมตาด้วยความงุนงงก็ได้ยินเสียงหัวเราะของฉินเย่จือและสัมผัสอันอบอุ่นบนริมฝีปากของนางก็ตามมาทันที
ฉินเย่จือจูบกู้เสี่ยวหวาน ทั้งคู่ใกล้ชิดกัน เขาไล่เลียริมฝีปากของนางไม่หยุด
กู้เสี่ยวหวานหลับตาและผ่อนปรนลมหายใจ แขนขาของนางอ่อนแรงลงราวกับว่าไม่มีกระดูก
กู้เสี่ยวหวานยื่นมือออกไปโอบรอบคอของฉินเย่จือ จากนั้นประคองศีรษะของเขาเข้ามาใกล้ ๆ เขย่งเท้าและทิ้งน้ำหนักพิงลงกับร่างกายของฉินเย่จือ
ห้องนั้นเงียบสงัด
ได้ยินเพียงเสียงการเคลื่อนไหวของสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันอย่างแผ่วเบา
จูบนี้กินเวลาเนิ่นนานก่อนจะหยุดลง
กู้เสี่ยวหวานไม่มีแรงแม้แต่จะยืนขึ้น การจูบนี้ดูเหมือนว่าจะดึงพลังงานไปจากร่างกายจนหมด
นางทำได้เพียงทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนร่างกายของฉินเย่จือ กอดเอวแข็งแกร่งของฉินเย่จือไว้แน่นและทิ้งตัวอยู่อย่างนั้น
ไม่สิ…
ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเบิกกว้างอย่างกะทันหันราวกับว่านึกอะไรบางอย่างออก นางเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่จือ แล้วถามทันที “ทำไมเจ้าจึงดูชำนาญนัก เคยฝึกฝนมาก่อนหรือ”
กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสีดำของนางดูเหมือนจะเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และริมฝีปากสีชมพูก็แวววาวด้วยหยาดน้ำลาย ริมฝีปากแดงบวมเป่งเล็กน้อยราวกับอาหารรสเลิศที่รอให้เขามาลิ้มลอง
การกระทำที่เดิมทีจะหยุดเพียงแค่นี้ ตอนนี้มีแรงกระตุ้นให้ก้มศีรษะลงและจูบอีกครั้ง
หลังจากได้ยินคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็เกือบจะหัวเราะออกมาดัง ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของกู้เสี่ยวหวาน ราวกับว่านางต้องการคำตอบ จู่ ๆ ฉินเย่จือก็คิดจะแกล้งนาง
เขามีความตื่นตระหนกในดวงตาและรีบพูดว่า “เปล่า หวานเอ๋อร์ ข้าเปล่าเลย”
ครั้นดวงตาที่แหลมคมของกู้เสี่ยวหวานมองเห็นท่าทางการแสดงออกของเขาเช่นนั้น
คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าคนผู้นี้เคยมีประสบการณ์มาก่อนหน้านี้แล้ว
ยิ่งกู้เสี่ยวหวานคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าเขาไม่สามารถยับยั้งมันได้มานานแล้วและได้เรียนรู้มันแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทักษะการจูบของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ทุกครั้งที่เขาทำ นางมักจะหมดเรี่ยวแรง แท้จริงแล้วเขาเคยมีอาจารย์ที่ได้สอนวิชานี้ให้แก่เขา
กู้เสี่ยวหวานรู้สึกไม่พอใจและกำลังจะผลักฉินเย่จือให้ออกห่างจากตัว
เมื่อเห็นการแสดงออกของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็แอบคิดว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี จึงยิ้มอย่างมีเลศนัย นี่ไม่ใช่เรื่องตลกจริง ๆ
ดังนั้นเขาจึงกอดกู้เสี่ยวหวานแน่นอีกครั้งโดยแสดงความไร้เดียงสา “หวานเอ๋อร์ ข้าไม่เคยแตะต้องใครนอกจากเจ้า”
กู้เสี่ยวหวานยังคงไม่เชื่อ นางบิดร่างของนางออกจากอ้อมกอดของฉินเย่จือด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองในใจ “หากเจ้าไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน แล้วเหตุใดจึงมีความเชี่ยวชาญนัก”
“ข้าเชี่ยวชาญตรงไหน” ฉินเย่จือถามด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสา
“จะ… เจ้า… เรื่องนั้นเจ้าเก่งมาก” กู้เสี่ยวหวานพูดจาติดขัด ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ
กู้เสี่ยวหวานพูดไม่ออกและรู้สึกแปลก ๆ ในใจของนาง ถ้าฉินเย่จือไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ทำไมทักษะการจูบนี้ถึงทรงพลังมาก
เพียงแต่นางลืมไปว่าสัญชาตญาณแห่งความรักเป็นของชายหญิงมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเย่จือปกป้องนางมาโดยตลอด และโดยธรรมชาติแล้วเขาต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่นาง
“เรื่องใดหรือ” ฉินเย่จือถามอย่างหยอกล้อ ดวงตาคมกริบคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ยากที่จะเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของกู้เสี่ยวหวาน มันงดงามเหมือนกับภาพวาด
ภาพวาดที่ควรค่าแก่การครอบครองไปตลอดชีวิต
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานเปลี่ยนเป็นสีแดง นางทุบเขาด้วยกำปั้น “เจ้ามันนิสัยไม่ดี”
หลังจากรอเป็นเวลานานก็ไม่มีเสียงตอบกลับ กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นและเห็นดวงตาของฉินเย่จือเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันแข็งแกร่งที่จ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา จากนั้นนางก็รู้ว่าตัวเองถูกคนผู้นี้ลวนลาม จึงทุบเขาอีกหนึ่งมัดแล้วพูดว่า “เจ้าร้ายกาจมาก”
ต่อมา เมื่อนางคิดว่าตัวเองพูดคำที่ชั่วร้ายเช่นนี้กับฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ดูเหมือนว่าคำพูดนี้นางไม่ได้ไตร่ตรองก่อนที่จะพูดออกมา
ฉินเย่จือยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น กู้เสี่ยวหวานเป็นเพียงส่วนที่อ่อนโยนที่สุดในหัวใจของเขา
เคยเห็นแต่กู้เสี่ยวหวานผู้แข็งแกร่ง กู้เสี่ยวหวานผู้ฉลาด กู้เสี่ยวหวานผู้สงบ กู้เสี่ยวหวานผู้อ่อนโยน มันหายากสำหรับนางที่จะมีด้านที่ขี้อายเช่นนี้ ทุกคำพูดของนางนั้นหวานเลี่ยนถึงหัวใจ
ฉินเย่จืออารมณ์ดีและกอดนางไว้แน่น วางคางบนศีรษะของกู้เสี่ยวหวาน เขาเลิกคิดที่จะแกล้งนางและพูดอย่างจริงจังว่า “หวานเอ๋อร์ ในชีวิตนี้ คนเดียวที่ข้ารักคือเจ้า รักมาตั้งแต่แรกพบ ข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจ ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวทั้งในตอนนี้และในอนาคต”
คำพูดของฉินเย่จือนั้นแผ่วเบาราวกับสายลม แต่ก็หนักแน่นราวกับหินผา เขาถูกตราตรึงอยู่ในหัวใจของกู้เสี่ยวหวานและจะไม่มีวันหายไป
อีกหลายปีข้างหน้า เมื่อฉินต้าเปาและฉินเสี่ยวเปาถามกู้เสี่ยวหวานว่าท่านพ่อของพวกเขาเคยพูดคำบอกรักที่ยากจะลืมเลือนที่สุดกับนางหรือไม่ กู้เสี่ยวหวานจะนึกถึงบ่ายวันนี้
แสงแดดสีทองที่ส่องเข้ามาทำให้ภายในห้องพลันอบอุ่น