บทที่ 1227 ให้นางได้ลิ้มรสความขมขื่นเสียบ้าง
บทที่ 1227 ให้นางได้ลิ้มรสความขมขื่นเสียบ้าง
ยามนี้ในหัวของกู้ฉวนลู่เอาแต่คิดวกวนถึงคำพูดของกู้เสี่ยวหวานที่พูดในร้านจิ่นฝู ก่อนเขาจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
“หมอเหลย ข้ากลัวว่านางจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น หากนางจับได้ว่าเราใส่ร้ายน้องสาวนาง ถึงตอนนั้นเราจะทำเช่นไร นับวันนางยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อย ๆ แล้วถ้าหากนางคิดจะทำสิ่งใดเพื่อแก้แค้นพวกเรา ด้วยอำนาจในมือนางในยามนี้ ข้าเกรงว่าแม้แต่พี่ชายของท่านก็คงไม่อาจทำสิ่งใดนางได้”
“ท่านจะกลัวไปไย” หมอเหลยเอ่ยตอบด้วยความโมโห
“เหอะ ๆ” กู้ฉวนลู่หัวเราะเสียงแห้ง “หมอเหลย ท่านยังไม่รู้จักหลานสาวคนนี้ของข้าดี แต่ตัวข้านั้นรู้จักนางเป็นอย่างดี”
จากนั้นกู้ฉวนลู่ก็เริ่มเล่าวีรกรรมของกู้เสี่ยวหวานเรื่องแล้วเรื่องเล่า จนสามารถขนานนามว่า ทั้งบนโลกสวรรค์หรือในแดนยมโลกก็ไม่มีผู้ใดเทียบคนเนรคุณอย่างนางได้
ทันทีที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากกู้ฉวนลู่ หมอเหลยถึงกับทำหน้าเหยเก
“หากกู้เสี่ยวหวานคิดจะแก้แค้นขึ้นมาจริง ๆ ก็คงไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้นแน่ ตอนนั้นเราร่วมมือกันวางยาหร่วนจิน*[1] เด็กนั่นด้วย หากนางรู้ว่าเราทรมานเด็กนั่นหนักหนาถึงเพียงนี้ ข้าว่านางคงไม่ปล่อยเราไว้แน่ ๆ” สีหน้าของกู้ฉวนลู่ฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ฮึ่ม! เรื่องนี้มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ท่านไม่พูด ข้าไม่พูด แล้วผู้ใดจะรู้ได้” หมอเหลยเอ่ยเสียงเย็น บอกเป็นนัยว่าให้กู้ฉวนลู่เงียบปากไป
“ต้องพูดว่า คนระวังย่อมเดินเรือได้นับหมื่นปี เช่นนั้นเราคงต้องระวังให้ดี” กู้ฉวนลู่ตอบกลับ
“ท่านคงยังไม่รู้หรอกว่านางจิตใจโหดเหี้ยมเพียงใด ครั้งหนึ่งข้าเคยขอให้นางช่วยพูดกับอาจารย์สักหน่อยว่าให้รับเหวินเอ๋อร์เป็นศิษย์ด้วย ทว่านอกจากนางจะไม่ช่วยแล้ว นางยังพูดอย่างไม่ไว้หน้าข้าอีกว่า อย่าได้ไปเหยียบร้านจิ่นฝูและบ้านของนางอีก ฮึ่ย! ข้ายังจำคำพูดนางได้ไม่มีวันลืม”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เคราบนหน้าหมอเหลยแทบลุกตั้ง “เช่นนั้นเหวินเอ๋อร์ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตท่าน หากเขาไม่ได้เข้าศึกษากับอาจารย์ดี ๆ จะไม่เป็นการตัดอนาคตท่านด้วยหรอกหรือ? คุณชายกู้ ท่านอยากให้ข้าช่วยสิ่งใด บอกข้ามาเถอะ”
“ข้ามีญาติห่าง ๆ อยู่ข้างนอก พวกเขาเป็นน้องสาวกับน้องเขยของข้า เมื่อก่อนสองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว แต่กู้เสี่ยวหวานไม่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัว นางต่อว่าพวกเขาว่าวัน ๆ ไม่ทำการทำงานอันใด และให้พวกเขาย้ายออกไปอยู่ข้างนอก หลายปีต่อมา น้องเขยเอาแต่เสเพล ร่างกายก็ผ่ายผอม วัน ๆ เอาแต่เพ้อหาภรรยา ข้าเห็นแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก” กู้ฉวนลู่เล่าด้วยน้ำเสียงเศร้า “บัดนี้สามีภรรยาที่เคยรักใคร่กันดีก็ได้แยกทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
สิ้นเสียงพูดของกู้ฉวนลู่ บนใบหน้าของหมอเหลยกลับแต้มรอยยิ้มหยัน เห็นทีว่าเรื่องราวในตระกูลนี้เป็นเขาที่รู้ดีกว่ากู้ฉวนลู่เสียอีก
เรื่องที่ว่าสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวนั้น เกรงว่าคงมีแต่คนโกหกหน้าตายอย่างกู้ฉวนลู่ผู้เดียวที่สามารถหลับหูหลับตาพูดอย่างนั้นได้
หมอเหลยทำเป็นเมินเรื่องราวที่กู้ฉวนลู่เล่า แล้วเอ่ยถามว่า “แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ข้าอยากได้ยา” ในที่สุดกู้ฉวนลู่ก็เผยความต้องการของเขาออกมา ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่หมอเหลยราวกับต้องการรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่
“ท่านอยากได้ยาอันใด”
“กิจการร้านอาหารของนางกำลังไปได้ดี ทว่านางกลับไม่สนใจไยดีข้า เหตุใดไม่ให้นางลองลิ้มรสชาติความขมขื่นในชีวิตบ้างล่ะ ร้านจิ่นฝูได้ชื่อว่าเป็นร้านอาหารเลิศรสที่สุดในเมืองหลิวเจียไม่ใช่หรือ ข้าอยากจะรู้นักว่า หากผู้คนปวดท้องจากการทานอาหารที่ร้านนั้น มันจะเป็นเช่นไร” กู้ฉวนลู่พูดถึงแผนการร้ายด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
หมอเหลยชำเลืองมองกู้ฉวนลู่เล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ต่อมาก็มีเสียงเก้าอี้ครูดพื้นเบา ๆ เหตุเพราะคนผู้นี้กำลังลุกขึ้นยืน
ร่างคนผู้หนึ่งผ่านหน้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว คนในบ้านเปิดประตูออกมาดูทันใด แต่กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
ยามที่หลิวชิงซานตื่นขึ้นจากอาการมึนเมา ท้องฟ้าพลันมืดสนิท ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมาก็มองหากู้ฉวนลู่ “พวกเราอยู่ที่ใด”
“ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้เอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามาย เอะอะก็เอาแต่จะดื่ม ยังดีที่ยามนี้เจ้าตื่นแล้ว หากเจ้าตื่นอีกทีในวันพรุ่งนี้ เงินร้อยตำลึงเจ้าก็คงไม่ได้ หรือเจ้าตื่นแล้วแต่แกล้งทำเป็นหลับ ว่าอย่างไร” กู้ฉวนลู่พูดอย่างหนักอกหนักใจ
เขาพึ่งพาหลิวชิงซานออกมาจากร้านยาของหมอเหลย เดิมทีหลิวชิงซานผู้นี้ร่างกายผ่ายผอมอยู่แล้ว ยิ่งยามนี้เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ซึ่งมันดีต่อกู้ฉวนลู่ที่จะแบกเขามาที่โรงเตี๊ยมอย่างไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก
ทันทีที่กลับมาถึงโรงเตี๊ยม เขาก็รีบล้างเนื้อล้างตัว เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าทันที เมื่อเห็นว่าหลิวชิงซานตื่นพอดี จึงบอกให้หลิวชิงซานชำระล้างร่างกาย ก่อนจะมอบเงินและยาหนึ่งห่อแก่หลิวชิงซาน
“ข้าอยากให้เจ้าไปที่ร้านจิ่นฝู แล้วหาที่ซ่อน จากนั้นก็แอบใส่ยานี้ลงในจอกสุราของบรรดาแขกในร้าน ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นผู้ใด” กู้ฉวนลู่สั่งการด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย ขอแค่แขกปวดท้องจากการทานอาหารในร้านจิ่นฝู งานจะต้องเข้ากู้เสี่ยวหวานเป็นแน่
ให้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย นางมีหน้ามีตาในเมืองหลิวเจียมากไม่ใช่หรือ? ดูซิว่าคราวนี้นางจะยังรักษาหน้าไว้ได้อย่างไร หากแขกในร้านอาหารของนางต่างก็ท้องไส้ปั่นป่วน แม้แต่ป้ายอักษรสีทองที่หน้าร้านจิ่นฝูก็เกรงว่าจะรักษาไว้ไม่ได้เสียแล้ว
กู้ฉวนลู่คิดเช่นนั้นอยู่ในใจ ยังดีที่เสียงของหลิวชิงซานดึงสติเขากลับมา บัดนี้หลิวชิงซานสร่างเมาแล้ว และพึ่งจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่ เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาก และเขาก็ไม่อยากอยู่ฟังเสียงบ่นจู้จี้จุกจิกของกู้ฉวนลู่ต่อ ทันทีที่ได้เงินจากกู้ฉวนลู่ เขาก็รีบไปที่ร้านจิ่นฝูอย่างว่องไว
กู้ฉวนลู่มองตามหลังหลิวชิงซานที่หายวับออกไปจากโรงเตี๊ยม ในใจก็ยิ้มให้กับแผนการชั่วร้ายที่ตนคิดขึ้น
กู้เสี่ยวหวานเอ๋ยกู้เสี่ยวหวาน ดูซิว่าคราวนี้เจ้าจะยังอวดดีต่อไปได้หรือไม่
เมื่อหลิวชิงซานมาถึงร้านจิ่นฝู ยามนี้เขาแต่งตัวด้วยชุดใหม่ แม้ว่าเขาจะผอมแห้ง แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นดูหรูหราราคาแพง หลิวชิงซานจึงเดินเข้าไปในร้านจิ่นฝูด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
ทันทีที่เข้ามาข้างในร้านได้สำเร็จ เขาก็รีบมองหาบริเวณที่ผู้คนไม่พลุกพล่านก่อนจะนั่งลง เพราะเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่รอบ ๆ มีเพียงคนสองคนนั่งทานอาหารที่โต๊ะถัดไป
คนหนึ่งดูจะดื่มมากเกินไป ไม่นานก็อยากจะไปห้องน้ำ ส่วนอีกคนหนึ่งกลัวเพื่อนหาห้องน้ำไม่เจอ จึงช่วยพยุงกันออกไป
หลิวชิงซานมองดูรอบ ๆ ร้านจิ่นฝูที่ผู้คนคับคั่ง ต่างก็รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขา จึงแสร้งทำเป็นลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะข้าง ๆ แอบเทผงที่กู้ฉวนลู่ให้ลงในจอกสุรา
*[1] ยาหร่วนจิน เป็นยาพิษไม่มีสีไม่มีกลิ่น ออกฤทธิ์ให้กล้ามเนื้อ กระดูก ทั้งร่างกายเจ็บปวด
———————*************——————–